ตอนที่ 6
เรือนไม้สักหลังงามที่เคยมีลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย บ้างก็มาขอความช่วยเหลือให้กำจัดตัวปัญหาในชีวิตออกไปโดยการทำของต่ำมนต์ดำใส่ บางรายก็มาเพื่อขอให้ทำพิธีกรรมเเช่งคู่แข่งทางการค้าให้ค้าขายทำมาหากินไม่ขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลที่เกริ่นมาคือยิบย่อย หากจะให้รวบรวมทั้งหมดคงไม่แคล้วต้องใช้เวลาทั้งหมด ตำหนักสำนักใดไม่รับทำแต่สำนักพ่อครูเพลิงรับทำทุกกรณี ไม่มีคำว่าเกรงกลัวบาปกรรม
“พ่อครูมีคนมาติดต่อให้ทำเสน่ห์ยาแฝดพ่อครูจะทำมั้ยจ๊ะ” มิ่งนวดท่อนขาแกร่งกำยำของอาจารย์พลางเอ่ยถาม หลังมีคนในเมืองทราบข่าวของพ่อครูจึงมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามกันทุกวี่ทุกวัน
“ข้าไม่ทำ” เหตุใดมนุษย์มักจะหาหนทางนำมาซึ่งความวิบัติแก่ตนเองอยู่ร่ำไป เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ วิญญาณหลงผิดที่เขาเคยตัดสินมักจะสำนึกในตอนที่สายไปแล้วกันทั้งนั้น
“โธ่..พ่อครูแล้วเราจะเอาอะไรกินกันล่ะจ๊ะ”
“ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านมีราคาเอ็งก็เอาไปขายสิวะ มึงอย่าโลภมากนักเลยไอ้มิ่ง เรือนก็หลังใหญ่โตข้าวของราคาแพงก็มากโข ขายกินคงไม่เสียหายดอก”
“ขายของเก่ากินแล้วถ้าหมดเราจะทำไงล่ะพ่อครู” มิ่งเร้าหรือไม่เลิก
“มึงอยากให้กูทำว่างั้นเถอะ” ไอยศูรย์ชำเลืองหางตามองมิ่ง
“ถ้าพ่อครูไม่อยากทำฉันจะปฏิเสธไปจ๊ะ” แม้อดเสียดายลูกค้ากระเป๋าหนักคนนี้เท่าใด หากพ่อครูไม่อยากทำเขาก็ยากจะฝืนใจ
“เรียกมันมาสิ” ไอยศูรย์เอ่ยแววตาเจ้าเล่ห์ คนเขาไม่รักไม่ชอบดันจะไปฝืนจิตใจบีบบังคับ เห็นทีกูจะสอนให้เข็ดหลาบ
บ่ายคล้อยในวันนั้นมิ่งทำการเปิดตำหนักเพลิงกัลป์รับลูกค้าขาประจำที่คอยแวะเวียนมาถาม รายแรกเป็นคุณหญิงของนายทหารยศใหญ่ที่ย้ายมาประจำการแถวหมู่บ้านคุ้มงาม คุณหญิงก้าวเท้ายกยากรถยนต์หรูโดยใบหน้าเรียบนิ่ง เธอก้าวเข้ามาในอาณาตำหนักอย่างคุ้นชิน
“พ่อครูฉันทุกข์ใจมากเลย ผัวฉันน่ะไปติดพันเมียน้อยที่หมู่บ้านจำปาทอง ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง พ่อครูช่วยฉันหน่อยนะจ๊ะ” หญิงสาววัยกลางคนรูปร่างอวบอั๋นยกมือไหว้สีหน้าทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
“ผัวเอ็งชื่อกระไร” ไอยศูรย์ยกชันเข่าริมฝีปากพ่นควันโขม่งจากยาเส้นออกมา
“ฤทธิ์เรืองจ๊ะ”
ไอยศูรย์สบดวงตาเฉี่ยวของหญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าที่นั่งพับเพียบพนมมือไหว้ค้าง ภาพเหตุการณ์ในชีวิตของหญิงสาวผู้นี้จึงปรากฎ ย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่นางได้พานพบสามีนายทหาร นางแย่งชายผู้นี้มาจากเพื่อนสาวคนสนิทโดยไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดี ใช้ของต่ำผูกมัดนางและชายผู้นั้น ชักนำสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็นเข้าควบคุมนายทหารจนได้แต่งงานกัน ภายหลังของเสื่อมชายผู้นั้นจึงพยายามกลับไปหาคนรักเก่า คนที่เขาปักใจรักดั่งรักแท้
“ของที่ไม่ใช่ของเอ็งตั้งแต่แรกสักวันมันก็ต้องกลับไปหาเจ้าของ ฝืนไปไยก็มีแต่ทรมานตนเอง…” พ่อครูหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ
“โอม ลอ ติ สา หมา ลอ ติ สวาหุม” ชายหนุ่มบริกรรมร่ายคาถาเพียงประโยคเดียวจึงโบกสะบัดมือไล่กลับ
“คะ…แค่นี้หรอจ๊ะ ไม่มีสีผึ้งหรือว่าผงยาแฝดให้ฉันหรอจ๊ะ” หญิงสาวเคลือบแคลงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมาหาพ่อครูได้ทั้งสีผึ้งกามคุณ ผงยาแฝดเจ็ดป่าช้าไปใช้ได้ผลดีนักแล ทว่าหลังข่าวพ่อครูสิ้นชีพมนต์เหล่านั้นจึงเสื่อมคลาย ทำให้สามีนายทหารกลับไปขอคืนดีคนรักเก่า สร้างความอับอายและเจ็บช้ำน้ำใจให้เธอเป็นอย่างมาก
“มึงลองกลับบ้านดูก่อนกูบอกก่อนนะอย่ามาขอร้องให้กูถอนให้ทีหลัง” ไอยศูรย์กระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนโบกมือไล่ ถุงเงินใบตุงนำมอบให้นายมิ่งอย่างรู้งาน
“พอแล้วมั้งไอมิ่งแค่นั้นก็อยู่ได้เป็นเดือนกระมัง” เขาพูดอย่างหน่ายเหนื่อย
“อีกคนนะจ๊ะพ่อครู ฉันรับแค่สองคนเอง”
“เออ”
คนที่สองเป็นเจ๊พิมพ์อมรแม่ค้าเขียงหมูเจ้าใหญ่ในเมือง เป็นหญิงสาววัยกลางคนที่ดูแซ่บสะท้านใบหน้าเยาว์วัยกว่าอายุคลานเข่าสวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดเข้ามากราบไหว้พ่อครู น้ำเสียงเย้ายวนทักทายพ่อครูอย่างสนิทสนม
“พ่อครูฉันอยากได้ไพรเสน่ห์เหมือนรอบที่แล้วจ๊ะ รอบที่แล้วฉันอาบน้ำไพรไม่กี่วันลูกค้ามารุมซื้อของฉันจนหมดหน้าเขียง ขอแบบเดิมนะจ๊ะพ่อ” ผลพลอยได้ของไพรเสน่ห์ก็คือเธอได้สานสัมพันธ์กับหนุ่มน้อยใหญ่มากหน้าหลายตา ทั้งมีเมียและไม่มีเมีย แต่เธอก็ไม่สนใจในเมื่อผู้ชายพวกนั้นคลานเข่าเข้ามาหาเธอเอง
ผู้ชายพวกนั้นอ้อนวอนขอให้เธอยอมพลีกายปรนเปรอกามารมณ์แบบจัดหนักจัดเต็มเองนี่นา แม้จะมีบรรดาเมียมาร้องให้เธอเลิกยุ่งเกี่ยวกับสามีพวกหล่อน คุมผัวไม่ได้เองยังมีหน้ามาโทษผู้อื่น และทันทีที่เธอฟ้องผู้ชาย เมียพวกนั้นก็คงได้กินหมัด บาทาของผู้ชายพวกนั้นกันอย่างเอร็ดอร่อย
“หมด” ไอยศูรย์เอ่ย เขามองเห็นในสิ่งที่หล่อนกระทำผิดศีลข้อสาม ศีลข้อนี้หนักนักแล การผิดลูกผิดผัวผู้อื่นโดยเจตนารมณ์ไร้ความละลาย
‘มนุษย์์หนอมนุษย์ลุ่มหลงมัวเมาในราคะจนลืมสำนึกผิดชอบชั่วดี เพราะแบบนี้สิหนานรกของข้าจึงอัดแน่นเต็มไปด้วยสัตว์นรก ในขณะที่ดินแดนสุขาวดีแทบร้าง
“อ้าวแล้วทำไงละจ๊ะพ่อครู” พิมพ์อมรเอ่ยถาม
“กุสนัง ปริปัญจะ จักมรณาคุ้มคลั่งกายาเป็นบ้า นั่งอยู่มิได้ร้องไห้ตามมาเอ หิจิตตัง ปิยังมะมะเพลา” ชายหนุ่มบริกรรมคาถาร่ายใส่พิมพ์อมร หากหล่อนยังไม่สำนึก เขาก็จะให้ทำหล่อนรู้ซึ้งถึงผลที่ตามมาอย่างสาสม
“จะได้ผลจริงหรอจ๊ะพ่อครู” เธอไม่อยากเชื่อ มารอบนี้ไพรเสน่ห์ก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จ่ายเงินลัดคิวไอมิ่งไปตั้งเยอะ
“ของข้าเคยไม่ได้ผลด้วยรึ”
“ก็ได้จ๊ะ ฉันจะลองกลับไปดูแต่ถ้าไม่ได้ผลพ่อครูต้องย้ำให้ฉันฟรีนะ”
“ย่อมได้”
“พ่อครูทำไมบทสวดที่พ่อครูร่ายฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนละ ไม่ใช่บทสวดเดิมที่เคยสอนฉันนี่” หลังแขกผู้มาเยือนกลับออกไปหมดแล้ว มิ่งที่เก็บความสงสัยจึงเอ่ยปากถามขณะปิดตำหนัก
“คาถาข้าย่อมแรงกว่าเป็นไหน ๆ เอ็งคอยดูเถิดไม่พ้นเจ็ดวันต้องร้องกลับมาขอถอนกันยกใหญ่”
“พ่อครูคุยโวหรือเปล่า นับตั้งแต่พ่อครูฟื้นขึ้นมาก็ไม่เหมือนพ่อครูคนเดิมที่ฉันรู้จัก คาถาอาคมที่ใช้ก็ไม่เหมือนกับที่ฉันฝึกร่ำเรียน วัตถุอาถรรพ์ก็ให้ฉันเอาไปทิ้งเสียหมด” มิ่งระบายสิ่งที่เก็บไว้ในใจให้ชายหนุ่มร่างกำยำรับรู้
“มิ่งเอ้ยวิชาอาคมที่เจ้าเคยร่ำเรียนมานั้นผิดบาปมหันต์ ไสยเวทย์หากนำไปใช้ในทางที่ถูกต้องย่อมสร้างพุทธคุณ หากแต่คาถาอาคมที่เอ็งร่ำเรียนนั้นมันทำร้ายใครบางล่ะ มีใครต้องวิบัติชิบหายเพราะมันบ้าง สิ่งผิดพลาดของเอ็งตอนนี้มันยังแก้ไขได้ ข้าจะสั่งสอนไสยเวทย์ที่ถูกที่ควรแก่เจ้าภายหลัง”
“แล้วพ่อครูยังใช่พ่อครูของฉันหรือเปล่า?”
“ข้าก็คืออาจารย์ของเอ็งไอมิ่ง”
“แต่ทุกอย่างดูไม่เหมือนพ่อครูเพลิงของข้าเลยนะ” มิ่งเอ่ยเสียงแผ่ว
“หลังข้าหมดลมหายใจก็ได้เห็นสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เมื่อฟื้นตื่นขึ้นมาจึงหาหนทางแก้ไขอย่างไรเล่าไอมิ่ง” เขาเลี่ยงบอกความจริงให้มิ่งทราบ ครั้นจะบอกว่าเขาคือพญายมราชมาสิงสู่ยืมร่างพ่อครูเพลิงก็กระไรอยู่
“ฉันจะพยายามเข้าใจพ่อครูจ๊ะ” แค่พ่อครูก้าวผ่านความตายแล้วฟื้นตื่นขึ้นมาก็ปาฏิหาริย์มากพอแล้ว เขาไม่อยากซักไซร้ให้มากความ จะใช่หรือไม่ใช่เขาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นศิษย์รักอยู่เคียงข้าง
“วันใดที่ข้าละสังขารนี้ไปแล้วข้าจักให้พรเอ็งหนึ่งข้อ” มือสากลูบศรีษระของศิษย์เพียงคนเดียว เขาต้องการปลอบประโลมมันดอก ถึงอย่างไรมันก็ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง
“คืนนี้มีงานวัดพ่อครูอยากไปเดินไหมจ๊ะ”
“งานวัด?”
“ใช่จ๊ะ มีหนังกลางแปลง มีขนมของกินเยอะแยะเลย”
“พ่อจ๋าคืนนี้ให้ฉันไปกับรักยมนะ” เสียงส้มป่อยกระซิบใบหูหนาของเขา ไอยศูรย์พยักหน้าเชิงอนุญาต เรื่องเที่ยวตะลอนไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบไอส้มป่อยมันได้จริง ๆ
“พ่อครูให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหมคืนนี้” มิ่งเสนอตัว
“ไม่เป็นไร ข้าจะลองไปชวนนังบุหงา”
“จ๊ะ ๆ” มิ่งลอบยิ้ม ดูท่าจะเป็นพ่อครูของเขาจริง ๆ เมื่อก่อนพ่อครูปักใจหมายปองนางบุหงามานมนาน คอยช่วยเหลือบ้านนางบุหงาแบบไม่คิดตังค์อยู่หลายที ของกินของใช้ก็เป็นเขาที่โดนใช้ให้นำไปให้อยู่บ่อยครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่กล้าบอกความในใจ
พ่อครูเพลิงอาบน้ำแต่งตัวปะแป้งเสียหอมฉุยเดินตรงอาดมาบริเวณบ้านไม้กระท่อมของตาบัว เห็นบุหงานั่งพับดอกบัวใบหน้าบูดบึ้งไม่รับแขก
“เอ็งทำกระไรนังบุหงา”
“นั่งพับดอกบัวจ๊ะพ่อครู พ่อครูมีธุระอะไรจ๊ะ” เธอเงยหน้ามองผู้มาใหม่ที่ปะแป้งจนหอมไปแปดบ้าน ไม่ต่างกระไรจากตัวเธอมากนักที่เตรียมความพร้อมไปงานวัดแบบจัดเต็ม แต่กลับถูกห้ามโดยผู้เป็นพ่อ
“ข้าจะมาชวนเอ็งไปเดินงานวัด”
“ไปไม่ได้หรอกจ๊ะ พ่อไม่ให้ไป นี่ฉันอุตส่าห์แต่งเนื้อแต่งตัวผลัดแป้งเสร็จแล้วก็ไม่ยอมให้ไป” เธอเอ่ย หลังช่วงบ่ายเธอเอ่ยขอไปเดินงานวัดกับอีหอมและอีแหวน ตาบัวยืนกรานให้เธออยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ให้เหตุผลว่ากลางคืนมืดค่ำมันอันตราย อันที่จริงตาบัวกลัวนังแหวนจะพาบุหงาไปแอบนัดพบผู้ชายในดงกล้วยต่างหาก
“ไหนเรียกตาบัวออกมาคุยกับข้าที”
“พ่อ…พ่อจ๊ะ พ่อครูมาหาจ๊ะ” บุหงาชะเง้อคอร้องเรียกผู้เป็นพ่อ
“อ้าวว่ายังไงพ่อครู” ตาบัวได้ยินชื่อพ่อครูจึงรีบเดินออกมาต้อนรับ
“ข้าขอพาบุหงาไปเดินเล่นงานวัดหน่อยนะ ข้าเองก็ไม่มีเพื่อนฝูง ก็มีแต่นังบุหงานี่แหละที่พอจะรู้จักมักจี”
“แล้วไอมิ่งเล่าพ่อครู บุหงามันเป็นสาวเป็นแส้ยังไม่ได้ออกเรือน ครั้นจะให้ไปกับพ่อครูก็เกรงจะเป็นขี้ปากชาวบ้าน” ตาบัวเอ่ยสีหน้าเป็นกังวล หากอีกใจก็รู้จักสนิทสนมกับพ่อครูจึงพอเกรงใจอยู่บ้าง
“เดี๋ยวฉันโพกผ้าคลุมหัวก็ได้จ๊ะพ่อ ฉันอยากไปดูหนังกลางแปลง นะพ่อนะ มีพ่อครูอยู่ด้วยฉันไม่กล้าเถลไถลหรอกจ๊ะพ่อ น้า..” บุหงากระตุกแขนของตาบัวอย่างอ้อนวอน นานทีปีหนจะมีงานวัดสักครั้งหลังอายุสิบห้าพ่อของเธอก็ไม่อนุญาตให้ไปงานวัดอีกเลย
“ว่าอย่างไรตาบัว...” พ่อครูเพลิงเอ่ยถามย้ำ
“เฮ้อ..ก็ได้แต่ขากลับเดินมาส่งมันที่บ้านด้วยนะพ่อครู ส่วนเอ็งใส่ผ้าโพกหัวไปด้วยอย่าให้ใครจำเอ็งได้ล่ะ ไม่งั้นกลับมาข้าจะเฆี่ยนให้หลังลาย” ตาบัวขู่
“จ๊ะพ่อ..รักพ่อจัง พ่ออยากกินอะไรไหมเดี๋ยวฉันซื้อมาฝาก” บุหงาเอาใจพ่อเสียงหวาน
“ไม่ต้องล่ะเปลืองตังค์ อย่ากลับกันดึกนะพ่อครู”
“......” พ่อครูพยักหน้ารับคำของตาบัว
พ่อครูและบุหงาเดินลัดเลาะมายังวัดคุ้มงาม เสียงดนตรีและแสงไฟหลากสีบ่งบอกถึงเอกลักษณ์งานวัด บรรยากาศรื่นเริงสนุกสนาน มีซุ้มขายอาหารคาว หวาน ซุ้มเล่นเกมส์ปาโป่ง สาวน้อยตกน้ำ อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นอาทิเช่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน
“พ่อครูอยากกินอะไร” บุหงาเอ่ยกระซิบชายหนุ่มเสียงเบาหวิว
“เอ็งอยากกินอะไร” พ่อครูถามกลับ มือคว้านหาถุงเงินที่ขู่เข็ญมาจากไอมิ่งได้เมื่อก่อนออกจากบ้าน
“ฉันอยากกินหนมจีนกะทิเจ้านี้มานานแล้ว พ่อครูกินไหม” เธอชี้หนมจีนร้านโปรดในวัยเยาว์ให้เขาดูเป็นร้านหนมจีนมีน้ำราด 4 ภาค
“อยากกินก็ไปกิน”
“พ่อครูสั่งให้ฉันหน่อยสิ เอาหนมจีนกะทิ”
“เอ็งริหัดใช้ข้าแล้วหรอนังบุหงา”
“ชู่วว..อย่าเรียกชื่อฉันสิ”
พ่อครูลืมตัวจึงยอมเดินไปสั่งหนมจีนกะทิสองที่ หญิงสาวเข้าไปนั่งรถบนโต๊ะไม้ไผ่ ผักแกล้มฟรีวางเรียงรายกองพะเนินราวกับภูเขา ไม่นานนักหนมจีนราดน้ำยากะทิสองที่ถูกนำมาวาง กลิ่นหอมโชยแตะจมูก ไม่รีรอบุหงาคว้าตะเกียบไม้ช้อนสั้นส่งให้พ่อครู
“พ่อครูกินเผ็ดไหม”
“แบบไหนก็ได้”
“งั้นฉันใส่พริกป่นกับน้ำปลาให้อย่างละนิดหน่อยนะ”
“อืม”
หลังปรุงรสเรียบร้อยบุหงาก้มหน้าก้มตากินหนมจีนน้ำยาอย่างเอร็ดอร่อย ไม่พูดไม่จากับเขาสักคำ ท่าทางดีใจจนออกนอกหน้าของนางบุหงามันน่าเอ็นดูดีแท้ เหมือนกระรอกหลุดออกจากรังดีใจจนเนื้อเต้น ตาบัวคงหวงลูกสาวคนนี้มากจนไม่ยอมให้นางได้ออกมาเปิดหูเปิดตา
‘นะ น่าเอ็นดู นะเมตตาที่ให้มันคงไม่ได้มีผลกับเขาดอกกระมัง’ ไอยศูรย์คิดไม่ตก
“อร่อยมั้ยจ๊ะเจ้านี้เจ้าเด็ดอย่าบอกใครเชียวล่ะพ่อครู” บุหงาถามหลังพ่อครูเป็นคนควักเงินจ่ายให้ อิ่มจังตังค์อยู่ครบ
“อืม อยากกินอะไรอีกล่ะ”
“วันนี้พ่อครูใจดีผิดปกติ ถูกหวยมาหรอจ๊ะ” บุหงาเกาะแขนแกร่งดั่งที่ทำกับตาบัวทุกวันจนติดเป็นนิสัย น้ำเสียงออดอ้อนพลันทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม ซ่อนความตื่นเต้นภายใต้สีหน้าเรียบนิ่ง ยามนางออดอ้อนเป็นเช่นนี้เองหรือให้ตายสิ อิจฉาตาบัวแท้…
“เลี้ยงเอ็งแค่วันเดียวคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งข้าหลุดหรอก”
“ฉันอยากกินหนมครกแล้วก็ขอแวะปาเป้าเอาตุ๊กตาหน่อย พ่อครูปาให้ฉันนะ ฉันอยากได้ตุ๊กตาหมีตัวนั้นไปนอนกอด ฉันปาเองไม่เคยได้เลย”
“อืม” เจอเสียงหวานออดอ้อนเช่นนี้ เขาจะปฏิเสธได้หรือแม้อันที่จริงเขาเองก็ไม่เคยทำปาลูกโป่งที่ว่าน่ะ
หนมครกร้อนควันโขม่งกะทิหน้าเยิ้มโรยต้นหอมราดน้ำตาลถูกป้อนเข้าปากพ่อครู เสียงหวานออดอ้อนหนัก เธออยากได้ตุ๊กตาตัวใหญ่กลับบ้าน แม้จะเขาจะยืนปาลูกโป่งหลายนาทีแล้วก็ไร้วี่แววจะได้ เขาจะยอมแพ้ดั่งเรือล่มปากอ่าวเช่นนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะทำให้นางผิดหวังน่าดู
‘ส้มป่อย ไอส้มป่อย’ ชายหนุ่มส่งกระแสจิตร้องเรียกหาส้มป่อยที่ดูจะเที่ยวเล่นอยู่แถวนี้
‘จ๋าพ่อ พ่อซื้อหนมครกให้ฉันด้วยสิ ฉันอยากกินด้วย’ มาถึงเด็กน้อยเห็นบุหงาป้อนหนมครกพ่อจ๋าของตนจึงเกิดความอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย กลิ่นกะทิหอมหวนหรือจะสู้กลิ่นอายของชายหญิงคู่นี้
‘เออเดี๋ยวซื้อ เอ็งไปทำให้ไอ้ลูกกลม ๆ นั่นแตกเรียงกันสักสี่ห้าอันที รอจังหวะข้าโยนลูกดอกนะ บุหงาอยากได้เจ้าตัวมีขนพวกนี้’ ไอยศูรย์นัดแนะส้มป่อยผ่านกระแสจิต
‘จ๊ะพ่อ’
มือหยาบคว้าโยนลูกดอกติดกันห้าทีครานี้ลูกโป่งในแผงแตกเรียงกันครบจำนวนห้าลูก บุหงากระโดดโลดเต้นอย่างสมหวัง เธอรีบร้อนเลือกตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ก่อนจะคว้าเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหน รอยยิ้มหวานฉาบดวงหน้างาม ทำดวงใจพญามัจจุราชเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
‘พ่ออย่าลืมขนมฉันนะ’ ส้มป่อยเอ่ยย้ำก่อนจะพลันหายไปต่อหน้า
“......” ผู้ได้หน้าลอบยิ้มพึงพอใจ
หลังซื้ออาหารคาวหวานพะรุงพะรังเต็มสองมือ บุหงาก็ชวนชายหนุ่มไปดูหนังกลางแปลง ผู้คนเริ่มจับจองที่นั่ง หนังสือพิมพ์ถูกนำมาวางแทนเสื่อ ดวงตากลมโตเปล่งประกายฉายแววความสุข
“ทำหน้าอย่างกับคนไม่เคยออกจากบ้าน”
“ออกบ้านน่ะเคยแต่น้อยครั้งที่พ่อจะให้ฉันออกมาเที่ยวเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ขอบคุณพ่อครูมากเลยนะจ๊ะ แถมยังเลี้ยงฉันอีก”
“อืม”
‘พ่อซื้อน้ำจรวด (น้ำหวานอัดแก๊สสมัยก่อน) ให้ฉันด้วยนะ’ ส้มป่อยลงมานั่งข้างผู้เป็นพ่อ ทำหน้าตาน่าสงสาร มีแต่ของน่ากินเต็มไปหมด อยากจะกินแต่กินไม่ได้ต้องรอให้ผู้เป็นพ่อซื้อกลับบ้านแล้วนำไปจุดธูปเรียกเชื้อเชิญสามกุมารเสียก่อน
‘มึงนี่สั่งได้สั่งดี ไม่เอาเงินไปซื้อเองเลยล่ะ’ พ่อครูขบเม้มริมฝีปากคันไม้คันมืออยากหวดไอส้มป่อยสักที
‘เมื่อกี้ฉันช่วยพ่อเอาหน้าพ่อก็ต้องตามใจฉันสิ...’
‘เออเอ็งจะไปไหนก็ไป’
‘มาบอกแค่นี้แหละจ๊ะ’ ว่าจบร่างโปร่งแสงของส้มป่อยก็ออกไปวิ่งเล่นกับเจ้ารักเจ้ายม ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อหน้านิ่วคิ้วขมวด
หนังกลางแปลงฉายจบในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง บุหงารีบเอ่ยปากชวนเขากลับบ้านหลังเที่ยวเล่นจนหนำใจ หญิงสาวหยิบน้ำตาลปั้นที่ซื้อขึ้นมากิน ขณะเดินกลับบ้านลัดเลาะผ่านลำคลองไร้ผู้คน เธอเกรงว่าถ้ากลับทางถนนจะเจออีหอมและอีแหวนจะพาลโกรธเธอเอา
“พ่อครูลองน้ำตาลปั้นไหม” บุหงาหยิบน้ำตาลปั้นชิ้นใหม่ส่งให้ชายหนุ่มด้านข้าง
“หวานมั้ยล่ะ...”
“ก็ต้องหวานสิจ๊ะน้ำตาลปั้น”
“ไหน” ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเอียงกายทอดมองหญิงสาวที่กำลังกินน้ำตาลปั้นสีหวาน มืออีกข้างหยิบยื่นน้ำตาลปั้นส่งมอบให้เขา
“นี่ไงจ๊ะ
“0.0” ใบหน้าคร้ามคมคายโน้มจรดริมฝีปากทาบทับปากอิ่มกระจับที่ยังคงมีน้ำตาลปั้นค้างภายใน ลิ้นร้อนกวาดเชยชิมความหวานจากน้ำตาลปั้นภายในโพลงปากเล็ก แนบแน่นเคล้าคลึงจนบุหงาอ่อนระทวย จำต้องเกาะแขนแกร่งไว้เป็นมั่น ปากหนาเคล้าคลึงปากอิ่มเร่าร้อน ลิ้นร้อนผ่าวโลมเลียเอาอกเอาใจ ท่อนแขนแกร่งรั้งเอวบางประชิดตัว เชยคางมนรับสัมผัสแนบแน่น
“……”
ดวงตากลมหลับตาปี๋รับสัมผัสนั้นอย่างเงอะงะไม่ประสีประสา มือร้อนซุกซนเคลื่อนกอบกุมอกอิ่มก่อนเคล้นคลึงแผ่วเบา บุหงาครางผะแผ่วในลำคออย่างลืมตัว ริมฝีปากหนาผละออกมาอ้อยอิ่ง ดันร่างบางพิงต้นแคนา ลิ้นร้อนฉาบลงบนซอกคอผ่องจนเธอขนลุกซู่ มือหนาเลิกสาบเสื้อกองร่นบนเนินเนื้อ รั้งชั้นในรั้งใต้ฐานดอกบัวงาม
ลมเย็นปะทะอกอิ่มเนื้อนุ่มทำยอดอกสีสวยตั้งตระหง่านชูชันล่อตาล่อใจชายหนุ่มยิ่งนัก ใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนลงมาจดจ่ออกอวบสวย เขาจ้องมองความงามสักพัก ริมฝีปากร้อนเข้าครอบครองยอดอกสีชมพูระเรื่อ ดูดดันอย่างหิวกระหาย มืออีกข้างเคล้นคลึงเต้าอวบอีกข้าง
“พะ…พ่อครู”
“อ๊ะ…อื้อ” มือเล็กจิกวางลงบนบ่าแกร่ง เธอพยายามผลักคนตัวโตให้ออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล เขายังคงยุ่มย่ามอยู่บนทรวงอกอวบล้นมือของเธอไม่หยุดหย่อน
“พะ…พ่อครูเดี๋ยว มะ มีคนมาเห็นหยุดเถอะ”
“……” เขาผละออกมา เธอถอนหายใจอย่างโล่งใจที่เขายอมหยุด ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นพ่อครูหนุ่มย่อกาย ยกเรียวขาหนึ่งข้างพาดบ่าแกร่ง เขาเลิกผ้าซิ่นสีสวยรั้งกางเกงในผืนบางกองข้อเท้า ก่อนจะเคลื่อนใบหน้ากดจ่อบริเวณกลีบอูมอวบปิดสนิทสีสวย ที่ไร้ร่องรอยการรุกราน
“พะ พ่อครู ฉันอายนะ ยะ อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวของก็เสื่อมหรอก” บุหงาร้องปราม ดวงหน้างามแดงระเรื่อเขาเห็นของสงวนของเธอทั้งด้านบนและล่างหมดแล้ว
“……” เขาไม่ตอบ ปากร้อนขบเม้มกลีบอูมอวบด้านนอกหยอกเย้าเล็กน้อย บุหงาน้อยสั่นสะท้านจิกเกร็งกายาใหญ่ ลิ้นร้อนผ่าวรุกรานความเป็นหญิงแผ่วเบา เบียดเสียดลิ้นร้อนเข้าสู่ร่องรัก สลับขบเม้มดูดดุนและกลืนกินหยาดน้ำหวานที่เอ่อนอง
“อ่าส์…พ่อครู”
ลิ้นร้อนผ่าวกวัดขึ้นลงเข้าออกรัวเร็วทำให้บุหงาได้รับสัมผัสอันเร่าร้อนและห้วงอารมณ์เติมเต็มอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลิ่นสาวหอมหวนยั่วยวนเหล็กกล้า วินาทีนี้เขาไม่กระดากอายผู้ใดอีกต่อไป ปากหนาดูดกลืนหยาดน้ำหวานสีใสทุกหยาดหยด ไม่ปล่อยให้มันทะลักล้นออกมาให้เสียของ ก่อนบุหงาจะเกร็งกระตุกถี่รัวปลดปล่อยธารรักสีใสป้อนเข้าสู่โพลงปากหนาที่รอดูดกลืนจนหยาดหยดสุดท้าย บุหงาน้อยเสร็จสมเป็นครั้งแรก…
“หวานจริงดั่งเอ็งว่า...” คนฉวยโอกาสผละออกอ้อยอิ่งลอบยิ้มปั้นหน้าเรียบนิ่ง เขาประคองร่างบางเอาไว้ไม่ให้ล้มพับกองลงกับพื้น พลางช่วยนางสวมเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อย
“กลับบ้านกันเถอะจ๊ะเดี๋ยวพ่อฉันจะเอ็ดเอา” บุหงาเปลี่ยนเรื่องแก้อาย หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ หากเรื่องนี้รู้ถึงหูตาบัวเธอไม่อยากจะคิดภาพเลย