นวลลอออยากให้นิชาลีชวนเจ้านายอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่ยอมอยู่จนถึงมื้อเย็น เขาใช้สายตาเร่งเร้าให้หญิงสาวในอาณัติรีบกลับกรุงเทพฯ ทั้งคู่กลับมาถึงเพนต์เฮาส์ราวสามทุ่ม
“รีบทำอาหารให้ฉันกินเลยนะ หิวมาก”
นิชาลียู่ปาก บอกว่า
“ทำเลยไม่ได้ค่ะ นิมขี้เกียจไปเลย”
“นิม!” หันมามองตาขวาง
“ขา”
“เพื่อนเล่นเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณจิ๋นไม่ใช่เพื่อนเล่น แต่เป็นอุ๊อิ๊ของนิม” เขาเป็นอะไรหลายอย่างแต่ไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ
“งั้นก็อย่าเล่นให้มาก”
“ค่า นิมจะรีบทำให้กินเร็ว ๆ เดี๋ยวนี้แหละค่ะ เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยรอได้เลยค่ะ ไม่เกินสิบห้านาทีอาหารพร้อมเสิร์ฟ” ดีที่เธอเตรียมวัตถุดิบสำหรับเมนูนี้ไว้แล้วจึงไม่ต้องเสียเวลาเตรียม ไม่อย่างนั้นคงต้องต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ยักษ์จอมหงุดหงิดกินแก้โมโหหิว
ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมาข้าวขยำปูก็พร้อมเสิร์ฟให้เขารับประทาน เมื่อท้องอิ่มจักรพรรดิก็อารมณ์ดีขึ้นบ้าง จึงเงยหน้าคุยกับเธอด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนลง
“พรุ่งนี้ไปพบผู้ใหญ่ เธอต้องไปทำหน้าที่เลขากับฉันด้วย”
“ได้ค่า”
เช้าวันต่อมาจักรพรรดิกับนิชาลีก็ตื่นแต่เช้าผลัดกันจัดการกับธุระส่วนตัวแล้วแต่งตัวเพื่อไปทำงานพร้อมกัน ...ที่ว่าไปทำงานพร้อมกันส่วนมากก็คือนั่งรถออกไปพร้อมเขา แล้วเขาจอดส่งเธอที่สถานีรถไฟฟ้า... ในเวลาแบบนี้หญิงสาวจะไม่ได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เพราะต่างคนก็ต่างรีบ
“แต่งหน้าเสร็จรึยัง”
เสียงเข้มส่งมาถาม ก่อนจะมีเสียงหวานตอบออกไป
“ยังค่ะ นิมกำลังทะเลาะกับมาสคาราอยู่” พูดไปเธอก็ส่งเสียงฮึ่มฮั่มเพราะเจ้าเครื่องสำอางที่ใช้ปัดขนตาเพื่อเสริมความเข้มเพิ่มความหนาและความยาวแก่ขนตาไม่ได้อย่างใจเสียที ตามประสาคนที่คุยกับทุกอย่างรอบตัวได้แม้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ตาม
“มาเลอะตรงนี้ได้ไง วันนี้เป็นอะไรนะ ตากระตุกตั้งแต่เช้า มือก็ไม่นิ่งเลย แป๊บนึงนะคะคุณจิ๋น”
คนที่แต่งตัวเสร็จแล้วถอนหายใจพร้อมกลอกตา หมุนตัวเดินกลับเข้ามาส่องดู คิ้วขมวดชนกัน
“ฉันจะไปที่ออฟฟิศก่อน”
“โอเคค่ะ เจอกันที่ออฟฟิศนะคะ นิมไม่ไปสายแน่นอนเพราะนั่งรถไฟฟ้า”
เผลอ ๆ เธออาจจะถึงก่อนคนที่ขับรถไปทำงานอย่างเขาเสียด้วยซ้ำแล้วก็มักเป็นเช่นนั้นเสมอ เมื่อจักรพรรดิมาถึงบริษัทเคพีเค เทอร์มินัล ซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูงในย่านธุรกิจกลางเมืองและเปิดประตูเข้าห้องทำงานของเขาก็เห็นเลขาสาวที่ทำหน้าที่ทุกอย่างแม้กระทั่งช่วยปลดเปลื้องความใคร่ในยามต้องการนั่งยิ้มแป้นรอรับอยู่ ที่โต๊ะข้างกันมีชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอราวเจ็ดถึงแปดปีนั่งรอรับเจ้านายคนเดียวกันอยู่เช่นกัน กิตติภูมิ หรือ เกาลัด เป็นเลขาส่วนตัวอีกคนของจักรพรรดิ
“สวัสดีค่ะนาย”
“สวัสดีครับนาย” เลขาหนุ่มผู้รู้ทุกเรื่องของเจ้านายเอ่ยทัก เขารู้แม้กระทั่งว่าเจ้านายกับเลขาหญิงหนึ่งเดียวจากสามเลขาของจักรพรรดิเป็นอะไรที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง
“เตรียมเอกสารพร้อมรึยังเกาลัด”
“พร้อมแล้วครับนาย”
“ดี”
เอ่ยจบก็ตวัดสายตาไปมองอีกคนที่ยืนทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างรู้หน้าที่เวลาอยู่หน้างาน
“เรามีนัดตอนเที่ยง”
“ครับ”
“ส่วนคุณ” เขาพุ่งสายตาไปที่เลขาสาว นิชาลีมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ในเวลานี้คนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเจ้านาย ห้ามมองเขาด้วยสายตาแอบแฝงสิ่งอื่น และไม่บังควรกวนประสาทเขาไม่ว่าด้วยสายตาหรือคำพูด
“ช่วยไปดูของขวัญเล็ก ๆ สำหรับคุณผู้หญิงมาให้หน่อย แล้วไปเจอกันที่โรงแรม xx ตอนสิบเอ็ดโมง”
“คุณผู้หญิงอายุประมาณเท่าไหร่คะ”
เธอถามตามหน้าที่ซึ่งในส่วนนี้จักรพรรดิเข้าใจดี จึงตอบไปว่า
“คุยกันเอง” พลางหันไปทางเลขาหนุ่มที่เป็นคนเดินทางไปคุยงานกับเขาที่สิงคโปร์
“รับทราบค่ะ”
พอประตูปิดนิชาลีก็หันมาถามกิตติภูมิถึงผู้หญิงที่ต้องไปหาของขวัญให้ว่า
“สวยมากไหม”
“ระดับนางฟ้า” กิตติภูมิตอบยิ้ม ๆ
“โอเค ชัดเจน”
เมื่อได้ข้อมูลจากกิตติภูมิว่าคุณผู้หญิงที่เจ้านายสั่งให้ไปหาของขวัญให้เป็นสาวสวยลูกสาวคนเดียวของสุรเกียรติ วงษ์วิไลชาติ เสี่ยใหญ่ผู้มีส่วนสำคัญกับธุรกิจในอนาคตของเคพีเค เทอร์มินัล นิชาลีก็ต้องเลือกสรรของขวัญให้อย่างดีที่สุด หญิงสาวออกจากออฟฟิศนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีหนึ่งซึ่งผู้คนหนาแน่นที่สุด แล้วเข้าไปดูสินค้าในช็อปแบรนด์เนมเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วก็มาเจอกับเจ้านายตามที่นัดหมาย
“ของที่เจ้านายสั่งให้ดิฉันจัดหามาให้ค่ะ”
ดวงตาคมหลุบมองด้วยสีหน้าเฉยชาก่อนจะรับถุงนั้นมาถือไว้ในมือเอง
“ซื้ออะไรมา”
นิชาลียิ้ม
^
^
^
***เป็นทุกอย่างให้แล้ว
ดราม่ากำลังจะเริ่มขึ้นจ้า อ่านแล้วกดเม้น กดใจ ให้กันด้วยน้า