EPISODE 02
ขนมจีบซาลาเปา [2]
“ขอโทษค่ะพี่เมษ แต่มีนไม่ได้ตั้งใจจะกลับดึก มันมีหลายเหตุผล แต่พูดไปพี่เมษก็ยังโกรธมีนอยู่ดี เอาเป็นว่ามีนไม่แก้ตัวก็แล้วกันค่ะ” ฉันตัดบท นาทีนี้อะไรก็คงไม่สู้การยอมรับความผิดหรอก
[พี่จะพยายามกลับไปให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน]
นั่นไงล่ะ!
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่เมษ พี่อยู่ดูแลพ่อกับแม่ดีกว่า มีน...”
[มีนดูแลตัวเองได้...] พี่เมษพูดแทรก ทำเอาฉันสะอึกไปในทันที รู้สึกว่าลำคอแห้งผากขึ้นมาในฉับพลัน กลืนน้ำลายแทบไม่ลง
“ค่ะ มีนดูแลตัวเองได้ สัญญาว่าจะทำให้ได้ แต่ครั้งนี้มีนผิดจริงๆ มีนยอมรับ พี่เมษจะโกรธมีนก็ได้แต่ยังไม่ต้องรีบกลับมาหรอกค่ะ ดูแลพ่อกับแม่ก่อนนะคะ มีนสัญญาว่าจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ” ฉันสารภาพอย่างจนปัญญา
แต่ไหนแต่ไรมาพี่เมษก็มักจะห่วงฉันจนดูเว่อร์อยู่แล้ว ยิ่งครั้งนี้ที่ตัวเขาไม่อยู่กับฉัน มันก็ไม่แปลกที่เขาจะโมโหหนักกว่าทุกที ซึ่งถึงฉันจะแอบคิดว่าเขาทำตัวน่ารำคาญไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้วความจริงก็คือเขาทำไปเพราะเป็นห่วงฉัน ในโลกนี้อาจมีแค่เขาที่เป็นห่วงฉันมากขนาดนี้ก็ได้
“น่านะพี่เมษ ให้โอกาสมีนอีกครั้งนะคะ แล้วถ้าพี่มั่นใจว่าพ่อกับแม่โอเคแล้ว พี่ค่อยกลับมาตีมีนก็ได้”
[ไม่ต้องมาพูด ถ้าอยู่ใกล้มือคิดว่าจะรอดรึไง]
อย่างน้อยน้ำเสียงของพี่เมษในตอนนี้ก็ดูใจเย็นลงแล้วนะ โล่งอกไปที
[ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้อีกนะยัยมีน รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงเราแทบแย่]
ก็เพราะเขาเป็นแบบนี้ไง ฉันถึงโกรธเขาไม่ลงเวลาที่เขาคอยจู้จี้จุกจิก
“มีนขอโทษจริงๆ ค่ะ ว่าแต่พี่เมษเจอพ่อกับแม่แล้วรึยังคะ แม่เป็นยังไงบ้าง”
[ไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง พี่รู้ทัน]
“แง ไม่เอาสิคะ เราข้ามๆ เรื่องนั้นไปก็ได้ สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำอีก มีนถามเพราะเป็นห่วงแม่จริงๆ นะ” ฉันอ้อนใส่
[แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ยืนยันว่ายังไงก็จะยังไม่กลับ นี่พี่ก็ตั้งใจว่าจะอยู่ต่อแค่สองสามวันให้แน่ใจแล้วก็จะกลับไปอยู่กับเราก่อน]
น้ำเสียงของพี่เมษกลับมาเป็นปกติแล้ว ยิ่งพูดว่ากลับมาอยู่กับฉันก่อนนี่ยืนยันได้เลยว่าพี่เมษคนเดิม เพิ่มเติมคือความเข้มงวด
“ค่ะ เอาตามที่พี่เมษว่าดีเลย แต่ยังไงฝากบอกแม่ว่ามีนคิดถึง แล้วก็อย่าลืมของฝากนะคะ”
[ของฝากนี่บอกแม่หรือบอกพี่]
“ทั้งสองคนค่ะ” ฉันบอกแล้วหัวเราะ ในขณะที่ได้ยินเสียงคนปลายสายถอนหายใจ
[แล้วจะดูไปฝากก็แล้วกัน]
“ขอบคุณค่ะ มีนรักพี่เมษนะคะ” ฉันบอกยิ้มๆ ก่อนจะกดวางสาย ซึ่งหลังจากวางสายก็เป็นอันว่าต้องถอนหายใจยาวๆ กันเลยทีเดียว เกือบไม่รอด...
พี่เมษหายโกรธแล้ว ตอนนี้ก็เหลือพี่คุณอีกหนึ่งคนสินะ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาคงจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับฉันเท่าไร แต่ฉันก็คงต้องขอโทษเขาด้วยเหมือนกัน ถึงเมื่อกี้จะพูดไปแล้วแต่ยังรู้สึกไม่สบายใจเลย อาจเป็นเพราะเขาทำเหมือนไม่ได้ยิน
ฉันเดินกลับออกมาเพราะตั้งใจจะขอโทษพี่คุณ รวมถึงต้องเอาโทรศัพท์ออกมาคืนเขาด้วย ซึ่งพอเปิดประตูห้องออกมา ก็ยังเห็นว่าเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิม
ร่างสูงนั่งจดจ่ออยู่แต่กับหนังสือขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้า ใบหน้าของเขาเวลาเอาจริงเอาจังกับอะไรสักอย่างผิดกับตอนที่เขาอมยิ้มลิบลับ ในเวลานี้เขาทำให้ฉันนึกถึงอาจารย์ที่ดุๆ เนี้ยบๆ เจ้าระเบียบและดูเข้มงวดกับนักเรียนจนน่าจะได้ฉายาแปลกๆ จากลูกศิษย์มาบ้าง ตรงกันข้ามกับในเวลาที่เราพูดคุยกันหรือถามตอบกันเรื่องทั่วไปที่มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาดูเป็นผู้ชายอบอุ่นๆ เกาหลีๆ
เอายังไงดีล่ะ ถ้าฉันเดินเข้าไป มันจะไม่เป็นการไปรบกวนเวลาของเขาหรอกใช่มั้ย แต่ยังไงซะฉันก็ต้องเอาโทรศัพท์ไปคืนเขานี่นา
“ขอบคุณค่ะ” ฉันบอกเบาๆ หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานของพี่คุณพลางวางโทรศัพท์ของเขาลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้ามามองตั้งแต่ที่ฉันเดินเข้ามาแล้วนั่นแหละ แล้วตอนนี้เขาก็ปิดหนังสือเล่มหนาเท่าฝ่ามือลงแล้วด้วย ที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกตาออกไปก็คือเขาใส่แว่นตอนอ่านหนังสือด้วย แต่ตอนนี้ถอดแล้ว...
“พี่คุณอ่านหนังสือต่อเถอะค่ะ มีนไม่รบกวนดีกว่า” ฉันรีบบอก ไม่ได้อยากจะมารบกวนเวลาของเขาหรอก เอาเป็นว่าเก็บไว้พูดกับเขาพรุ่งนี้เช้าก็ได้
“นั่งก่อนสิ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังจนฉันต้องหันกลับไปมอง
“ถ้ามีนจะอยู่ที่นี่ ซึ่งคงต้องอยู่...พี่ว่าเราต้องคุยกันก่อน” พี่คุณพูดพลางถอนหายใจ ทำเอาฉันต้องนั่งลงอย่างไม่มีทางเลือก
ท่าทางและสายตาของพี่คุณในตอนนี้ดูเคร่งขรึมต่างไปจากเมื่อกลางวันแบบไม่เหลือเค้าความใจดีและอ่อนโยนเลยสักนิด เหมือนเห็นภาพสะท้อนของพี่เมษลอยออกมาจากตัวเขาไม่มีผิดเลย
“มีนขอโทษจริงๆ ค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ ท่าที่พี่คุณถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นมาประสานกันไว้บนโต๊ะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสอบสวนเลย ไม่น่าเชื่อว่าแค่โทรศัพท์แบตหมดมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปได้
“พี่ไม่ได้โกรธหรอก แล้วก็ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมีนด้วย แต่อย่าลืมว่าตอนนี้มีนอยู่ในความดูแลของพี่ ซึ่งพี่รับปากไอ้เมษไว้ว่าพี่จะดูแลมีนอย่างดี เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมีน พี่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
สาบานจริงๆ ว่าเขาพูดว่าไม่ได้โกรธ
“ค่ะ”
“คราวหลังอย่าปล่อยให้โทรศัพท์แบตหมดจนติดต่อไม่ได้แบบนี้อีก หรือถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ มีนก็ควรจะยืมโทรศัพท์เพื่อนหรือหาทางติดต่อกลับมาบอกพี่หรือบอกไอ้เมษสักนิดว่ามีนปลอดภัยดี”
“ทราบแล้วค่ะ”
“อีกเรื่องที่พี่อยากตกลงกับเราก็คือกฎของการอยู่ที่นี่ พี่ไม่อยากให้มีนกลับถึงห้องเกินสองทุ่ม”
“คะ?” ฉันถึงกับร้องถามเสียงดัง บอกตามตรงว่าค่อนข้างแปลกใจกับกฎข้อนี้ เพราะถึงพี่เมษจะเข้มงวดกับฉันแต่เขาไม่เคยตีกรอบเรื่องเวลากับฉันเลยนะ ขอแค่โทรบอกเขาก่อนว่าจะกลับกี่โมงแค่นั้นก็พอ
“สะ… สองทุ่มเหรอคะ”
“ค่ะ” ตอนนี้ต่อให้เขาจะเป็นผู้ชายพูดคะขา พูดเพราะกว่านี้ฉันก็ไม่เข้าใจหรอก!
“พี่คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่มีนจะต้องไปไหนตอนดึกๆ หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ให้มีนบอกพี่ก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องปาร์ตี้หรือแฮงเอาท์กับเพื่อน พี่ว่าแค่สองสามวันหลังจากนี้ถ้ามีนจะหยุดไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดี”
ถ้าเขาจะเอาเหตุผลนี้มาอ้างฉันจะอ้าปากพูดอะไรได้ล่ะ
“ค่ะ สองทุ่มก็สองทุ่ม มีนไม่ได้คิดจะไปปาร์ตี้ที่ไหนอยู่แล้ว”
“พี่ได้กลิ่นบุหรี่”
คำพูดเป็นเชิงถามของพี่คุณทำให้ฉันเบิกตาโพลง ก่อนจะรีบก้มหน้าดมเสื้อผ้าของตัวเองทันที อื้อหือ...กลิ่นคลุ้งเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่คุณเขาถึงได้คิดว่าฉันไปปาร์ตี้มา
“มีนไม่ได้สูบเองค่ะ”
“งั้นมีนคิดว่าจะมีสักกี่สถานที่กันที่ทำให้เรามีกลิ่นบุหรี่ติดตัวกลับมา” พี่คุณย้อนถามพลางช้อนตามอง ท่าทีที่ยังคงเคร่งขรึมตลอดเวลาของเขาและคำถามที่เขาย้อนถามมาแต่ละคำถามทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลายเป็นคนด้อยปัญญาไปเลย
ฉันได้แต่ก้มหน้าเพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัว รู้ตัวดีว่านาทีนี้พูดอะไรออกไปก็ฟังไม่ขึ้นหรอก ยังไงฉันก็ผิดอยู่วันยังค่ำ
พี่คุณยังคงเอาแต่จ้องหน้าฉันอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหัวไปมาอยู่หลายครั้ง ท่าทีเหนื่อยๆ ของเขาทำให้ฉันรู้สึกแย่
“มีนไปได้รึยังคะ”
“อืม หิวรึเปล่า กินอะไรมารึยัง พี่ซื้อของกินมาสองสามอย่างอยู่ในตู้เย็นน่ะ ถ้าจะกินก็เอาออกมาอุ่นเอาเองก็แล้วกัน” พี่คุณบอกด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกตบหัวแล้วลูบหลัง แถมยังเป็นการลูบด้วยของกิน แต่อย่างน้อยก็พอจะโล่งใจที่เขาคงไม่ถือสาอะไรกับฉันสักเท่าไหร่
แอบกลัวว่าเขาจะไม่พอใจฉันอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กลัวว่าถ้าเขาไม่พอใจแล้วเขาจะไล่ฉันไปอยู่ที่อื่นหรอกนะ เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้นแน่ๆ แต่ที่กลัวก็คือการที่เราจะต้องอยู่ด้วยกันแบบต่างคนต่างไม่มองหน้ากันมากกว่า เพราะถ้าขืนเป็นแบบนั้นฉันคงจะรู้สึกอึดอัดมากๆ
“แล้วพี่คุณกินอะไรรึยังคะ หิวมั้ย เดี๋ยวมีนอุ่นเผื่อ”
“พี่กินแล้ว มีนตามสบายเถอะ”
“งั้นเอาเป็นนมร้อนสักแก้วมั้ยคะ เดี๋ยวมีนทำให้” ฉันถามยิ้มๆ พี่คุณนิ่งไปสักพักเหมือนกำลังตัดสินใจ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าสองสามครั้งแล้วก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสืออ่านต่อไปเงียบๆ หลังจากที่เพิ่งจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่อย่างน้อยฉันก็เหมือนจะเห็นว่าเขาเริ่มอมยิ้มได้แล้วนะ
“พี่คุณคะ”
“คะ” พี่คุณขานรับก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองฉันอีกรอบ เสียงขานรับของเขาทำให้ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เวลาได้ยินผู้ชายพูดคะขาแล้วมันรู้สึกจักจี้หัวใจจริงๆ นะ
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ” ฉันถามยิ้มๆ ก่อนจะหยิบถุงซาลาเปากับขนมจีบที่อยู่ในตู้เย็นออกมาแกว่งไปมาเบาๆ
“ครับ แต่พี่ขอแค่ซาลาเปาก็พอ ส่วนขนมจีบ พี่ขอผ่านดีกว่า” พี่คุณบอกยิ้มๆ พูดจบเขาก็เอาแต่จ้องหน้าฉันเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่างจนท้ายที่สุดฉันก็ต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกมา
ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเขาสกัดดาวรุ่งทุกทีเลย...