วิกฤติของครอบครัว

1477 คำ
เมื่อการเจรจาต่อรองไม่เป็นผล พิมภาจึงตรงกลับบ้านด้วยความกลัดกลุ้มใจ ขณะเดียวกันกิตติภพเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน เขาคิดแล้วคิดอีกถึงเรื่องนี้ การบังคับลูกให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไม่ต่างอะไรจากการที่ขายลูกกิน เธอเป็นลูกสาวที่รักมากเพราะเกิดจากผู้หญิงที่เขารักมากด้วยเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะต้องทำแบบนี้กับลูก ที่ผ่านมาเฝ้าทะนุถนอมตั้งแต่เล็กจนโต แล้วนี่หรือคือสิ่งที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาจะต้องเจอ การทรมานชั่วชีวิต แต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันช่างทุกข์ทรมาน ขนาดตนเองแต่งกับศจีหลังจากที่สูญเสียภรรยาที่รักไป วันนี้ชายวัยกลางคนยังรู้สึกทรมานแทบขาดใจ ทั้ง ๆ ที่เลือกมาเองแท้ ๆ ตอนนั้นก็เลือกด้วยความรู้สึกที่รักอยู่เหมือนกัน นี่คนที่ไม่ได้รักกันเลยจะแต่งกันได้อย่างไรนะ เขาคิดจนหัวแทบแตกและรู้สึกปวดหัวมากขึ้น กิตติภพนั่งดื่มอยู่ที่บาร์ภายในบ้านจนกระทั่งลูกสาวเดินเข้ามานั่งลงเคียงข้าง “พ่อคะ… หนู…” “พ่อตัดสินใจแล้วบริษัทจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ถ้าลูกไม่อยากแต่งงานจริง ๆ พ่อก็จะไม่บังคับ พ่อไม่อยากขายลูกกิน ยกโทษให้พ่อเถอะนะ” เท่านั้นเองพิมภาก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความเสียใจ มันอัดอั้นตันใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก เธอโผเข้ากอดพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความซาบซึ้งสองคนพ่อลูกกอดกันร้องไห้ นานเท่าไรที่สองพ่อลูกเหินห่างและไม่ค่อยเข้าใจกันพูดคุยกันน้อยลงทุกวัน กระทั่งไปอยู่ต่างประเทศก็มีแต่ความคิดถึงให้กัน แต่ด้วยภาระหน้าที่และอะไรหลายอย่างทำให้กิตติภพไม่เคยไปเยี่ยมลูกสาวเลยสักครั้งเดียว ความโดดเดี่ยวและความเหงาแทรกซึมเข้าไปทุกอณู แต่พิมภาก็อดทนตั้งแต่เสียแม่ไป ทั้งชีวิตของเธอก็มีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้นที่รักสุดหัวใจ ผู้เป็นพ่อเองก็รักแต่ไม่ค่อยเอ่ยปากจนกระทั่งวันนี้ที่ได้เห็นความรักของผู้เป็นพ่ออย่างแท้จริง “หนูคิดถึงแม่จังเลย” “พ่อก็คิดถึง คิดถึงแม่ของลูกสุดหัวใจ” “ฮึก… พ่อขา ฮื้อออ~” “ลูกพ่อ อย่าร้องเลยนะ พ่อขอโทษ ต่อไปนี้พ่อจะไม่บังคับอะไรลูกอีกแล้ว ใช้ชีวิตของลูกต่อไปเถอะนะไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก” “อึก… ฮึก… พ่อขา… พ่อ… ฮือ… หนูขอโทษที่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้เลย ขอโทษนะคะ” “ไม่เป็นไรลูกพ่อ ไม่เป็นไรเลย พ่อผิดเองที่ทำให้ทุกอย่างมันพังไปหมด” สองคนพ่อลูกนั่งปรับความเข้าใจกันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดใจในสิ่งที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน กิตติภพปลอบลูกสาวจนเธอหยุดร้องไห้ พิมภาร้องไห้จนปวดหัวท้ายที่สุดจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อน ร่างของชายวัยกลางคนเดินเข้าไปนั่งที่ห้องทำงาน เปิดแฟ้มเอกสารต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กว่าเขาผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนอีกครั้ง พยายามขบคิดหัวแทบแตก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็มองไม่เห็นทางออก อับจนหนทางไปหมด เขาสุดแสนจะสมเพชตัวเองที่ไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ “ป้าคะ คุณพ่อลงมาหรือยังคะ ถ้ายังเดี๋ยวหนูจะออกไปก่อน รบกวนบอกคุณพ่อด้วยนะคะว่าวันนี้หนูมีธุระนัดกับเพื่อนเอาไว้” “คุณหนู ป้ายังไม่เห็นว่าคุณท่านจะลงมาเลยนะ ดูเหมือนจะยังไม่ออกจากห้องทำงานเลยนะคะ เพราะว่าเมื่อเช้ายัยแป้นขึ้นไปทำความสะอาดห้องของคุณท่านแล้ว แต่ก็ไม่เห็นคุณท่านอยู่ในห้อง คุณหนูจะเข้าไปพบคุณพ่อก่อนไหมคะ” ป้านวลคนเก่าแก่ของบ้านเอ่ยบอกอย่างห่วงใย “ยังไม่ออกจากห้องทำงาน ?” พิมภาคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืน จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ลงมาด้วยความอารมณ์ดีแท้ ๆ เพราะพ่อยอมรับความคิดเห็นแล้วก็เปลี่ยนใจไม่ให้เธอแต่งงาน แต่พอรู้ว่าพ่อยังอยู่ในห้องทำงานนั้น ก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีจึงรีบสาวเท้าเดินไปที่ห้องนั้นอย่างรวดเร็ว “คุณพ่อ !!” “คุณท่าน !!” “ป้านวลโทร.ตามรถพยาบาลเร็วเข้า” ถึงแม้จะตกใจแค่ไหนพิมภาก็พยายามตั้งสติ ร่างสูงของชายวัยกลางคนนอนแน่นิ่ง ไม่มีเลือดหรืออะไรที่บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะจับแตะเนื้อต้องตัวผู้เป็นพ่อมากนัก ก็ไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บที่ตรงไหน ทำให้ได้แต่ร้องไห้มือสั่นตัวสั่น ขณะที่ป้านวลก็วิ่งกลับมาหา มือไม้สั่นแล้วร้องไห้ด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนกอดกันระหว่างที่รอรถพยาบาลมาถึง ไม่นานนักเสียงรถฉุกเฉินก็แล่นเข้ามาจอดภายในบ้าน สาวใช้คนอื่นพาบุรุษพยาบาลและพยาบาลกู้ชีพมาปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากนั้นนำตัวส่งโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรรู้แค่ว่าเนิ่นนานมากในความรู้สึก พิมภาเดินกระวนกระวายแล้วร้อนรนอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง “ตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณภพถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ เกิดอะไรขึ้น พูดมาซิ !!” ศจี รีบชิงโวยวายเสียงดังขึ้นก่อน เพราะกลัวว่าหากอีกฝ่ายเป็นอะไรไปตนจะไม่ได้สมบัติถึงแม้มันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสียมันก็ยังมีอะไรที่เธอควรจะได้จากที่นี่บ้าง ไม่อย่างนั้นการแต่งเข้าตระกูลคนรวยก็ไม่มีประโยชน์อะไรน่ะสิ เมื่อถามลูกเลี้ยงแล้วอีกฝ่ายไม่พูดอะไร จึงได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในทันที “คอยดูนะ หากว่าคุณภพเป็นอะไรขึ้นมาละก็ เธอจะไม่ได้อะไรแม้แต่สตางค์แดงเดียว แม้แต่รูปของแม่แกที่เก็บเอาไว้ในห้องเก็บของรก ๆ นั่น” ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดแบบนั้น พิมภากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำเอาแต่นั่งทำหน้าเครียด จ้องมองไปที่ห้องฉุกเฉิน หลังจากที่เธอเดินวนไปวนมาจนอ่อนล้าไปทั้งกายและใจจึงเลือกมานั่งรอคอย พยายามที่จะใจเย็นที่สุดเพราะทุกอย่างประดังประเดเหลือเกิน เธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของพ่อในมุมนี้มาก่อน ไม่รู้เลยว่าพ่อจะเครียดจนถึงขั้นล้มตึงไปแบบนั้น การรอคอยยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ทนไม่ไหวบอกว่าเหม็นกลิ่นยาเหลือทน รู้สึกเวียนหัวขอตัวกลับบ้านไปก่อน พิมภายังคงรอคอยอยู่ตรงนั้นอย่างมีความหวังในที่สุด หลังจากผ่านไปนานกว่าสิบชั่วโมงหมอก็ออกมาจากห้องผ่าตัด ใบหน้าของหมอก็ซีดเซียวและชื้นเหงื่อไม่น้อย สีหน้าและแววตาค่อนข้างจะเคร่งเครียด “ลุงหมอคะ คุณพ่อเป็นยังไงบ้างค่ะ” “พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอปาฏิหาริย์เพราะว่าเส้นเลือดในสมองแตกแล้วก็มาถึงโรงพยาบาลช้ามาก ยังดีที่เจ้ากิตยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้แต่... คงไม่เหมือนเดิม” “ขอบคุณลุงหมอมากค่ะที่ช่วยคุณพ่อ” “อืม... เราก็เหมือนญาติกัน อย่าคิดมากเลยหนูพิม” หมอเกษมสันต์ที่คอยดูแลตระกูลเรืองเดชสกุลมาหลายรุ่น เอามือแตะไหล่บางอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินจากไป พิมภาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง ทั้งโล่งอกแล้วก็ไม่สบายใจไปพร้อม ๆ กัน โล่งอกที่อย่างน้อยพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่ เธอยังคงมีความหวังเพราะหมอบอกว่าให้รอปาฏิหาริย์ แต่ถ้าพ่อจะต้องพิการไปตลอดชีวิตหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา จะทำอย่างไร บริษัทที่พ่อรักต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากที่นั่งคิดสักพักหญิงสาวก็เดินไปที่ห้องซึ่งถามพยาบาลมาแล้วว่าพ่อพักฟื้นอยู่ที่ห้องนี้ พิมภาคิดย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เธอเองเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ด้วยความที่ไม่ชอบในตัวแม่เลี้ยงจนพยายามต่อต้านอยู่ลึก ๆ คิดแต่จะสู้รบปรบมือกันจนลืมนึกถึงคนกลางแบบพ่อ สาเหตุที่พ่อต้องมาเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากตน ถ้าอย่างนั้นหญิงสาวก็คงไม่เหลือตัวเลือกอื่น เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาอัศวิน…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม