12

2127 คำ
ถึงเฟิงหลี่เฉียงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบ แต่เขาก็ยังมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่ชอบพอนิสัยใจคอกัน และวันนี้ พวกเขาก็มีนัดเพื่อฉลองผลสอบ เพราะทั้ง 4 คนสามารถผ่านการสอบในระดับประเทศนี้ และกำลังรอเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนหน้า อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการกรมการคลัง เป็นคนจองภัตตาคารชื่อดังประจำเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อดื่มกินกันให้เต็มที่หลังจากที่เหนื่อยยากมานาน เฟิงหลี่เฉียงแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ขอบแขนเสื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขับผิวให้สว่างมากขึ้น เขาเดินจากบ้านไปยังภัตตาคารอี้เทียนเหลา เพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อไปถึง เขาแจ้งชื่อคนจอง พนักงานพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่เรียงรายติดกัน ห้องที่พวกเขาจองไว้อยู่ค่อนไปตรงกลาง ในนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา และเทียนมู่อวี้นั่งรอเขาอยู่แล้ว บนโต๊ะมีอาหาร 3-4 อย่างวางเอาไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เขาสั่งอาหารตามชอบได้เลย อินเฉิน อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด ยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดขึ้นว่า “มาพวกเรา! มาดื่มฉลองให้ตัวเองที่สอบผ่านเป็นกงเซิง เอ้า ดื่ม!” ทุกคนยกแก้วขึ้นและดื่มจนหมดจอกรวดเดียว และส่งเสียงหัวเราะอย่างดีใจและโล่งใจ ไม่ว่าพวกเขาจะสอบหน้าพระที่นั่งผ่านหรือไม่ก็ตาม ในตอนนี้ขาข้างหนึ่งของพวกเขา ก็เหยียบอยู่บนตำแหน่งข้าราชการชั้นกลางเอาไว้แล้ว ซุยเฉินเหยา อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นลูกพ่อค้าจากเมืองเสฉวน ก็เติมเหล้าให้ทุกคนและบอกว่า “คราวนี้เรามาแสดงความยินดีให้เสี่ยวเฉียง ที่สอบได้เป็นฮุ่ยหยวนของปีนี้ ดื่ม!” เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะ เขาอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ เด็กหนุ่มยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดอย่างจริงใจว่า “ข้าขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือข้ามาตลอดช่วงที่มาเรียนที่นี่ และขอแสดงความยินดีกับทุกท่านด้วยขอรับ!” ทุกคนหัวเราะเสียงดังและดื่มจนหมดจอกอีกรอบ เทียนมู่อวี้ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา อายุ 30 ปี เขามาจากครอบครัวชาวนาที่ขยันขันแข็งและสู้ชีวิตมาตลอด ก็หันมาถามเฟิงหลี่เฉียงว่า “เจ้าเตรียมตัวสอบเตี่ยนซื่อ[1]แล้วรึยัง” เด็กหนุ่มตอบตามจริง “ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วท่านล่ะ” เทียนมู่อวี้ตอบด้วยสีหน้าไม่มั่นใจนัก “ข้าก็พยายามเตรียมอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไร” แล้วทุกคนก็นิ่งไป พวกเขาต่างก็คาดหวังกับการสอบวัดระดับครั้งสุดท้ายนี้ หลายคนใช้เวลานานเกินสิบปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องเสียทั้งเวลา เงินทอง และชีวิต เพื่อยกระดับสถานะด้วยการเป็นขุนนางหรือข้าราชการให้ได้ เฟิงหลี่เฉียงพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบว่า “แต่ตอนนี้เราทุกคนก็เป็นกงซื่อกันแล้ว สามารถเป็นข้าราชการได้แล้วนี่ขอรับ” ทุกคนเห็นด้วย แต่อินเฉินซึ่งปกติจะร่าเริงและดูเป็นคนสบายๆที่สุด กลับพูดขึ้นว่า “แต่ที่บ้านหวังจะให้ข้าสอบผ่านระดับราชสำนัก เพื่อจะได้เป็นจินซื่อ เหมือนท่านพ่อกับน้องชายของข้า ข้าเองก็ไม่หวังถึงขั้นได้เป็นจินชื่อ จี๋ตี้หรอกนะ” ใช่แล้ว อินเฉินมีพ่อเป็นข้าราชการชั้นสูง และยังมีน้องชายต่างมารดาชื่อ อินเหยา ที่เก่งจนสอบเป็นจินซื่อได้ตั้งแต่อายุ 25-26 ปี ตอนนี้เขารับราชการอยู่ที่กรมยุติธรรม และทำให้อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกของภรรยาหลวงรู้สึกอับอาย ถึงเขาจะมีสถานะสูงกว่า แต่พ่อของเขากลับรักภรรยารองและน้องชายต่างแม่มากกว่า ซุยเฉินเหยาพูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวเฉียง เจ้าช่วยสรุปสาระสำคัญของวิชาให้พวกเราได้หรือไม่ ถึงจะมีเวลาเหลืออีกแค่สองอาทิตย์ก็ตาม” ทุกคนส่งเสียงสนับสนุน แต่เฟิงหลี่เฉียงรีบห้ามปราม “เดี๋ยวก่อนๆ พวกท่านไม่ไปเรียนที่โรงเรียนแล้วหรือ อาจารย์น่าจะมีความรู้มีประสบการณ์มากกว่าข้านะ” เขาไม่ได้หวงวิชา แต่ไม่อยากให้เพื่อนเสียโอกาส แต่ซุยเฉินเหยากลับปฏิเสธและพูดหน้าตาเฉยว่า “ข้าเชื่อถือเจ้ามากกว่า” และอีกสองคนก็เห็นด้วย เด็กหนุ่มจึงประนีประนอมว่า “เอาอย่างนี้ ทุกท่านไปเรียนในโรงเรียนนั่นละ แต่ในตอนเย็น เรามาเรียนด้วยกัน จะได้ไม่เสียโอกาส และอีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่อยากให้คนคิดว่าข้ายกหางตัวเอง เห็นว่าตัวเองเก่งกว่าอาจารย์” อีกสามคนจึงเห็นด้วย ในขณะที่ซุยเฉินเหยารีบพูดว่า “ขอโทษนะ ข้าลืมไปว่าผลเสียจะตกมาอยู่ที่เจ้า” เด็กหนุ่มจึงหัวเราะออกมา และพูดทีเล่นทีจริงว่า “นี่คือบทเรียนแรกของการเป็นข้าราชการ ต้องมองซ้ายมองขวาให้ดีก่อน” ทุกคนจึงเรียนรู้ขั้นแรกของการเป็นข้าราชการจากเหตุการณ์ในวันนี้ หลังจากสังสรรค์จนพอใจแล้ว ก็ได้เวลากลับ พวกเขาจ่ายเงินและเดินออกจากห้อง พวกเขาพบกับบัณฑิตบางคนที่มาฉลองด้วยเช่นกัน บางคนยังให้มีหญิงสาวมานั่งบริการในระหว่างการกินดื่มด้วย แต่กลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงไม่สนใจเรื่องแบบนี้ พวกเขาจึงสามารถเป็นเพื่อนเรียนกลุ่มเดียวกันได้ และคาดหวังว่าจะเป็นเครือข่ายการทำงานในอนาคตต่อไปด้วย ในระหว่างที่เดินลงมาชั้นล่าง พวกเขาได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากด้านหลังร้าน ซึ่งเป็นห้องน้ำและสวน พวกเขาไม่ใส่ใจและเดินออกไป เพราะคิดว่าเป็นการทะเลาะกันของคนเมา แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “พวกเจ้าจะมากล่าวหาว่าข้าเป็นฆาตกรแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าไม่ได้ฆ่าชายคนนี้!” แล้วเฟิงหลี่เฉียงก็เกือบจะล้มลง เมื่อมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาด้วยความรวดเร็ว และชนเขาอย่างแรง โชคดีที่เพื่อนๆ รีบช่วยจับตัวเขาเอาไว้ทัน ชายวัยกลางคนที่วิ่งตามมารีบตะโกนเสียงดังว่า “จับเจ้าหนุ่มนั่นไว้ มันเป็นฆาตกร!” พวกเขาชุลมุนกันอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งต่อสู้ดิ้นรนไม่ให้ถูกจับ อีก 2-3 คนที่วิ่งตามมา พยายามจะจับเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้ ในที่สุดเฟิงหลี่เฉียงซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง โดยมีเด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ด้านหลังก็ตะโกนด้วยความโมโหว่า “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!” ใครจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มร่างสูงผอมท่าทางสุภาพ จะมีเสียงที่ทรงพลังเช่นนี้ แต่ชายอีก 3 คนกลับไม่ยอมหยุด เขาทำท่าจะกระชากตัวเฟิงหลี่เฉียงออกไป เพื่อจับตัวเด็กหนุ่มที่หลบอยู่ข้างหลังเขา เฟิงหลี่เฉียงซึ่งโมโหอยู่แล้ว จึงดึงคอเสื้อของชายคนหนึ่ง แล้วจับเหวี่ยงออกไปด้านข้างจนกระแทกกับผนัง และใช้ฝ่ามือกระแทกไปที่ไหล่ของชายอีกคนหนึ่ง จนหงายหลังไปชนชายอีกคนหนึ่ง และล้มลงไปทั้งคู่ “นี่เจ้าช่วยมันรึ! เจ้าเป็นพวกเดียวกันกับไอ้เด็กคนนี้ใช่ไหม!” ชายวัยกลางคนที่ยืนออกคำสั่ง ก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง เมื่อถูกกล่าวหาโดยไม่มีเหตุผล เฟิงหลี่เฉียงหน้าแดงด้วยความโมโห เขายกขาขึ้นถีบโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างๆ จนปลิวไปติดผนังเสียงดังโครม! ทำให้คนที่กำลังโวยวาย พากันสะดุ้งและหุบปากด้วยความตกใจ อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้อ้าปากค้าง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กหนุ่มที่พวกเขารู้จักมานานและดูไม่มีพิษไม่มีภัยคนนี้ จะสามารถเตะโต๊ะตัวใหญ่จนปลิวไปกระแทกผนังได้อย่างง่ายดาย! “เจ้าจะกล่าวหาอะไรก็ดูให้ดีก่อน ข้ามากินข้าวที่นี่ เด็กหนุ่มคนนี้วิ่งมาชนพวกข้าเอง แล้วพวกท่านก็ไล่จับเขา จนมาชุลมุนกันอยู่ตรงนี้ อย่ามากล่าวหาพวกข้าไปเรื่อย!” เสียงเย็นชาของเฟิงหลี่เฉียงดังก้องขึ้น เพื่อนของเขาต่างส่งเสียงสนับสนุน อินเฉินพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “พวกท่านมีเรื่องอะไรกัน ค่อยพูดค่อยจากันก่อนไม่ได้หรือ!” ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม จ้องหน้าพวกเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะตวาดว่า “พวกเจ้าเป็นใคร!” ถึงตอนนี้ หลายคนเริ่มเข้ามามุงเพราะเสียงที่ดังไปทั่วชั้นล่าง เสี่ยวเอ้อรีบวิ่งไปตามผู้จัดการร้าน อินเฉินตอบอย่างไม่พอใจว่า “พวกเราคือบัณฑิตกงเซิงของปีนี้!” ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่อยากจะแสดงตัวว่าเป็นใคร แต่ครั้งนี้ เรื่องราวดูจะไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาอาจจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชายวัยกลางคนจึงเปลี่ยนไป เขาลดท่าทีที่แข็งกร้าวลง ก่อนจะพูดว่า “ใต้เท้าทั้งหลาย ข้าชื่อหวังเฉิง เป็นพ่อค้าขายข้าวสารในเมืองนี้ ข้ามากินข้าวกับเพื่อน คือ หลี่เจียน เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็หายไปนาน พวกเราจึงลงมาตามตัว แล้วก็พบว่าเขานอนตายอยู่หน้าห้องน้ำ โดยมีเจ้าหนุ่มคนนี้กำลังค้นตัวของเขาอยู่!” เมื่อพูดจบ หวังเฉิงก็หันไปชี้หน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเฟิงหลี่เฉียงทันที แต่เด็กหนุ่มกลับตะโกนขึ้นว่า “ไม่จริง ข้าไม่ได้ฆ่าเขา ข้าแค่ไปจับตัวเขาเท่านั้น เจ้าอย่ามากล่าวหาข้านะ!” ผู้จัดการร้านที่มาถึงแล้ว ก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นการฆาตกรรมอย่างแน่นอน เขาจึงสั่งเสี่ยวเอ้อว่า “เจ้าไปแจ้งความที่อำเภอ แล้วพาเจ้าหน้าที่มาที่นี่” เฟิงหลี่เฉียงที่ได้ยิน ก็หันไปบอกเพิ่มเติมว่า “อย่าเพิ่งให้ใครออกไปจากร้านด้วยขอรับ” ผู้จัดการร้านเข้าใจทันที ตอนนี้คนร้ายอาจจะปะปนอยู่ในนี้ด้วย เขาจึงยกมือขึ้นขอโทษแขกหลายคนที่มายืนดูเหตุการณ์ และพูดเสียงดังขึ้นว่า “เรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้า ซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารอี้เทียนเหลา ต้องขออภัยพวกท่านเป็นอย่างมาก ขณะนี้เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นในร้าน พวกเราจำเป็นจะต้องกักตัวทุกท่านเอาไว้ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาสอบสวน และถ้าคดีคลี่คลายแล้ว ข้าขอเชิญพวกท่านมาที่ร้านอีกอีกครั้ง ข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษขอรับ” เมื่อประกาศจบ เสียงพูดด้วยความไม่พอใจก็ดังขึ้นมาทันที หลายคนไม่ยินยอม หลายคนขู่ว่าตนเองเป็นข้าราชการ หรือมีญาติที่มีอำนาจ พวกเขาไม่อยากเสียเวลา และไม่ต้องการถูกกักตัว แต่ผู้จัดการกลับไม่สนใจ เขาหันไปสั่งให้ชายร่างกำยำหลายคนมาปิดทางเข้าออกไว้ เฟิงหลี่เฉียงมองสถานการณ์ด้วยความสนใจ ในขณะที่อินเฉินกระซิบบอกทุกคนในกลุ่มว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้าของภัตตาคารอี้เทียนเหลาไม่ใช่คนธรรมดา” และน่าจะเป็นจริง เพราะหลายคนที่รู้ข้อมูลนี้ ต่างก็ยอมให้ความร่วมมือ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ทำท่าไม่พอใจ หลังจากนั้น เฟิงหลี่เฉียงก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขา 2-3 ปีว่า “พาข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุหน่อย” ซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารอี้เทียนเหลาหันมามองเขา เฟิงหลี่เฉียงจึงพูดว่า “ข้าเรียนการแพทย์และเชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพ ในเมื่อตอนนี้พวกเรากลายเป็นผู้ต้องสงสัยกันหมด ข้าก็จะช่วยหาร่องรอยบางอย่างให้ ถ้าพวกท่านไม่ไว้ใจ ก็เชิญตามข้ามา!” [1] การสอบต่อหน้าพระที่นั่งหรือการสอบในพระราชสำนัก ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการสอบเค่อจวี่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม