Risk Friend : 05
--------------
วันนี้ฉันมาถึงมหา’ลัยก่อนเวลาเรียนเกือบชั่วโมง เพราะเมื่อคืนโดนสั่งงดเล่นเกม แถมมี๊ยังควบคุมให้เข้านอนแต่หัวค่ำก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติ พร้อมกับความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพในรอบหลายเดือน
ความจริงก็รู้หมดแหละว่าอะไรดี…ไม่ดี แต่มันอดไม่ได้ไง พอเริ่มแล้วก็ยากจะหยุด อารมณ์แบบยิ่งเล่น ยิ่งเดือด ยิ่งชนะ ยิ่งห้าว ยิ่งไม่สะดุด ก็ยิ่งไหลไปเรื่อย จากเที่ยงคืนก็ขยับเป็นตีหนึ่งตีสอง หนักสุดก็สว่างคาตา…
งงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ไง
ครืด! ครืด! ครืด!
แรงสั่นเป็นจังหวะในกระเป๋าสะพายไหล่ทำให้ฉันต้องยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดู หน้าปัดแอปเปิ้ลวอชโชว์สายเรียกเข้าจาก แตมมี่ เพื่อนเลิฟ ฝีเท้าฉันชะลอลงเล็กน้อย ขณะล้วงหยิบไอโฟนออกมารับสาย
“คิดถึงเค้าเหรอคะ…”
[เปล่า กูจะบอกว่าวันนี้ไม่ว่างแล้ว]
“อะ อ้าว…” ประโยคไร้สิ้นเยื่อใยแบบนั้นทำริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบานแช่งในตอนแรก คว่ำเป็นกะละมังข้าวหมาเลยทีเดียวเชียว
[กูมีงานค้างที่ต้องรีบเคลียร์อะ]
“แต่มันเป็นรอบพรีวิวเลยนะ” ฉันเริ่มงอแง ช่วงไหล่ลู่ลงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ความสดใสสลายหายวับไปกับมวลอากาศ นึกถึงตอนนั่งหลังขดหลังแข็งแย่งกดจองตั๋วรอบพิเศษก่อนเข้าฉายจริงของอะนิเมะเรื่องดังจากประเทศญี่ปุ่นที่เฝ้ารอมานานหลายปี ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้นแล้วใครจะยอมทิ้งง่าย ๆ กันเล่า
เพราะถ้าฉันพลาดรอบนี้ ก็ต้องรอไปอีกตั้งสามวัน แล้วยังต้องหลบเลี่ยงรีวิวในโซเชียลอีก ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ
[มึงชวนไอ้เฮียตะวันไปเป็นเพื่อนก่อน เดี๋ยววันศุกร์เราค่อยไปตี้กัน]
“แล้วกูเลือกอะไรได้ไหม…” กลัวว่าน้ำเสียงมันจะเศร้าไม่พอ ฉันเลยใส่ทำนองเพลงฮิตยุคเก้าศูนย์ลงไปด้วย บิลด์สุดชีวิตหวังให้คนฟังเห็นใจกันสักนิด
แต่ก็นั่นแหละ…ไม่มีประโยชน์เลย
[น่า คืนวันศุกร์กูชดให้เต็มที่เลย แค่นี้ก่อนนะมึง บาย…เตี้ย]
สนิทไม่สนิทก็เทหมด ไม่สลดก็เทอีก
เหอะ!
ลมหายใจถูกพ่นผ่านปลายจมูกแรง ๆ หลังจากสายตัดไป ฉันโคลงหัวไปมาอย่างไร้ทางเลือก มีเพื่อนเป็นนักศึกษาพยาบาลก็ต้องทำใจหน่อยแหละเนอะ ดูทรงงานหนักตั้งแต่แรกเริ่มเลย
แล้วอย่างไอ้เฮียตะวันน่ะเหรอจะไปกับฉัน รอให้หิมะตกในไทยก่อนเถอะ
ส่วนพวกที่เหลือก็…
ระหว่างที่ฉันกำลังชั่งใจว่าจะทิ้งคำชวนไว้ในไลน์กลุ่มหรือชวนแบบส่วนตัวดี หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งตรงข้างตึกคณะซึ่งห่างจากจุดที่ฉันยืนประมาณสามสิบเมตร
เรือนผมสีเทาเงินของคนตัวสูงทำฉันใจเต้นระส่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แม้จะระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน แต่บริบทมันชวนให้คิดไปไกลเกินกว่าการพูดคุยธรรมดา ม่านหมอกยืนหันหลังให้ฉัน สองมือเขาประคองใบหน้าผู้หญิงคนนั้นไว้ องศาของศีรษะก็เอียงในระดับที่พอจะมอบสัมผัสลึกซึ้งได้พอดิบพอดี
ภาพอุจาดตา แต่บาดใจจนมันกระตุกวูบไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะมีอีกความรู้สึกเข้ามาแทนที่ มันเหมือนกับตอนที่โดนแย่งอมยิ้มแสนอร่อยยังไงยังงั้น ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ไม่พอใจที่ผุดขึ้นมา และหากไอโฟนในมือเป็นโฟมบางเบา พูดได้เต็มปากว่ามันคงแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว
ปลายเท้ากำลังขยับก้าวต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงรั้งที่ช่วงบ่าให้หันกลับไป
“มายืนทำไรตรงนี้”
“ไฟ…”
“เป็นอะไร” คิ้วเข้มของหนุ่มนิติขมวดแน่น
“เปล่า ไม่ได้เป็น”
หมายถึงไม่ได้เป็นอะไรกับเขา!
น่าอายชะมัดที่เผลอเรียกด้านมืดของจิตใต้สำนึกออกมาใช้งาน โชคดีนะที่ไฟเข้ามาก่อน ไม่งั้นฉันคงเดินเข้าไปกระชากหัวไอ้เพื่อนตัวดี หรือไม่ก็ทุบแผ่นหลังกว้างนั่นสักทีสองที
“ไอ้หมอก?” ไฟลากสายตาไปโฟกัสจุดเดียวกัน เขาดูงุนงงกับภาพที่อยู่ตรงหน้าพอสมควร คงเพราะคนคนนั้นคือม่านหมอก ไม่ใช่พายุอย่างเช่นทุกที กรอบแว่นถูกขยับให้เข้าที่โดยผู้สวมใส่ พร้อมกับถอนหายใจคล้ายกับเอือมระอา จากนั้นเขาก็เลื่อนกอบกำข้อมือฉัน
“ไปกันเถอะ”
ไฟพาฉันเข้ามากินข้าวเช้าในแคนทีนใต้ตึกบริหารที่โต๊ะประจำ ไม่รู้ผ่านไปกี่นาทีที่ฉันยังเอาแต่นั่งเท้าค้างเขี่ยหมูในจานข้าวราดผัดผักแสนอร่อยราวกับเด็กน้อยเบื่ออาหารอยู่แบบนั้น
“ทำไมถึงชอบดูอะไรที่มันไม่เจริญตา”
ฉันเหลือบตามองเจ้าของคำถามซึ่งนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าไฟต้องการคำตอบจริงจังทางทฤษฎีหรือแค่หาเรื่องพูดไปเรื่อยเพื่อทำลายความเงียบเหงาบนโต๊ะอาหาร
“ก็มันเห็นเองไหมล่ะ”
เมื่อก่อนฉันก็บังเอิญเห็นพายุจูบกับสาวรุ่นพี่ในโรงเรียนมัธยมอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขัดตา บางครั้งยังแอบจิ้น แอบฟินคล้ายกับกำลังดูหนังโรแมนติกอะไรทำนองนั้น
ทว่าครั้งนี้ฉันดันหัวลุกเป็นไฟ...
และเหมือนจะลุกโชนกว่าเดิมเมื่อเห็นตัวต้นเรื่องเดินกอดคอพายุผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามา ไม่นานทั้งคู่ก็มาหยุดยืนหัวตัวโต๊ะ
“สวัสดีเช้าแสนสดใสค้าบเพื่อน ๆ”
“สดใสพ่อง...” ฉันมองพายุด้วยสายตารำคาญ
“อ้าว ไปแดกรังแตนที่ไหนมาฮะ เอ๊ะ หรือว่าโดนเทก็เลยหงุดหงิด”
“ไอ้ตี๋!” ช้อนส้อมถูกทิ้งลงบนจานแบบไม่ออมแรง เช่นเดียวกับเสียงที่แผดออกมาอย่างเหลืออด จนผู้คนบริเวณใกล้เคียงสะดุ้งกันเป็นแถว ๆ
คำว่า โดนเท ในประโยคกลายเป็นน้ำมันที่สาดใส่กองไฟได้ยังก็ไม่รู้
“โว้ว...ใจเย็น” สองมือของคนก่อหวอดยกขึ้นเสมอหัว “ถ้าไม่ติดว่ากูนัดน้องจูนไว้แล้ว ก็จะไปนั่งโง่ ๆ เป็นเพื่อนมึงอยู่หรอก แต่ๆๆๆ มึงไม่ต้องเศร้าเพราะกูหาคนไปกับมึงไว้ให้แล้ว นี่เลย หนุ่มบริหารสุดเพอร์เฟกต์”
พูดจบมันก็ผายมือไปที่คนข้าง ๆ อย่างจงใจนำเสนอสุด ๆ
มาถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าพายุพูดถึงเรื่องโปรแกรมรอบสองทุ่มของฉัน เดาว่าอีแตมคงไลน์บอกให้มันไปแทน
“ถ้าเป็นเรื่องที่อีแตมบอกมึง ไม่ต้อง! เพราะกูนัดไฟไว้แล้ว” ฉันโป้ปดคำโตกว่าข้าวที่ไฟกำลังจะตักเข้าปาก นั่นทำให้ช้อนในมือเขาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
“ฮะ?” คนถูกแอบอ้างทำหน้างงครู่หนึ่ง พอเห็นฉันส่งซิกให้ ไฟเลยไหลไปตามน้ำอย่างรู้งาน “อ๋อ...เออใช่”
“แต่กูก็ว่างนะ” ม่านหมอกแทรกขึ้นมาหลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน ตอนแรกฉันก็อยากให้เขาไปด้วยนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว
“แต่ตั๋วมีแค่สอง” ฉันกระแทกเสียงใส่ ด้วยความรู้สึกที่มันยังยุบยิบอยู่ข้างใน
“ไอ้ไฟมันเรียนเยอะ มันไม่ว่างหรอก”
“กูว่างนะ” ไฟยิ้มรับและฉันก็หันไปยิ้มให้
“ก็ มึงบอกกูว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ”
“ตอนไหน วันนี้กูว่างจัดเลย”
ฉันสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมคณะออกอาการไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกัดฟันพูดออกมาหนึ่งประโยค
“ขอบคุณ...ไอ้เวร”