ตอนที่ 8
พิธีกรรมไหว้ครูเครื่องดนตรีไทยจัดขึ้นอย่างงดงามก่อนเสียงกลองยาวอึกทึกกึกก้องสลับเสียงฉิ่งตัดด้วยเสียงกรับ ท้วงทำนองดัดแปลงให้สอดประสานเสียงขับขานเข้มแข็งของการสวดบริกรรมคาถาเรียกและไล่ผีแม่หม้ายในคราเดียวกัน ไม้ไผ่เหลาสานประกอบวางแปดเหลี่ยมตอกลงบนพื้นดิน นำด้ายสายสิญจน์เวียนรอบไม้ไผ่อีกทีจากทางด้านนอกสร้างม่านมุ้งอาคม
ชาวบ้านบางคนที่กลัวลูกหลงเลือกที่จะกลับบ้านปิดประตูแน่นหนา รอคอยฟังข่าวจากคนที่อยู่ดูพิธี ส่วนชาวบ้านอีกกลุ่มเลือกที่จะสังเขปเหตุการณ์ภายในม่านมุ้งอาคม
พระประธานวางตั้งบนโต๊ะพร้อมดอกไม้ธูปเทียน พระสงฆ์เจ็ดองค์รวมพ่อครูด้วยเป็นแปด รูปปั้นองค์พญามัจจุราชกายสีแดงดั่งแสงแรกของดวงอาทิตย์ตั้งตระหง่านนอกเขตอาคม มือนึงถืออาวุธคู่กายบ่วงบาศ อีกมือนึงถือกระบองยมทัณฑ์ ทว่าอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงสะเทือนไปทั้งสามโลกนั่นก็คือ ดวงตาพญายม เป็นที่ครั่นคร้ามแก่เหล่าภูติผีปีศาจทั้งปวง
‘เอ็งว่าข้ารูปจริงหรือรูปปั้นหล่อเหลากว่ากัน’ พ่อครูเอ่ยในใจกับส้มป่อย
‘ฉันพูดได้หรอจ๊ะพ่อ’ ส้มป่อยนั่งเท้าคางมองรูปปั้นของพ่อจ๋าที่ชาวบ้านนำมาวาง
‘พูดไม่ดีมีซวย’ ไอยศูรย์หรี่หางตามองส้มป่อยแววตาเคืองขุ่น
‘ก็ต้องรูปจริงของพ่อสิจ๊ะ พ่อจ๋ารูปงามที่สุดในสามโลกไม่มีใครเทียมทัด’ เสียงเจื้อยแจ้วของกุมารทองตัวน้อยทำผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังความตายยกยิ้มลำพองใจ
‘หึ...’
‘พ่อจะให้ชาวบ้านจัดพิธีไล่ผีทำไม พ่อสะบัดมือโยกเดียวผีตนนี้ก็กลับลงสู่ปรโลกได้’
‘เคราะห์กรรมของหมู่บ้านข้าไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย ทำได้เพียงชี้แนะ’
‘แล้วไยเคราะห์กรรมพี่คนสวยพ่อจ๋าถึงยื่นมือเข้าช่วยล่ะ’
‘......’ เขาชะงักนิ่งหลังได้ยินคำถาม เพราะคำถามนี้แม้แต่ตัวเขาก็ไม่อาจหาคำตอบได้ เขายอมละทิ้งหน้าที่เพื่อมาดูแลปกปักษ์เธอถึงเพียงนี้เพราะเหตุอันใดหนอ หากมิใช่เพราะดวงตาคู่งามยามเศร้าสร้อยนั้นมันขัดใจเขา นางในชาตินี้สดใสร่าเริงกว่านางห้ามผู้นั้นที่เอาแต่นั่งหมอบอมความขมขื่นของชีวิต เขารู้สึกว่านางคู่ควรแก่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ได้เห็นนางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย สาบานว่าเขาไม่ได้ตกหลุมพรางพรนะเมตตาของตัวเอง
ดวงตาคมกริบเหลือบมองบุหงาที่ยืนขนาบข้างตาบัว ใบหน้าเรียวเล็กสวยสะคราญ ดวงตากลมโตสุกใส ขนตางอนเป็นแพ จมูกรั้น ริมฝีปากอิ่มแดงแจ๋เหมือนสีลูกตำลึง ภายใต้ร่างระหงสวมชุดผ้าซิ่นธรรมดาสีหม่น เธอกลับดูสง่าผ่าเผยดึงดูดผู้ที่เผลอสบตาลุ่มหลงดั่งต้องมนต์สะกดจนมิอาจถอนตัว
“บุหงาเอ็งปลอดภัยดีนะ” สิงห์ทักทายเธอแม้สีหน้าของเขาจะไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาลืมสิ้นความโกรธเคืองในวันก่อน เพียงแค่ได้มองดวงหน้าเธอก็ใจอ่อนยวบไปหมด
“ปลอดภัยดีจ๊ะแล้วพี่สิงห์ล่ะ?” เธอยิ้มตอบตามมารยาท
“เกือบแย่อยู่เหมือนกัน เมื่อคืนข้าเกือบไปแล้วดีที่พ่อกำนันเอามืออุดปากข้าเสียก่อน ไม่งั้นข้าคงไม่เหลือชีวิตรอดมายืนหัวโด่ตรงนี้”
“ฉันเสียใจเรื่องพี่ธันวาด้วยนะจ๊ะ ยังหนุ่มยังแน่นไม่น่าจากไปไวเลย” บุหงากล่าวถึงลูกน้องหัวเรี่ยวหัวแรงของสิงห์หนึ่งในผู้เสียชีวิตเหตุการณ์เศร้าสลดในครั้งนี้
“ขอบใจมากบุหงา คนที่น่าเสียใจที่สุดคงไม่ใช่พี่หรอกตาธรรมพ่อไอ้ธันวานู้น ลูกชายเดียวที่หวังพึ่งพิงตอนแก่มาตายจากคงผิดหวังไม่น้อย” แม้เขาจะเป็นหัวโจกอันธพาล ทว่าเขาก็มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง เขาอาจจะช่วยค่าใช้จ่ายงานศพและทิ้งเงินเอาไว้ให้ตาธรรมหนึ่งก้อน เอาไว้ดูแลตัวเองในยามป่วยไข้
“พี่ก็อย่าทิ้งตาธรรมล่ะ คอยแวะเวียนไปช่วยเหลือดูแลแกตามสมควรบ้าง”
“อืม” สิงห์ลอบมองหญิงสาวที่เขาหมายมั่นให้เป็นแม่ของลูก เขาคิดไม่ผิดที่หมายตาบุหงาตั้งแต่แรก กับผู้หญิงคนอื่นที่เขามีความสัมพันธ์ก็เพียงนึกสนุกชั่วคราว ไม่ได้คิดจริงจังเฉกเช่นบุหงาที่งามพร้อมทั้งรูปและอากัปกิริยา จะมีก็เพียงตาบัวที่เขาต้องผ่านด่านให้ได้
“พี่ไม่ไปปลอบรุ้งดาวมันหน่อยล่ะ”
“ปลอบทำไมพี่ไม่ได้เป็นอะไรกับมัน” สิงห์เอ่ยเสียงเรียบ มองคนข้างกายว่าเคืองโกรธเขาหรือไม่ ดูท่าข่าวลือจะกระจายไวไปถึงหูบุหงาแล้ว กับรุ้งดาวเขาก็แค่เล่นสนุกบำบัดความใคร่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เขาสาบานเลยหากบุหงายอมทอดกายเป็นเมียเขา เขาจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงพวกนั้นเด็ดขาด
“......” บุหงาพยักหน้าไม่พูดอะไรต่อ ดูท่าชายข้างกายจะตกใจไม่น้อยที่เธอรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของเขาและรุ้งดาว ไม่ทันที่เขาจะทันอ้าปากเอ่ยอะไรออกมา
แหวนเดินแหวกชาวบ้านเข้ามายืนแทรกคั่นระหว่างกลางบุหงาและสิงห์ ดวงตาแดงก่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ตาไพรพ่อนังแหวนเองก็เสียชีวิตเมื่อค่ำวานเช่นเดียวกัน แหวนสะอึกสะอื้นเสียใจที่เธอไม่เคยทำให้พ่อภูมิใจในตัวเธอได้เลยสักครั้ง พ่อยังไม่ทันเห็นเธอตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนลูกสาวบ้านอื่นเลย ความรู้สึกผิดถาโถมเธอในวันที่พ่อไม่อยู่เเล้ว
“มึงยังมีกูกับอีหอมอยู่นะอีแหวน ตาไพรแกไปสบายแล้ว” บุหงาสวมกอดเพื่อนพลางตบบ่าให้กำลังใจ
เสียงกิ่งไม้แตกหักราวกับเสียงประทัดต้นไม้น้อยใหญ่สั่นสะเทือนปลิวไหวตามแรงลม กลุ่มเมฆหมอกอึมขรึมบดบังแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ พื้นแผ่นดินบังเกิดการเคลื่อนไหวจนชาวบ้านยืนโอนเอียงกระจัดกระจาย เสียงหวีดร้องเล็กแหลมแผดเสียงลั่นบันดาลโทสะ
เสียงขับขานบริกรรมคาถาเร่งความเร็วและดังสู้เสียงจากธรรมชาติ ร่างโปร่งแสงพลันแปลงกายเป็นหญิงสาวชาวบ้านใบหน้างอหงิก ขอบตาลึกโบ๋ ดวงตาสีขาวขุ่น สวมเสื้อแขนกุดผ้าซิ่นลายดอกสีดำเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดเลือดแห้งกรัง กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยโชย
ข้อเท้าสวมกำไลเงินเสียงกรุ้งกริ้งสองข้าง ฝีเท้าแห้งเหี่ยวเหยียบย่ำลงสู่ธรณีเสียงอึกทึกน่าสะพรึงกลัว สองแขนจับจีบร่ายรำอ่อนช้อยในท้วงท่าบิดเบี้ยวของร่างกายจนผู้ที่พบเห็นตะลึงงันด้วยความกลัว รอยยิ้มแสยะฉีกกว้างถึงใบหูหันซ้ายทีขวาทีราวกับต้องการข่มขวัญชาวบ้าน
เสียงฮือฮาปนเปเสียงกรีดร้องของชาวบ้านรบกวนผู้ทำพิธีจนพ่อครูต้องตวาดเสียงดังให้สงบปาก
“ไม่อยากตายห่าทั้งหมู่บ้านก็หุบปาก!”
“......” พลันเสียงวี้ดว้ายก็สงบลงทันควัน
“ไยต้องมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน” หลวงตาเปิดปากถาม ขณะลูกวัดพร้อมใจกันบริกรรมคาถาสวดส่งวิญญาณเร่งจังหวะหนักแน่นกังวาล
“แล้วทีพวกมันสร้างความเดือดร้อนให้กู ไม่เห็นมีใครปกป้องกูสักคน” เสียงเย็นยะเยือกตอบกลับ ขณะร่ายรำบิดศรีษระหมุนวนราวกับลูกกลิ้ง ลิ้นสีแดงเลียหยดเลือดบริเวณมุมปาก รสชาติเลือดหอมหวานนุ่มนวลนัก
“หมู่บ้านคุ้มงามเคยไปสร้างความขุ่นเคืองให้เอ็งหรือ” หลวงตาพูดอย่างใจเย็น
“จะหมู่บ้านใดมีผู้ชายกูก็จะเอาไปหมด กูจะให้มันชิบหายวายวอดกันทั้งหมดนี่ล่ะ ฮิ..ฮิ” เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังราวกับอยู่ประชิดตัว
ไอยศูรย์เปิดดวงตาพญายมมองย้อนเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นผีร้าย พลันปรากฎภาพชายฉกรรจ์สี่ห้าคนรุมกระทำชำเรานางรำหน้าตางดงามกลางดึกสงัด ท่ามกลางงานศพคืนแรกของสามีที่พึ่งจะจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หมัดหนักกระแทกลงหน้าท้องบางเต็มแรงจนนางผู้นั้นหงายล้มนอนงอตัว มือเรียวกุมหน้าท้องอย่างรู้สึกจุกและเจ็บจนพูดไม่ออก
งานศพของสามีถูกจัดขึ้นที่บ้านอย่างเรียบง่าย หลังทุกคนที่มาช่วยงานต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน แผนการชั่วร้ายจึงเริ่มขึ้น บ้านของนางอิ่มตั้งห่างไกลผู้คนจึงสะดวกต่อการย่ำยี เสียงกรีดร้องหายเข้าไปในลำคอ ริมฝีปากเหม็นกลิ่นเหล้าขาวกดจูบดูดกลืนเสียงกรีดร้องของนางรำนางนั้น
“ฮึก..ฮึก” นางอิ่มแหงนมองรูปภาพหน้าศพของสามี น้ำตาไหลพรากสองข้างอ้อนวอนให้มีคนมาช่วย ด้วยแรงที่สู้ชายฉกรรจ์ห้าคนไม่ไหวเป็นเหตุให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตามเนื้อตัวแดงฉานจากร่องรอยการต่อสู้
ผ้าซิ่นลายดอกถูกเลิกขึ้นมากองบนสะโพก ท่อนขาเรียวขาวถูกจับแยกโดยมีหนึ่งในนั้นเป็นผู้ช่วย มือสองข้างถูกมัดตรึงเหนือหัว ไม่มีโอกาสทางหนีให้เธอรอด
ชายฉกรรจ์เสพสุขกับเรือนร่างยั่วยวนตลอดทั้งคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สลับวนผลัดเปลี่ยนกันไปมา ร่างบางร้องไห้จนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด ความเจ็บปวดบนร่างกายไม่เท่าความเจ็บปวดทางใจ พวกสัตว์เดรัจฉานฉวยโอกาสนี้รังแกนางอย่างทารุณ ป่าเถื่อน
คนที่เธอเคยคิดว่าหวังดีเห็นเป็นคนในครอบครัวอย่าง ลุงทิด ก็ร่วมผสมโรงย่ำยี พวกมันทุกคนต่างมีครอบครัวกันแล้วทั้งนั้น เมียของพวกมันยังมาช่วยงานศพสามีเธออยู่เลย ไม่ทันไรคล้อยหลังส่งเมียกลับบ้าน พวกมันจึงหวนมาย่ำยีเธอโดยใช้ข้ออ้างว่ามากินเหล้าฟรีในงานศพ
“ลุงทิดอย่าทำแบบนี้ ฉันขอร้อง ฉันเห็นลุงเหมือนลุงแท้ ๆ ของฉันนะ ถ้าลุงทำแบบนี้ฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็น ฉันจะกล้าสู้หน้าป้าน้อยได้ยังไง ฮึก” อิ่มขอร้องอ้อนวอนลุงทิด ตาเฒ่าหาได้รับฟังคำวิงวอนไม่ มือไม้สั่นเทาปลดกางเกงสามส่วนของตนออก เผยความเป็นชายแห้งเหี่ยวที่ผงกหัวสู้
“ข้าแอบมองเอ็งมาตั้งนาน วันนี้สบโอกาสเอ็งจะให้ข้าถอยแล้วมองดูคนอื่นเอาเอ็งหรืออีอิ่ม อย่าใจร้ายกับลุงเลย แม้ข้าจะแก่แต่ข้าก็ยังมีแรงเอาให้เอ็งเสียวอยู่ดอก” ว่าจบความเป็นชายแห้งเหี่ยวสีคล้ำเบียดเสียดสู่ภายในสีแดงระเรื่อจากการถูกรุกรานมาอย่างหนัก ลุงทิดเป็นผู้สุดท้ายที่ได้เริงรักร่างกายนางอิ่ม ตาเฒ่าหื่นกามส่งสะโพกกระแทกเนื้ออิ่มเสียงดังลั่น คำรามครางอย่างผู้สุขสม ให้สาสมกับความอยากได้ในตัวนางอิ่มมานาน
“ลุงทิด ฮึก…ฮืออ” นางอิ่มใจแตกสลาย ยามลุงทิดกระแทกกระทั้นส่งแก่นกายเข้ามาภายในยิ่งตอกย้ำความอัปยศในชีวิตนาง
ร่างกายเปลือยเปล่าถูกกระทำย่ำยีฟ้อนเฟ้นหนักหน่วงต่อหน้าโรงศพสามีที่พึ่งเสียชีวิตหมาด ๆ ความเป็นชายรุกรานสลับคำพูดดูถูกเหยียดหยามข้างหู พวกมันวนจนครบจำนวนคน กลิ่นคาวน้ำกามฟุ้งทั่วเรือนร่างเล็ก ก่อนจะผละหนีไปคนละทิศละทางพร้อมทิ้งท้ายด้วยคำพูดข่มขู่
“มึงเอาเรื่องนี้ไปฟ้องใครมึงตายอีอิ่ม” มือหยาบเชยคางมนก้มใบหน้าสูดดมกลิ่นกายสาวอีกครั้ง อิ่มสะบัดหน้าหนีสัมผัสอย่างรังเกียจก่อนถุยน้ำลายรดใบหน้าหยาบ
“พรุ่งนี้พวกกูจะกลับมาอีก เสียวมั้ยละมึงมีผัวเพิ่มมาตั้งห้าคน ผัวตายมึงก็ไม่เหงา มึงต้องขอบใจพวกกูนะอีอิ่มที่มาสงเคราะห์แม่หม้ายอย่างมึง” หนึ่งในนั้นแสยะยิ้มหลังสุขสมอารมณ์หมาย ส่วนนั้นของอีอิ่มตอดดีจริง ๆ ทำเขาเสร็จไปตั้งสองรอบ ก่อนจะหยิบกางเกงผ้าฝ้ายขึ้นมาสวม
“อย่าโทษโกรธเคืองข้าเลยนะอีอิ่มใครใช้ให้เอ็งงดงามจนพวกข้าอดใจไม่ไหวถึงเพียงนี้ จะว่าไปเอากับเอ็งก็เสียวกว่าเมียที่บ้านอยู่ดอก ต่อจากนี้ให้พวกข้าเอากับเอ็งชดเชยแทนผัวที่ตายไปดีมั้ย...” ลุงทิดกล่าว เขากระสันเสียวยามสอดกายแทรกเข้าไปในกายอีอิ่มยิ่งนัก กลิ่นกายนางปลุกกำหนัดตาเฒ่าอย่างเขาได้เป็นอย่างดี อายุอานามอีอิ่มรุ่นราวคราวหลานแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
หลังกลุ่มชายฉกรรจ์แยกย้ายหญิงสาวพยายามยันกายคว้านหาเสื้อผ้าที่ถูกทึ่งจนขาดวิ่น พลางนั่งกอดเข่ามองรูปภาพของสามีแล้วร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน งานศพคืนแรกผ่านไปด้วยความตรอมตรม เธอฝืนอยู่ต่อให้ครบจบเจ็ดวันด้วยสภาพจิตใจเหม่อลอย
รุ่งขึ้นเมียของชายฉกรรจ์เหล่านั้นมาช่วยงานศพอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าสามีของพวกหล่อน หลังกระทำย่ำยีกับเธอแล้วก็กลับไปนอนกกกอดเมียของตน ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อีอิ่มนั่นหน้ามึงไปโดนอะไรมา” ป้าน้อยเมียลุงทิดเอ่ยถามหลังสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของหญิงสาวที่เธอเอ็นดูราวกับลูก
“เดินไม่ระวังไปกระแทกคานบ้านจ๊ะป้า” อิ่มจำใจฝืนพูดไปอย่างนั้น แม้จะรู้สึกร้อนหนาวกับสายตาโลมเลียของลุงทิด
ลุงทิดอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ทำท่ามาตักน้ำในโอ่งดื่มกิน ก่อนจะกระซิบกระซาบคำพูดที่เธอขยะแขยง ตาเฒ่าอดใจไม่ไหวยังหวนนึกถึงความเสียวเมื่อคืน
“ตามข้ามาถ้าไม่อยากให้เรื่องเมื่อคืนรู้ถึงหูเมียพวกนั้น มึงก็รู้ว่าหากเมียอ้ายพวกนั้นรู้ว่ามันมาเอากับมึง มึงอยู่ไม่สุขแน่ในหมู่บ้านนี้ ไม่แคล้วพิธีเผาผีผัวมึงคงไม่มีใครมา” ลุงทิดขู่
ลุงทิดกึ่งลากกึ่งจูงนางอิ่มมาบริเวณป่าละเมาะหลังบ้าน ตาเฒ่าจับร่างอวบอั๋นหันเข้าหาต้นไม้ใหญ่ถล่กผ้าซิ่นลายดอกสีดำกองบนสะโพกขาว มือเหี่ยวหยาบล้วงอาวุธประจำกายกดสอดร่องรักแห้งเหือดของนางอิ่ม ลุงทิดแม้อายุจะปาไปเกือบเจ็ดสิบแต่กำลังวังชาหาได้ด้อยไปกว่าเด็กหนุ่ม สะโพกเหี่ยวขยับเข้าออกนานหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ได้ฟ้อนเฟ้นร่างอวบอั๋นของอีอิ่มสองต่อสอง
“อ๊าาส์ อีอิ่มมึงมาเป็นเมียอีกคนของกูมั้ย กูอยากเอามึงทุกวัน…” ลุงทิดครางสยิวข้างใบหูเล็ก
“……” อิ่มเงียบ ดวงตาน้ำตาคลอเบ้า
หลังเสร็จภารกิจลุงทิดบังคับหญิงสาวให้ตอบรับจูบอันน่าขยะแขยง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับเข้างาน ใบหน้าตรอมตรมคนภายนอกอาจจะคิดว่าเธอเสียใจที่สูญเสียสามี มันก็ใช่แต่เธอเจอเรื่องหนักหนามากกว่าที่ใครคิด
อิ่มทุกข์ใจอย่างหนักอยากจะรอให้จัดงานศพของสามีให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ทว่าหากเธอรอจนครบเจ็ดวัน เธอก็ต้องถูกพวกมันย่ำยีจนไม่เหลือค่าความเป็นคนไปอีกหกวัน เธอรอไม่ได้อีกแล้ว เธอขยะแขยงตัวเองเกินจะทนไหว ร่องรอยความเหี้ยมที่พวกมันฝากฝังเอาไว้ยังไม่จางหาย เธอเกลียด เกลียดพวกมัน!
หลังพระสงฆ์สวดอภิธรรมเสร็จสิ้น แขกเหรื่อแยกย้ายกันกลับ อิ่มเดินมาลาข้างโลงศพมือข้างหนึ่งถือเชือกเตรียมอัตวินิบาตกรรมตนเอง ขืนมัวลีลาชักช้าจะไม่ทันการ ถ้าพวกมันมาก่อนคงจะห้ามและขืนใจเธออีก
“ฉันมาลา...ฉันขอโทษนะพี่แต่ฉันคงไม่กล้าสู้หน้าพี่ในปรโลกอีกแล้ว ฉันขอให้พี่ไปสู่สุคตินะ แต่อ้ายอีตนใดที่มันทำกับฉัน ฉันจะลากคอมันลงนรกไปพร้อม ๆ กับฉัน” ใบหน้างามฉายแววอาฆาตเด็ดเดี่ยว ความเกลียดชังคับแน่นเต็มอก ต่อให้ตายห่าตายโหงกลายเป็นสัมพเวสี เธอก็จะตามล้างตามแค้นคิดบัญชีพวกมันทุกชาติภพ
อิ่มเลือกจบชีวิตตนลงพร้อมกับความอาฆาตพยาบาทเต็มทรวงอกบริเวณคานหน้าบ้าน ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะกลับมาย่ำยีเธอซ้ำสองแล้วเห็นร่างตาเหลือก ลิ้นจุกปาก สิ้นลมหายใจแขวนคออยู่บริเวณคานบ้าน คนในหมู่บ้านสงสารจึงตั้งโรงศพนางอิ่มเคียงคู่สามี หลังพิธีฌาปนกิจสองผัวเมีย ผีนางอิ่มเริ่มออกอาละวาดไล่บี้เอาชีวิตกลุ่มชายฉกรรจ์จนครบ หมอผีที่ว่าเก่งกาจโดนผีนางอิ่มตบมาแล้วทั้งสิ้น
ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่าอีอิ่มกลายเป็นผีแม่หม้ายจะเอาชีวิตผู้ชายไปเป็นผัว หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงมันน่าสลดเช่นนี้ แต่กระนั้นหลังการแก้แค้นของเธอได้เริ่มขึ้น เธอไม่มีทีท่าจะหยุดยั้ง ความกระหายเลือดมีแต่เพิ่มพูนจนต้องออกมาอาละวาดนอกอาณาพื้นที่ของตน
บทสวดภารยักษ์ดังและดุดันสู้เสียงหัวเราะในลำคอของผีร้ายตรงหน้า ใบหน้าเน่าเฟะมีหนอนซอนไซไต่ออกจากผิวหนัง ดวงตาเกือบถลนหลุดจากเบ้า นางอิ่มร่ายรำท่ามกลางบทสวดภารยักษ์ เธอไม่สะทกสะท้านแถมยังกระทืบเท้าเสียงดังสนั่นอย่างตั้งใจก่อกวน ฝีเท้ากรุยกรายล้อหลอกไม่ลดละ
ผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังควายตายยืนจังก้าพาดมือไขว้หลังมองผีร้ายที่โทสะและความอาฆาตบดบังดวงตาแห่งความดี เขารู้สึกเวทนาเสียมากกว่า ผู้หญิงตัวคนเดียวไร้คนดูแลปกป้องทำให้พบจุดจบอันน่าเศร้าสลดแบบนี้
‘บทสวดภารยักษ์ยังทำอะไรมันไม่ได้เลยนะพ่อ’ ส้มป่อยเอ่ยหลังเงียบมานาน
‘พลังวิญญาณมันแข็งแกร่งมันได้กินไปกี่ชีวิตแล้วละมึงคิดเอา ยังไม่รวมคนตายจากหมู่บ้านอื่นอีก’
‘จะไม่ช่วยจริงหรอพ่อ ม่านอาคมแตกจะซวยกันหมดนะ’ ส้มป่อยหยั่งเชิงผู้เป็นพ่อ
‘เอ็งจะให้ข้าฝืนชะตาฟ้าดินอีกแล้วรึ เอ็งกินน้ำกระทะทองแดงแทนข้ามั้ยล่ะ’ ไอยศูรย์พูดติดตลก
‘ไม่เอาหรอกพ่อ น้ำกระทะทองแดงทั้งเจ็บทั้งร้อน ขืนข้ากินท้องข้าก็ทะลุพอดี’
‘ทีงี้รีบปัดเชียวไอส้มป่อย’ แม้จะทำทีปฏิเสธแต่เขาเรียกการเวก ยมฑูตที่คอยรับใช้มารับคำบัญชา
‘ไปตามดวงวิญญาณผัวของนังอิ่มมายังไม่ไปเกิดใช่มั้ย?’
‘ยังขอรับแต่จะดีหรือขอรับ’
‘เอ็งเห็นมั้ยล่ะบทภารยักษ์ยังทำอะไรผีนังอิ่มไม่ได้ มันยังเต้นระบำโชว์อยู่เลย รูปปั้นข้ามันยังไม่เกรงแทบจะขี่คอรูปปั้นข้าอยู่แล้ว จะให้ข้าใช้ดวงตาพญายมส่งมันลงนรกก็จะดูเอิกเกริกไปมีชาวบ้านอยู่มาก’ ไอยศูรย์เพยิดหน้าให้การเวกดู เป็นจริงดั่งท่านยมเอ่ย
‘ข้าจะไปตามวิญญาณผัวนังอิ่มให้ขอรับ’
พ่อครูเหลียวหลังมามองบุหงาที่กำลังปลอบขวัญเพื่อนสาวข้างกาย แม้ว่าหล่อนเองก็อกสั่นขวัญแขวนไม่แพ้กัน หากหญิงผู้โชคร้ายนั้นเป็นนาง เขาคงปวดใจน่าดู
“เอ็งกลัวรึ...” พ่อครูขยับกายเข้าใกล้บุหงา มือสากลูบผมหนายาวสลวยคล้ายปลอบประโลมนางอีกต่อ
“นิดหน่อยจ๊ะ”
“พ่อครู...” เสียงขุ่นของตาบัวร้องเรียกชายหนุ่ม สายตาต่อว่าที่ทอดมองมาคงจะหวงลูกสาวที่เขาถึงเนื้อถึงตัว ไอยศูรย์ชักมือกลับเขากรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
ถึงเอ็งจะเป็นพ่อลีลาวดีในชาตินี้
แต่ข้าส่งมันมาเกิดโว้ย!
“อะ…เอ่อ ว่าไงตาบัว” ชายหนุ่มเกาศรีษระแก้เก้อ
“สนใจนังผีแม่หม้ายก่อนจะมาสนใจลูกสาวข้า”
“เห็นทีพ่อครูจะตบะแตกเพราะสาวงามแล้วกระมัง” สิงห์ปรายหางตามองไม่ชอบใจเช่นกันที่ไอ้เพลิงมายุ่มย่ามกับบุหงา
“ถ้าจะแตกเพราะนังบุหงาข้าก็ยอม” พ่อครูสบดวงตากลมโตของหญิงสาวพลางเอื้อนเอ่ยประโยคเอาใจ บุหงาหน้าแดงซ่านรีบหันหน้าหนี
“ถึงกับมาพูดจาเกี้ยวพาราสีสตรีโจ่งแจ้งขนาดนี้ ไม่ปงไม่เป็นแล้วมั้งพ่อครู” สิงห์ชักสีหน้า
“กูเป็นพ่อครูไม่ใช่พระสงฆ์มึงเข้าใจอะไรผิด” พ่อครูเลิกคิ้วถามสีหน้ายียวน
“พอ ๆ จะทะเลาะกันให้ได้อะไร ไอสิงห์มึงก็สงบปากสงบคำหน่อยเถิด เชิญพ่อครูไปร่วมพิธี...” ตาบัวผายมือให้ชายหนุ่มร่างสูง พ่อครูพยักหน้าก่อนจะกลับหลังหันดังเดิม
ผีร้ายร่างดำลอยวนรอบม่านอาคม ดวงตาสอดส่องผู้คนภายในม่าน ผีนางอิ่มฉีกริมฝีปากของมันยาวลึกจนถึงใบหู อวดความสยดสยองผสานเสียงหัวเราะแหบพร่า วิญญาณที่เธอกลืนกินกลายมาเป็นลูกสมุนคอยรับใช้เธอ ปราศจากอิสระการเวียนว่ายตายเกิด หากนางอิ่มไม่ยอมปลดปล่อย พวกมันก็จะเป็นบริวารที่คอยรับฟังคำสั่งตราบนานแสนนาน
“ไปทำลายม่านอาคมให้จงได้!!!” เสียงเล็กแหลมแผดลั่นออกคำสั่งเหล่าวิญญาณใต้อาญัติ
เงาดำตะคุ่มนับสิบค่อย ๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดินพุ่งชนม่านอาคมอย่างคลุ้มคลั่ง ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์หลับตาปี๋ปิดปากเงียบสนิท หากพิธีล่มเกรงว่าจะไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้