หลังจากที่ได้สติแล้วยันกายลุกขึ้นยืนได้ตามปกติ ชายหนุ่มยังคงโอบประคองเธอเอาไว้เพราะเกรงว่าหญิงสาวจะล้มลงไปอีก อัศวินไม่แน่ใจว่าร่างเล็กเจ็บที่ขาหรือตรงไหนหรือเปล่าอาจจะยืนไม่มั่นคงจึงยังไม่ปล่อยมือ แต่เพราะว่าเขายังคงไม่ละมือจากเอวคอดนั่นแหละทำให้พิมภารู้สึกว่ามีความขัดเขินแปลก ๆ
ในความรู้สึกของเธอรับรู้ได้ว่าตัวเองคงจะหน้าแดงมาก ความเขินอายส่งผลให้หญิงสาวผลักอีกฝ่ายออกอย่างแรง แล้วก็ตบเขาแก้เขิน
ความรู้สึกทั้งเขินทั้งอายทั้งโมโหและหงุดหงิดหลาย ๆ อย่างปะปนรวมกัน ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์กับอารมณ์ที่คุกรุ่น ทำให้เธอไม่สามารถตรึกตรองได้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงเผลอลงมือทำร้ายอีกคนลงไป ทั้ง ๆ ที่ตัวหญิงสาวเองเมื่อลุกขึ้นมาแล้วมองหน้าเขาก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
ความรู้สึกแปลกที่ตีขึ้นมาในอก มันบ่งบอกชัดในความรู้สึกแรกว่าเธอกำลังพึงพอใจกับผู้ชายที่หน้าตาดีคนนี้ เขาค่อนข้างหล่อไม่น้อย มองดูแล้วก็เหมือนจะตรงสเปกเธอด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างไรได้ พิมภาตบเขาไปแล้วทำได้แค่เดินหนีต่อไป พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองด้วยการทำเป็นเมินเฉยแต่ในความเป็นจริงคือเขินอายมาก อัศวินถึงกับหน้าเหวอเพราะอยู่ดี ๆ ก็โดนตบทั้ง ๆ ที่เข้าไปช่วยเอาไว้แท้ ๆ
พิมภาจำไม่ได้ว่าตัวเองมาถึงบ้านตั้งแต่ตอนไหนหรืออย่างไร หญิงสาวตื่นมาด้วยอาการมึนหัวอย่างหนัก รู้สึกเหมือนจะไม่ไหว อาการแฮงก์ที่ไม่ได้พบเจอมานานกำลังทำร้ายเธออยู่ ในระหว่างที่กำลังคิดทบทวนก็ได้ยินเสียงมาจากด้านล่างของคฤหาสน์ชวนให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตากลมโตมองข้าวของที่กองอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“นี่มันอะไรคะ ?”
พิมภาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจและพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร แม่เลี้ยงกำลังเดินสำรวจของด้วยความรู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า ทั้ง ๆ ที่ของสิ่งนี้ถ้าหากเป็นอย่างที่เธอคิดผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินคำถาม ศจีผู้เป็นแม่เลี้ยง หันไปมองแล้วก็ปรับสีหน้า ในขณะที่โยษิตา พี่สาวต่างพ่อต่างแม่ได้แต่มองค้อนด้วยความไม่พอใจ
“จะอะไรล่ะ ก็ของหมั้นที่ตระกูลนั้นส่งมาให้น่ะสิยะ ไม่มีตามองหรือไง”
“ของหมั้นอะไร ฉันยังไม่ทันตอบตกลงอะไร ไม่ได้รับปากว่าจะแต่งงานสักหน่อย”
“ไม่จำเป็นต้องรับปาก พ่อสั่งเธอก็ต้องทำตามนั้นอยู่ดี ใช้ชีวิตสุขสบายมานานเกินไปแล้ว หัดทำตัวให้มีประโยชน์ซะบ้างสิ”
ศจี ผู้เป็นแม่เลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะหันไปยิ้มกับลูกสาวของตน โยษิตามองเหยียดพิมภาด้วยความหงุดหงิด เธออิจฉาริษยาชีวิตของพิมภามาโดยตลอด เพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเจอพ่อ หญิงสาวอยู่และโตกับแม่เท่านั้น พอมองดูอีกฝ่ายที่พ่อรักขนาดนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นสองพ่อลูกแสดงความรักกัน ดีหน่อยที่ต่อมาสามีใหม่ของแม่ส่งลูกสาวไปที่ต่างประเทศ โยษิตาจึงค่อยอยู่บ้านนี้อย่างมีความสุข แต่ไม่นึกว่าความสุขของเธอจะหายไปไวขนาดนี้
ตอนนี้พิมภาเริ่มแสดงความเอาแต่ใจออกมาอีกครั้ง โดยการโวยวายว่าให้ส่งของหมั้นไปคืน เธอจะไม่ยอมรับของหมั้นพวกนี้เด็ดขาดและไม่ยอมแต่งงาน ทำให้พ่อกับลูกมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง
“ทำไมไม่ฟังกันบ้าง พ่อก็มีเหตุผลไม่คิดจะฟังกันเลยหรือไง เมื่อก่อนลูกไม่ดื้อรั้นขนาดนี้นะพิมภา”
“หนูไม่แต่ง ให้ตายก็ไม่มีวันแต่ง”
“พิม !! ฉันเป็นพ่อแกนะ พ่อที่มีบุญคุณให้กำเนิดแกมาเลี้ยงดูแกจนเติบโตขนาดนี้ แค่นี้ทำไมถึงตอบแทนกันไม่ได้ พ่อขอมากไปอย่างนั้นหรือ”
“ทำไมถึงไม่ยอมแต่งล่ะน้องพิม พี่ว่าเขาเหมาะสมกับเธอดีนะ คนที่จะแต่งกับเธอน่ะก็เป็นแค่ลูกเมียน้อยเท่านั้น เหมาะสมกันดีชะมัด คิดแล้วก็ขำ !”
เมื่อพิมภาถูกผู้เป็นพ่อเอ่ยทวงบุญคุณ และโดนพี่ต่างสายเลือดเยาะเย้ยก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ อารมณ์ที่คุกรุ่นยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่เธอเลือกที่จะเชิดหน้าแล้วหันหลังกลับ ยืนกรานคำเดิมว่าให้ตายอย่างไรก็จะไม่แต่งเป็นอันขาด
สุดท้ายก็ไม่อยากโต้เถียงต่อเลือกที่จะเดินหนีกลับขึ้นห้องไป กิตติภพเองก็โมโหมากเหมือนกัน คนเป็นพ่อรู้สึกลำบากใจในเรื่องนี้ไม่น้อย ทั้งเมียและลูกมีความคิดเห็นไปคนละทาง ต่างคนก็พูดจากดดันเขาทั้งนั้น กิตติภพไม่ได้อยากบังคับลูก ศจี ผู้เป็นแม่เลี้ยงก็พยายามที่จะมาพูดยุยงส่งเสริมจนนึกรำคาญ จึงเดินหนีกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ทั้งพ่อและลูกมีความลำบากใจกันคนละแบบ ต่างคนต่างคิดหนัก ด้วยนิสัยที่เหมือนกันของสองพ่อลูก พอใจเย็นแล้วก็คิดว่าจะต้องคุยกันใหม่ ขณะที่พิมภากำลังจะเปิดประตูออกไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คุณพ่อ”
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อรู้ว่าพ่อพูดรุนแรงเกินไป แต่พ่อก็มีเหตุผล พ่อขอเข้าไปคุยกับลูกข้างในได้ไหม”
“เชิญค่ะ”
กิตติภพเดินเข้าไปด้วยใจที่ร้อนรนแต่พยายามที่จะรักษาท่าทีเอาไว้ เขาอยากจะคุยกับลูกอย่างมีเหตุผลที่สุด ชายสูงวัยนั่งลงที่ปลายเตียง ในขณะที่พิมภาก็นั่งลงเคียงข้างแล้วเอียงหัวซบไหล่พ่อเช่นที่เคยเป็นมาตั้งแต่เด็ก กิตติภพกอดลูกสาวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ลูกเอ๋ย พ่อต้องขอโทษลูกจริง ๆ แต่พ่อไม่ได้ตั้งใจจะขายลูกกิน ไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัวของพ่อเลย ลูกจะไว้ใจสักครั้งได้ไหม ไว้ใจในความรักของพ่อได้หรือเปล่า”
“หนูจะเชื่อพ่อก็ได้ว่าพ่อไม่ได้ขายหนูกิน แต่หนูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องให้หนูแต่งงานด้วย”
“พ่อสิ้นไร้หนทางแล้วจริง ๆ ตระกูลนั้นเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ แล้วไม่มีใครที่จะดีและเหมาะสมกับลูกเท่ากับผู้ชายคนนี้ เชื่อพ่อสักครั้งนะ”
“ยังไงหนูก็ไม่อยากแต่งอยู่ดี ถึงจะรู้ว่าบ้านเรามีปัญหา แต่ว่ามันจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ หนูขอไปคุยกับพวกเขาเพื่อหาทางออกร่วมกันก่อนได้ไหม พ่อบอกหนูได้ไหมว่าเขาเป็นใคร”
“บอกแล้วได้อะไร ลูกจะทำอะไร”
“หนูก็จะไปคุย ถ้าหากว่าพ่อบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ดีและเหมาะสมจริง ๆ แสดงว่าเขาน่าจะมีความคิดที่ดีพอ ถ้าหนูอธิบายดี ๆ และขอให้เขาช่วยโดยไม่ต้องแต่งงานเขาอาจจะรับฟังก็ได้”
“พ่อก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับข้อเสนอลูกหรือเปล่า ในสายตาของพ่อผู้ชายคนนี้เป็นคนที่นิสัยใจคอดี เป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับลูก เขาสามารถดูแลปกป้องลูกของพ่อได้ พ่อถึงอยากให้ลูกแต่งงานกับเขา ลูกเข้าใจพ่อใช่ไหม”
“หนูเข้าใจ แต่พ่อก็ต้องเข้าใจหนูด้วย หนูไม่อยากฝืนใจแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รัก ถ้าหากว่าคุยแล้วเจรจาต่อรองกันได้ผล เรื่องนี้ก็จะมีจุดจบที่พ่อก็จะไม่ลำบากใจหนูก็ไม่ต้องฝืนใจ”
“เอาเถอะ แค่เพียงหนูยอมรับฟังให้พ่ออธิบายความจริงทุกอย่างพ่อก็ดีใจแล้ว”
กิตติภพหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งต่อข้อมูลที่เขามีเกี่ยวกับตัวอัศวินให้กับเธอ ไม่อยากคัดค้านหรือดื้อดึง จึงได้แต่ยอมให้ข้อมูลไป รู้ดีว่าลูกสาวก็ดื้อมากจนเกินไปในบางที ถ้าหากไม่ยอมอ่อนข้อให้บ้างก็จะกลายเป็นยอมแตกไม่ยอมงอเสีย สุดท้ายก็แล้วแต่เวรแต่กรรม ส่วนพิมภาเมื่อได้ช่องทางติดต่อมา หญิงสาวก็คิดว่าในวันพรุ่งนี้จะต้องรีบไปเจอเขาให้ได้