Risk Friend : 01 - 2

1791 คำ
Special Part : Manmok ย้อนไปสองชั่วโมงก่อน… ขาตั้งบิ๊กไบค์คู่ใจถูกเตะลงเมื่อถึงจุดหมาย ผมถอดหมวกกันน็อกวางบนถังน้ำมัน สะบัดหัวเล็กน้อยพลางใช้มือเสยเซทผมสองสามที และปิดท้ายด้วยการตรวจสอบความเรียบร้อยผ่านกระจกข้างอีกนิดหน่อย ก็เป็นอัน...เพอร์เฟกต์! ไม่ใช่ว่าเนี้ยบอะไรขนาดนั้นหรอกนะ สไตล์การแต่งตัวของผมก็ธรรมดาทั่วไป เพียงแค่มันชินกับการที่ต้องเสริมความมั่นใจก่อนออกสู่สายตาสาธารณชนเท่านั้นเอง หลังตวัดขาลงมายืนข้างรถ ผมก็กวาดมองไปรอบ ๆ ลานเซิร์ฟสเก็ตขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ที่เคยเป็นแหล่งรวมตัวของชาวแก๊ง หมายถึงผมกับบรรดาเพื่อนสนิทน่ะ ด้วยความรู้สึกแบบ...ค่อนข้างอธิบายยากเลยแหละ ไม่รู้เพื่อนจะต้อนรับขับสู้หรือผลักไสไล่ส่ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็เข้าใจได้นะ คือถ้าห่างกันแล้วยังมีการคอนแท็กต์บ้างมันก็ปกติไง แต่สี่ปีที่ผ่านมาผมทำตัวไม่ต่างจากบุคคลสาบสูญเลย ไม่เคยส่งข่าว ไม่มีอัปเดตโซเชียล แถมยังต้องตัดขาดทุกช่องทางติดต่อเพราะความจำเป็นหลาย ๆ อย่าง ไม่แปลกหรอกหากเพื่อนจะโกรธ ผมคิดว่ามันสมควรด้วยซ้ำ ความจริงผมกลับจากนอร์เวย์ได้สองวันแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสปลีกตัวออกมาเปิดหูเปิดตา ก็เลยเลือกสนามเซิร์ฟสเก็ตเป็นที่แรก เพราะคิดว่าอาจได้เจอพวกมันครบทุกคนแบบไม่ต้องวิ่งไปโผล่หน้าเซอร์ไพรส์ตามบ้าน และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมกดยิ้มมุมปากทันทีที่เห็น ไอ้พายุ กำลังกระโดดหมุนบอร์ดร้อยแปดสิบแบบโคตรเทพบนพื้นยกสูง ก่อนหนุ่มแว่นสุดเนิร์ดอย่าง ไอ้ไฟ จะไล่ตามไปติด ๆ ส่วนอีกคนที่ยืนเท้าเอวอยู่ไม่ไกลมันชื่อสายลม และก็... อ่า ไอ้ตะวัน ผมเห็นมันนั่งหลบมุมพิงแท่นปูนอยู่ขอบสนามฝั่งตรงข้ามนู้น ก็เลยปรี่เข้าไปหาอย่างไม่ลังเล ผมทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าเงียบ ๆ แต่ด้วยความใกล้ระยะเผาขนทำให้คนจดจ่อกับหน้าจอมือถือต้องละสายตามามองอยู่ดี สีหน้างงงวยของมันในตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันควัน เมื่อผมเอียงคอและโบกมือน้อย ๆ เป็นการทักทาย “ไอ้เหี้ยหมอก!!” “ช็อกเพราะความหล่อของกูใช่ไหม” “ไอ้เวร กูนึกว่าแม่งตายห่าไปแล้ว” มันยกมือขึ้นผลักหัวผมจนไหวเอนไปตามแรงราวกับตุ๊กตาล้มลุกก็ไม่ปาน “เป็นการต้อนรับที่ไม่เลว” ผมกลั้วหัวเราะ เพราะลึก ๆ ก็แอบรู้สึกดีที่เพื่อนยังมีท่าทีสนิทสนมเหมือนเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงไอ้ตะวันแหกปากเรียกกำลังเสริม “เห่ย ไอ้เหี้ยนั่นมันกลับมาให้พวกมึงยำแล้ววะ” “…!” กว่ายี่สิบชีวิตหยุดชะงักและหันมามองผมเป็นตาเดียว แค่แปดตีนยังพอรับไหวนะ แต่ถ้าทั้งสนามคงได้นอนหยอดข้าวต้มไปหลายเดือนแหง ๆ สุดท้ายสถานการณ์ก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหันไปสานต่อกิจกรรมของตัวเองต่อ มีแค่ไอ้สามตัวที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านั่นแหละที่พากันวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากลานกว้าง “กูไม่คิดว่ามึงจะกลับมาแล้วนะเนี่ย” น้ำเสียงตื่นเต้นปนเหนื่อยหอบของไอ้พายุดังขึ้นหลังจากที่มันหย่อนก้นลงนั่งข้างผม โดยที่ไฟ กับ สายลมยังยืนอยู่ตรงหน้า “กูต้องกลับมาอยู่แล้วปะ?” สายตาที่พวกมันมองผมไม่เปลี่ยนไปเลย สายตาผมก็เช่นกัน... คำว่า เพื่อนไม่เก่า มันเป็นแบบนี้เองสินะ! จากนั้นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็หมดไปกับเรื่องไร้สาระตามประสาผู้ชาย มีทั้งคำสรรเสริญเชิดชูและแจกหมัดมือกันคนละทีสองทีจนพอใจ ก่อนไปจบที่ลานเซิร์ฟสเก็ตตามสเต็ป …ยอมรับอย่างไม่อายว่าคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ฉิบหาย “มองหาไอ้จ้าวไง๊?” ไอ้ไฟเอ่ยถามหลังเร่งฝีเท้าขึ้นมาขนาบข้างและยกแขนขึ้นพาดต้นคอผม ขณะเดินกลับเข้ามานั่งพักเหนื่อย มันคงสังเกตเห็นว่าผมชะเง้อมองหาใครบางคนอยู่บ่อยครั้ง “อือ” ไอ้จ้าว หรือ จันทร์เจ้า คือน้องสาวฝาแฝดของไอ้ตะวัน เวลาไปไหนมาไหนก็จะติดสอยห้อยตามพี่ชายไปด้วยตลอด จนกลายเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของกลุ่มไปโดยปริยาย “มันไม่มาหรอก ตั้งแต่มึงไป กูก็ไม่เห็นมันออกมาเล่นอีกเลย” “…” ผมเงียบ วูบหนึ่งรู้สึกหวิวโหวงในใจแปลก ๆ ไม่ต้องเดาเลยคนเนี่ย เธอโกรธผมแน่ ๆ อยู่ที่ว่าจะมากแค่ไหน “แล้วนี่มึงบอกมันยัง” “ยัง” เอาอะไรไปบอก...หาวิธีเข้าหาแบบไม่ให้โดนฟาดงวงฟาดงาก่อนเหอะ “มันคงดีใจนะที่มึงกลับมา กูเห็นมันเช็กอินอยู่ที่โรงเรียนตั้งแต่บ่าย ไม่รู้ป่านนี้กลับรึยัง” “โรงเรียนเหรอ…” … “ไอ้หนู! ไอ้หนู!” ฝีเท้าผมหยุดชะงักและหันไปตามเสียงเรียก เป็นคุณลุง รปภ. ที่รีบวิ่งเข้ามาดักหน้าไว้ก่อนผมจะดันประตูเล็กเข้าไปในโรงเรียนเก่า “เข้าไม่ได้แล้ว ประตูปิดแล้ว” ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาเพื่อเช็กเวลาและพบว่าตอนนี้มันจะสองทุ่มแล้ว ไม่ใช่แค่ช้าไป...แต่ช้ามาก ไอ้ไฟบอกว่าเธอมาตั้งแต่บ่าย ไม่ใช่กลับไปนานแล้วเหรอ “ขอโทษครับ” ผมไม่ลืมก้มหัวขอโทษคุณลุงอย่างนอบน้อม ก่อนจะลวงมือถือออกมากดเข้าหน้าแชทไอ้ไฟที่เพิ่งได้มาหมาด ๆ MM : มึงลองถามไอ้จ้าวหน่อยว่าอยู่ไหน MM : ไม่ก็ส่ง Contact มา ระหว่างรอก็คิดว่าจะเดินเลาะดูไปเรื่อย ๆ แต่เบี่ยงปลายเท้าได้เพียงเล็กน้อย... ปรี๊นนนนน!!! เสียงแตรรถที่ดังสนั่นจากฝั่งตรงข้ามทำผมสะดุ้ง และมันเรียกความสนใจจากผู้คนละแวกใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ผมยังเห็นรถยนต์วิ่งสวนกันได้ปกติ นั่นเลยทำให้ผมก้าวต่อไปตามเส้นทางเดิม... Fi : แชร์โปรไฟล์ Fi : มันไม่รับสายวะ ไม่ตอบด้วย และถึงผมจะแอดไปตอนนี้ ก็คงเปล่าประโยชน์ ถ้าขนาดไอ้ไฟยังโดนเมิน ผมคงอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา หรือผมควรจะย้อนกลับไปถามคุณลง รปภ. ดี จิ๊...ช่างเหอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ผมเลี้ยวเข้าร้านขนมหวานชื่อดังที่แม่ชอบ ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะซื้อฝากท่านถึงเอารถมาจอดตรงนี้ เพราะมันไม่ได้ห่างจากโรงเรียนมากนัก โชคดีที่คนไม่เยอะ ผมไถมือถือรอไม่ถึงห้านาทีก็ได้แล้ว จ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็เดินออกมา แต่หลังจากที่ก้าวขึ้นนั่งคร่อมบนมอเตอร์ไซค์และสวมหมวกกันน็อกเรียบร้อย หางตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างวิ่งกระดุกกระดิก ไม่สิ...ไม่ใช่ นั่นคน เธอแค่ตัวเล็ก ขาสั้น ทว่าสับสุดชีวิต ทั้งยังหันซ้ายรีขวาคล้ายกำลังตามหาใครอยู่ ลักษณะของเธอทำให้ผมรู้สึกตงิดใจ ใช่ไหมนะ... ผมหันมองจนสุดทาง ก่อนตัดสินใจถอดหมวกวางคืนที่เดิมและเดินตามไปโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ไอ้ครั้นจะปรี่เข้าไปฉุดให้เธอหยุดแบบกะทันหันก็ใช่เรื่อง เกิดผิดพลาดขึ้นมา ไม่ใช่แค่หน้าแหกนะ กลัวจะโดนข้อหาโจรปล้นสวาทพ่วงด้วยน่ะสิ สักพักการเคลื่อนไหวของเธอก็เหมือนจะช้าลงจนหยุดนิ่งและทรุดตัวลงนั่งหย่องย่อในที่สุด ไหล่บางไหวขึ้นลงจากการหอบหายใจอย่างหนัก และพอผมได้ใกล้เธอมากขึ้น ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นด้วย ผมก้าวไปหยุดยืนตรงหน้า แล้วยื่นมือไปให้ในตอนที่เพื่อนเก่าคนโปรดทำท่าจะลุกยืน “ตามหากูอยู่รึเปล่า” เสียงของผมทำคนฟังก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อจะค่อย ๆ เงยขึ้นจนกระทั่งสายตาเราสอดประสานกัน ร่างกึ่งนั่งกึ่งยืนทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างคนหมดแรงเลยคราวนี้ ด้วยความตกใจ ผมลดความสูงให้เสมอกันและเลื่อนแขนไปประคองหลังคนตัวเล็กไว้ตามสัญชาตญาณ แต่เชื่อไหมว่าเหตุการณ์ต่อมามันน่าตกใจกว่าเป็นร้อยเท่า “ฮือ…ฮือ” อยู่ ๆ ยัยเตี้ยของผมก็ปล่อยโฮออกมาราวกับเขื่อนแตก “เห่ย ร้องทำไมเนี่ย” ผมกระซิบดุ เพราะตอนนี้คนผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมาสนใจเราแล้ว คาดว่าอีกไม่นานต้องมีคนโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแน่ แต่ไม่เพียงไม่หยุด ยังร้องหนักกว่าเดิมด้วย... “ฮ้ากกกกก...” “นี่มึงคิดถึงกูขนาดนี้เลยเหรอเตี้ย” “ฮึ…” เด็กขี้แยส่ายช้า ๆ แทนคำตอบ “…ฮึก กูปวดขา” “ปวดขา?!” “…” หลังมือเล็กถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาลวก ๆ ขณะที่ก้มมองแต่พื้นซีเมนต์ “ร้องยังกับพี่มึงตาย โตขนาดนี้แล้วยังร้องเป็นเด็กอยู่ได้” ผมว่าแบบไม่จริงจัง พลางเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าเธอขึ้นทัดหลังหูด้วยความเอ็นดู จะผ่านไปกี่ปี จันทร์เจ้า ก็ไม่โตขึ้นเลย สาวน้อยที่ดูภายนอกเหมือนจะเข้มแข็ง กับคนอื่นนี่เก่งสุด ๆ สู้ขาดใจ หลังชนฝา ยังไงก็ไม่ถอย แต่เมื่อไหร่ที่อยู่กับผม เธอจะกลายเป็นผู้หญิงแบบเต็มหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ ทั้งอ่อนแอ บอบบาง แลดูตัวเล็กตัวน้อยขึ้นมาทันที ในทางกลับกันมันก็ยิ่งทำให้ผมตัวใหญ่ขึ้นทุกครั้งที่อยู่กับเธอ... และผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่จะทำให้เราอยู่กันแบบนี้ได้ตลอดไปก็คือ...เพื่อน “ไม่ต้องมาพูดเลย ฮึก ก็เพราะมึงนั่นแหละ ถ้ามาเร็วกว่านี้ กูก็ไม่ต้องวิ่งแบบนี้ไหม” น้ำเสียงที่ห้าวอยู่แล้ว ยิ่งแหบแห้งหนักเข้าไปอีกเมื่อติดก้อนสะอื้น และถึงประโยคที่สื่อออกมาจะไม่ชัดเจนนัก แต่ผมก็มั่นใจว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่วิ่งจนร่างแทบพังนี่หรอก “ขอโทษ...” ถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่ก็...ต้องพูด “ไม่ ฮึก กูไม่ให้อภัย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม