“เกี่ยวกับฉันด้วยเหรอ”
“พลังของเจ้าช่วยข้า ส่วนพลังของข้าช่วยเขา พลังของพวกเราจึงต้องสัมพันธ์กัน หยุดถามได้แล้ว ชักช้าจะไม่ทันการณ์ ข้าต้องใช้สมาธิ”
หญิงสาวยอมปิดปากเงียบ ไม่ถามเรื่องใด ๆ ที่ยังข้องใจ อย่างเช่นเรื่องที่เธอต้องเป็นของเขา แล้วที่เขาทำไปเมื่อกี้เขายังทำไม่จบขั้นตอน หรือที่เธอคิดไว้มันมากเกินไปกันแน่ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องโกหก เขาช่วยหลานเธอไม่ได้ เธอจะฆ่าเขาให้ตายคามือแน่คอยดู
“สงบใจได้หรือยังกูเหนี่ยง มดกัดเจ้าหรือ”
“ขอโทษ” หญิงสาวรีบสำรวมจิตใจให้สงบเมื่อถูกเหน็บแนมใส่
เสินอี้นั่งขัดสมาธิเข่าชนกับนาง จับมือของเด็กชายตัวน้อยไว้ทั้งสองข้าง แล้วเริ่มหลับตาลง..
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบเนิ่นนาน จนเหม่ยลี่เริ่มเป็นตะคริว ส่วนเสินอี้นั้นมีเหงื่อซึมตามใบหน้า หนังตาขยับถี่เหมือนกำลังต่อสู้กับความรู้สึกว่าจะลืมตาขึ้นดีหรือไม่
ชั่ววูบหนึ่งเหม่ยลี่คิดอยากจะเอาผ้าช่วยซับเหงื่อให้เขา แต่เขาไม่ใช่หมอในห้องผ่าตัดที่ต้องมีพยาบาลคอยเป็นผู้ดูแล เขาเป็นชาวมายาที่มีพลังเหนือมนุษย์ ทำแบบนั้นจะรบกวนสมาธิของเขาเปล่า ๆ เกิดตกใจจนลมปราณแตกซ่านขึ้นมา หลานชายคงหมดโอกาสฟื้นขึ้นมาอีก แล้วถ้าเขาตายไปด้วยอีกคน เธอก็คงเอาชีวิตในมิตินี้ไม่รอดเหมือนกัน
ความคิดที่สับสนของสตรีที่นั่งเงียบอยู่ตรงหน้า ทำให้ผู้ใช้พลังเวทย์ที่อ่านความคิดของนางออกเช่นเขาเกือบลมปราณแตกซ่านขึ้นมาจริงๆ ด้วยความขบขัน
แต่ก็ตั้งใจปรับพลังเวทย์เรียกวิญญาณให้หลานชายของนางต่อไป.. ไม่นานร่างที่เริ่มเย็นของเด็กน้อยก็เริ่มอุ่นขึ้นทีละน้อย เริ่มมีลมหายใจ กระเตื้องขึ้นมาแผ่ว ๆ
“ซันนี่!” เหม่ยลี่ยิ้มดีใจทั้งน้ำตา กอดหลานที่ลืมตาขึ้นมากะพริบตาปริบ ๆ อยู่บนตัก
ชายหนุ่มเอาเด็กชายมาอุ้มไว้บนตักเพื่อแบ่งปันความอบอุ่น และต้องการให้คนที่เรียกตนในใจว่าคนลวงโลก คิดจะกระทืบให้ตายถ้าหลานไม่ฟื้น ให้ได้พักขาที่เป็นตะคริวสักหน่อย
“ซันนี่! ส่งเขามาให้ฉันเถอะ” หญิงสาวเรียกร้อง เพราะอยู่ดี ๆ หลานชายก็หมดสติไปกับอกของเขา
“ใจเย็น ๆ อีกสักพักเขาจะตื่นมาเล่นกับเจ้าได้แน่นอน ผ่อนคลายไว้ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวล”
“แล้วนั่นคุณจะไปไหน” เห็นเขาอุ้มหลานติดมือไปด้วยก็รีบถาม
“จะออกไปที่ปากถ้ำ เพื่อหาทางส่งข่าวถึงคนของข้า” เจตนาแท้จริงคืออยากให้นางได้ตามออกไปด้วยกันเพื่อยืดเส้นยืดสาย และคลายกังวลลงไปบ้าง
“ฉันไปด้วย รอฉันด้วย”
เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงที่ดังไล่หลังตามด้วยเสียงสูดปาก
“ถ้าปวดขาก็ไม่ต้องตามมาหรอก” หันไปยิ้มขันใส่นาง
“รอแป๊บหนึ่งสิ” สะบัดเสียงตอบเขา รีบเอามือขยำเท้าให้หายชา “ก็บอกว่าให้รอด้วยไงเล่า!” ตะคอกตามหลังคนที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ แล้วรีบวิ่งโขยกเขยกตามไป “บอกให้รอ ๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงคุณเนี่ย”
คนถูกโวยใส่เหลือบดวงตาสีฟ้าไปมองสตรีตัวน้อยที่เตี้ยกว่าเป็นฉือ
“เจ้าใช้ภาษาแปลก ๆ ข้าฟังไม่เข้าใจหรอก”
“เหรออออ..” ลากเสียงยาว ทำหน้ายักษ์ใส่เขา อย่ามาต้มกันง่าย ๆ ไม่เชื่อหรอก “ทำไงได้ ฉันชอบกวนประสาทคนอื่นซะด้วยสิ”
“กวนประสาทแปลว่าอะไรรึ”
“แปลว่าแบบนี้แหละ ทำหน้ามึน ๆ แบบคุณนี่เลยเรียกว่ากวนประสาท”
“หน้ามึน ๆ เป็นอย่างไรรึกูเหนี่ยง”
หญิงสาวเบะปาก ชักสีหน้าถมึงทึงใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ น้ำเสียงเขาเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ก็จริง แต่ไอ้คำรึเหรอรึหรือพร้อมกับหางคิ้วที่กระดกน้อย ๆ ยิ้มที่มุมปากบาง ๆ นี่แหละที่ดูยียวนไม่น้อย
“แบบนี้ไงล่ะ!” นิ้วเรียวยาวชี้เกือบทิ่มหน้าของอีกฝ่าย
“อ้อ ข้าจะจำเอาไว้” เขากวนนางอีกประโยคแล้ววนนิ้วชี้ขึ้นกลางอากาศ ไม่กี่อึดใจก็มีเสือดำสามตาปรากฏขึ้นบนฟ้า
“เฮ้ย!” หญิงสาวเผลออุทานด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปซ่อนที่ด้านหลังคนตัวใหญ่ แต่เมื่อนึกได้ว่าเขาอุ้มหลานชายไว้ก็รีบเปลี่ยนไปยืนบังข้างหน้าเขาแทน โดยยืนหันหลังสู้เสือ..
โอ๊ย! น่ากลัว จะถูกกินหรือเปล่าวะ.. เผลอเบียดเข้าหาเขาแน่นอย่างลืมตัว ด้วยความกลัวจับใจ โดยมีหลานชายอยู่ระหว่างกลาง
คนตัวใหญ่ที่ได้ยินความในใจของนางเผลอยิ้มจนเกือบจะกลายเป็นหัวเราะ ขนาดกลัวจนตัวสั่นแต่ก็ยังใจกล้าออกมาปกป้องหลานชาย ถ้าต่อไปเขาตกอยู่ในอันตรายบ้าง นางจะปกป้องเขาแบบนี้หรือไม่นะ
“ไม่ต้องกลัว มันรู้ว่าเจ้าเป็นของข้า เป็นนายหญิงของมัน ต่อไปนี้มันจะมีหน้าที่คุ้มครองเจ้าเหมือนที่คุ้มครองข้าด้วยเช่นกัน”
เธอลืมตา เงยหน้าขึ้นมองเขา “จริงเหรอ”
“หันไปดูสิ มันไม่น่ากลัวสักนิด”
เหม่ยลี่ค่อย ๆ หันไปตามที่เขาบอก.. สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อเสือดำสามตาตัวนั้นบินต่ำลงมาอยู่ระดับสายตา ในระยะห่างกันไม่ถึงวา ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าครามแต้มด้วยจุดสีดำเล็ก ๆ ตรงกลาง พอสี่เท้าแตะถึงพื้นปีกก็หดหาย กลืนไปกับผิวหนังอย่างน่าอัศจรรย์