“ไอ้เนตรโต๊ะห้ายังไม่ได้เสิร์ฟ” เสียงเฮียเป๊กเจ้าของร้านขาหมูชื่อดังตะโกนบอกฉันขณะที่เจ้าตัวกำลังง่วนอยู่กับการสับขาหมูให้ลูกค้า
“จ้ะเฮีย” ฉันรับคำ รีบปาดเหงื่อที่ผุดซึมตามกรอบหน้าแล้วยกขาหมูไปเสิร์ฟให้ลูกค้าตามคำสั่ง “ขาหมูได้แล้วจ้ะ ทานให้อร่อยนะจ๊ะ” เสิร์ฟเสร็จฉันก็เดินกลับไปช่วยเฮียตักข้าวโปะขาหมูที่ถูกไว้เป็นจานๆ แล้วยกมาเสิร์ฟให้โต๊ะถัดไป
เนตรชนกคือชื่อของฉัน คนอื่นๆ มักเรียกสั้นๆ ว่าเนตร ตอนนี้ฉันกำลังเรียนอยู่มหา’ลัยปีสอง คณะบัญชี ฉันทำงานส่งตัวเองเรียนและฝากชีวิตส่วนนึงเอาไว้กับเฮียเป๊ก
ร้านเฮียเป๊กขาหมูเพลินพุงเป็นร้านข้าวขาหมูเจ้าเก่าที่ทั้งดังและเป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียล มีนักรีวิวและยูทิวบ์เบอร์สายกินแวะเวียนมาชิมขาหมูเฮียอยู่บ่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขาหมูร้านเฮียอร่อยมากจริงๆ นั่นจึงทำให้ร้านของเฮียมีลูกค้าไหลมาไม่เคยขาด
ร้านเฮียเป๊กเริ่มขายข้าวขาหมูมาตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็กๆ รวมระยะเวลาก็เกือบสิบปีได้แล้วมั้ง พอดีบ้านฉันกับบ้านเฮียอยู่ใกล้ๆ กันน่ะและเราก็รู้จักกันมานานแล้วด้วย
ที่เรารู้จักกันก็เพราะตอนเด็กๆ พ่อมักจะพาฉันมากินข้าวที่ร้านเฮียอยู่บ่อยๆ ทว่าก็มีแค่ฉันที่ได้กิน ส่วนพ่อเอาแต่นั่งมองด้วยรอยยิ้มและแววตาเจือความเศร้า
ฉันเคยสงสัยและเคยถามว่าทำไมพ่อถึงไม่สั่งของตัวเองมากิน ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือ ‘พ่อไม่หิว’ ฉันในวัยสิบปีจึงเชื่อโดยไม่ได้เอะใจอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าพ่อไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อให้ตัวเองต่างหาก
ท่านเลยเสียสละให้ลูกสาวอย่างฉันได้กินจนอิ่ม ส่วนตัวเองก็ทนหิวนั่งมองลูกกิน…
ตอนที่รู้เรื่องนี้ครั้งแรกฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก.. ไม่เคยรู้เลยว่าพ่อต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะเลี้ยงฉันโตมาได้จนถึงตอนนี้
โชคดีที่ตอนนั้นเฮียเป๊กสังเกตเห็นฉันและพ่อพอดี เฮียเลยเดินเข้ามาทักจึงได้รู้ว่าเรากำลังลำบาก
หลัวจากนั้นเฮียใจดีให้ฉันกับพ่อกินข้าวขาหมูที่นี่ฟรีทุกมื้อ และหากมื้อไหนเบื่อเฮียก็บอกว่าสามารถมายืมเงินไปซื้ออย่างอื่นกินได้เลย แต่ฉันกับพ่อก็เลือกที่จะกินข้าวขาหมูของเฮียนี่แหละ ไม่ใช่แค่เพราะเกรงใจเฮียเพียงอย่างเดียวแต่เพราะขาหมูของเฮียมันอร่อยมากจริงๆ
แปลกนะฉันกินข้าวขาหมูทุกวันแต่ไม่ค่อยอ้วนขึ้นเลย อาจเพราะช่วยเฮียยกเสิร์ฟนั่นนี่และช่วยงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ล่ะมั้ง
เห็นไหมฉันไม่ได้กินฟรีๆ อย่างเดียวนะ แต่ยังช่วยงานเฮียด้วย
หลังจากพึ่งใบบุญเฮียได้ไม่นานพ่อฉันก็ได้งานใหม่และเริ่มมีเงินตั้งตัวอีกครั้ง พ่อนำเงินค่าข้าวขาหมูทั้งหมดที่เคยกินมาจ่ายคืนให้เฮีย ตอนนั้นฉันอึ้งมากที่รู้ว่าพ่อแอบจดจำนวนข้าวที่กินฟรีจากเฮียไว้ทุกจานและในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกภูมิใจในตัวพ่อมากที่พ่อไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร
ตอนแรกเฮียก็จะไม่รับหรอก ทว่าสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความตื้อของพ่อ
ชีวิตของฉันค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้นนับจากนั้นเพราะงานที่พ่อทำได้เงินเดือนค่อนข้างสูง ฉันเคยถามนะว่าพ่อทำงานอะไรแต่พ่อก็เอาแต่บอกว่าฉันยังเด็ก ยังไม่ควรรู้เรื่องพวกนี้และด้วยความที่ฉันไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้อะไรก็เลยปล่อยผ่าน
ทว่าหลังจากนั้นสองปี ชีวิตที่กำลังสุขสบายของฉันก็เป็นอันหายวับไปในพริบตา เมื่อพ่อโดนลูกหลงถูกคนร้ายในคดีค้ายาเสพติดยิงจนเสียชีวิต ตอนนั้นโลกทั้งใบคล้ายพังทลายลงตรงหน้า ฉันร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะทั้งชีวิตฉันเหลือพ่อเพียงคนเดียว
ส่วนแม่ทิ้งฉันและพ่อไปตั้งแต่จำความได้ ตอนนี้ท่านจะอยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้…
ชะตาของฉันพลิกผันและดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดอีกครั้ง ฉันไม่มีบ้านอยู่และไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท เพราะหลังจากที่พ่อตายได้ไม่นานท่านก็โดนศาลใส่ร้ายว่าทำเรื่องทุจริตและผิดกฎหมายหลายอย่าง ศาลจึงตัดสินให้ยึดทรัพย์ท่านทั้งหมด ส่วนฉันก็ถูกลงความเห็นว่าจะนำตัวส่งไปที่สถานสงเคราะห์สำหรับเด็กเพื่อหาพ่อแม่บุญธรรม
ในตอนนั้นฉันมีความหวังเล็กๆ ว่าแม่ที่เบ่งคลอดฉันออกมาจะมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับฉันไปเลี้ยง ทว่ารอแล้วรอเล่าแม่ก็ไม่มา
ความหวังนั้นริบหรี่ลงเรื่อยๆ และสุดท้ายก็มอดไปในที่สุด..
ช่วงนั้นของชีวิตฉันไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน ทุกนาทีผ่านพ้นไปพร้อมๆ กับน้ำตาและความทุกข์ระทม ความรู้สึกเหมือนตายทั้งที่เป็น ฉันสูญเสียทุกอย่างและไม่เหลือใครที่พอจะเป็นที่พึ่งทางใจได้เลยสักคน
แต่โชคดีที่พระเจ้าคงยังรักและเมตตาฉันอยู่…
จริงๆ พระองค์ก็ทรงรักฉันเสมอ…
เพราะวันที่ฉันกำลังจะถูกนำตัวไปไว้ที่สถานสงเคราะห์เฮียเป๊กก็บังเอิญแวะมาเยี่ยมฉันพอดีเพราะเฮียเพิ่งรู้ข่าวของพ่อ
และหลังจากเฮียรับรู้เรื่องทุกอย่างเฮียก็อาสาที่จะรับฉันไปเลี้ยงดู ทั้งยังส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ อบรมและสั่งสอนฉันราวกับเป็นลูกแท้ๆ
วินาทีนั้นฉันรีบก้มลงกราบเท้าเฮียแทบไม่ทัน
ทั้งๆ ที่ฉันและเฮียไม่ได้เจอกันถึงสองปีเพราะหลังจากที่เราเริ่มมีเงินพ่อก็พาฉันย้ายมาอยู่ในเมือง แต่เฮียก็ยังคงเมตตาฉันเสมอ ฉันรู้สึกโชคดีมากจริงๆ นะ
ฉันพึ่งใบบุญของเฮียจนอายุครบสิบหกปีก็เริ่มที่จะหางานทำและขอย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเพราะตอนนั้นเมียของเฮียกำลังจะคลอดลูก
ฉันไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินของครอบครัวเฮีย เฮียและเจ๊ไม่เคยพูดแบบนั้นนะ แต่มันเป็นจิตสำนึกของฉันที่คิดได้เอง
หลังจากนั้นฉันก็เก็บเงินส่งตัวเองเรียนเพราะพอเฮียมีลูกค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็หนักพอสมควร ฉันจึงไม่อยากรบกวนหรือเป็นภาระให้เฮียอีก
ฉันเก็บเงินส่งตัวเองเรียนจนจบมอหกและสอบชิงทุนเรียนฟรีของมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ต้องขอบคุณความตั้งใจและความพยายามที่ทำให้ฉันได้ทุนนั้นมา ซึ่งมันช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ
ตอนนี้ฉันกลับมาทำงานกับเฮียเพราะลูกน้องของเฮียเพิ่งจะลาออกและย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ฉันจึงขอมาทำงานกับเฮียแทน แม้รายได้จะไม่มากเท่าที่ทำงานเก่าแต่มันก็ดีตรงที่ฉันไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง…
เสี่ยงกับการถูกหลอกและถูกลวนลามจากลูกค้ามากหน้าหลายตา…
โดยเฉพาะการเสี่ยงเจอเขาคนนั้น
คุณธนิน…
ก่อนหน้านี้ฉันทำงานอยู่ที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งในตำแหน่งเด็กเอ็น ซึ่งรายได้ถือว่าดีมากจนฉันสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ทว่าก็ต้องแลกมาด้วยการเปลืองเนื้อเปลืองตัวบ้าง ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เคยขายตัวให้กับแขกหรอกนะ ฉันไม่กล้า
กับคุณธนินฉันก็ไม่ได้ขายตัวให้เขาหรอกนะ เรื่องระหว่างเรามันเป็นแค่ความผิดพลาดก็เท่านั้น
คืนนั้นฉันไม่น่าเมาจนขาดสติเลยจริงๆ
และในวินาทีที่ฉันกำลังเล่าเรื่องพวกนี้ ฉันก็ไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันฉันจะได้กลับไปเจอคุณธนินอีกครั้งในสถานะที่คาดไม่ถึง
และไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าชะตาของชีวิตจะพลิกผันไปได้มากขนาดนั้น..