“จริงสิ! เรายังมียายอิ่มอีกคนนี่” มือบางควานหาโทรศัพท์ทันที เบอร์ที่มีอยู่ในเครื่องถูกเลื่อนหาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากบางที่แตกช้ำเผยอยิ้มเมื่อพบกับเบอร์โทรศัพท์ของน้องสาว นิ้วเรียวแตะปุ่มหากแต่ต้องชะงัก เมื่อภาพใบหน้าช้ำเป็นจ้ำๆ สะท้อนออกมาจากกระจก “ไม่ได้สิ เราจะไปตอนนี้ได้ยังไง ถ้ายายอิ่มเห็นเราจะบอกว่ายังไงดี ไม่ได้! ไม่ได้!”
รินลดาพึมพำบอกตนเอง คิดย้อนไปเมื่อครั้งที่หล่อนตัดสินใจไปอยู่กับศิลาใหม่ๆ อิ่มอรุณห้ามเพราะเกรงว่าพี่สาวจะต้องถูกทิ้งอีกหลังจากออกมาจากบ้าน เพราะดูแล้วว่าคนอย่างศิลาหากเบื่อเขาจะทิ้งเมื่อไรก็ได้ในเมื่อฝ่ายนั้นออกจะรวยล้นฟ้า แต่เวลานั้นหล่อนไม่เชื่อ ที่สำคัญหล่อนเองก็กำลังถือทิฐิเป็นใหญ่ เพราะหลังจากที่ถูกมารดาไล่ออกจากบ้านก็ไม่คิดกลับไปพึ่งพา จนได้พบกับกับนาวีแต่มารู้ทีหลังว่าอีกฝ่ายก็ยอบแยบเต็มที จึงพยายามหาทางขยับขยาย และโชคดีนักหนาที่ได้พบกับศิลาในวันหนึ่ง นาวีจึงอุปโลกน์ให้หล่อนเป็นญาติและกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะถูกคนรักหลอกเอาเงินไปหมดหนำซ้ำยังถูกเฉดหัวทิ้ง ทำให้ศิลาเกิดความสงสารและสนใจในตัวหล่อนมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะตกลงไปอยู่กับศิลาอย่างเต็มใจ เพราะเขาทั้งหล่อ รวย ให้หล่อนได้มากกว่าใครๆ จนในที่สุดก็ได้ไปอยู่กับเขา แต่ระหว่างนั้นก็จำต้องส่งเงินทองให้นาวีเป็นระยะ เพราะตกลงกันไว้ว่าต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้กับเขา ไม่เช่นนั้นนาวีจะแฉเรื่องทุกอย่าง
นับแต่นั้น หล่อนก็จำต้องหยิบยื่นเงินทองให้กับนาวีเรื่อยมา หนักเข้า เมื่อศิลาเริ่มห่างออกไปเพราะงานที่มากขึ้น ทำให้หล่อนเหงาจนเป็นเหตุให้นาวีลักลอบเข้ามาแทนที และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลงผิดไปกลับไปสู่วังวนแบบเดิมๆ ทั้งที่ไม่ควรกลับไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายแล้ว หญิงสาวคิดด้วยความเจ็บใจตนเอง และในที่สุดเขาก็เขี่ยหล่อนทิ้งอย่างไม่ใยดี แต่ยังโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ถึงกับฆ่าหล่อนให้ตายไปก็บุญโข แค่คิดถึงแววตาของเขาในตอนนั้นก็อดที่จะสั่นเสียไม่ได้ เขาน่ากลัวเหลือเกิน...
“จะเอาไงดีล่ะ... คงต้องรอให้หายดีค่อยไปอยู่กับยายอิ่มสักพัก”
รินลดาตัดสินใจในที่สุด ทว่าใบหน้ากลับหม่นอีกครั้ง เมื่อคิดถึงบ้านและมารดาที่เคยยื่นคำขาดไม่ให้เธอไปเหยียบที่นั่น หญิงสาวถอนหายใจพลางคิดว่าหล่อนน่าจะไปขออาศัยอยู่กับอิ่มอรุณที่ร้านขนมก่อน ระหว่างนั้น ก็ค่อยหาทางทำให้ศิลาหายโกรธให้ได้ ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาออกจะทั้งรักและก็หลงหล่อนมากขนาดนั้น มีหรือเมื่อถูกออดอ้อนเข้าหน่อยจะไม่ใจอ่อน ตอนนี้ปล่อยให้เขาใจเย็นลงก่อนเถอะ หายโกรธเมื่อไรค่อยไปหาก็ได้นี่
“ศิลา ฉันจะทำให้คุณกลับมารักฉันอีกครั้งให้ได้ แล้วต่อไปนี้ฉันจะมีแต่คุณเท่านั้น ฉันสัญญา...”รินลดาบอกกับตนเองอย่างมีความหวังลมๆ แล้งๆ
เวลาบ่ายสี่โมงเย็น ภควัติโทรศัพท์บอกหญิงสาวว่าเขาช่วยหล่อนปิดร้านไม่ได้เพราะติดประชุมด่วน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่หญิงสาวต้องกังวลเพราะที่ร้านก็มีลูกจ้างถึงสองคน แต่ที่ทำให้หญิงสาวต้องคอยชะเง้อคอมองอยู่ตลอดเวลาก็คือเรื่องของศิลาต่างหาก
“เมื่อไรจะมาสักทีนะ” อิ่มอรุณบ่นเป็นระยะ เพราะเย็นนี้หล่อนต้องแวะดูของที่ร้านประจำเสียด้วย หญิงสาวรออย่างกระสับกระส่าย จนกระทั่งถึงเวลาห้าโมงครึ่ง อีกฝ่ายจึงค่อยมาถึงพร้อมด้วยรถยนต์สีดำมันวาว
“ต้องขอโทษนะครับที่ทำให้รอนาน” ชายหนุ่มกล่าวทันทีที่พบหน้าหญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ นี่คะโทรศัพท์ของคุณ” โทรศัพท์ถูกยื่นออกมาตรงหน้า ชายหนุ่มหลุบตามองแวบหนึ่งก่อนจะรับจากมือหญิงสาว ชั่ววินาทีนั้นปลายนิ้วเรียวได้รูปก็สัมผัสเข้ากับมือบางอย่างบังเอิญ และอิ่มอรุณก็ไม่ควรจะรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นกับคนตรงหน้า แต่ความเป็นจริงอาการหัวใจกระตุกวูบกลับเกิดขึ้นกับหล่อนอย่างห้ามไว้ไม่ทัน หญิงสาวรีบดึงมือออกพลางหลบตาทันทีเมื่ออีกฝ่ายมองอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตายิ้มๆ
“ขอบคุณนะครับที่เก็บไว้ให้ ว่าแต่จะกลับเลยหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงคล้ายคนมีอะไรบางอย่างในใจ จึงทำให้คนที่ไม่อยากสบตาเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งจนได้
“ค่ะ กลับเลย พอดีมีธุระนิดหน่อย คุณศีลมีอะไรหรือเปล่าคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ” ถามพลางสบตาอีกฝ่ายอย่างค้นคว้า
“ก็ ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณมีธุระผมก็คงไม่รบกวน” ชายหนุ่มทำท่าหมุนตัวออกจากร้าน แต่ทว่ากลับถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียกของอีกฝ่ายเสียก่อน
“เดี๋ยวค่ะคุณศีล ถ้ามีอะไรที่อิ่มช่วยได้ก็บอกนะคะ เรื่องพี่ลดาหรือเปล่าคะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามออกไปเช่นนั้น หากแต่ก็ทำให้มุมปากได้รูปกระตุกยิ้ม ก่อนปรับสีหน้าจนเคร่งขรึมเมื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับอิ่มอรุณอีกครั้ง
“คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่าเป็นเรื่องของลดา”เมื่ออีกฝ่ายถามออกมาเช่นนั้นอิ่มอรุณก็ยิ่งมันใจ
“ก็เดาเอาค่ะ ว่าแต่ใช่หรือเปล่าคะ พี่ลดาเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ไม่เห็นพี่ลดาโทรหาอิ่มเลย ไม่สบายหรือเปล่า”
ถามด้วยความเป็นห่วงพี่สาว แต่ทว่ากลับลืมนึกห่วงตนเอง...
“ครับ ลดาไม่ค่อยสบาย ผมว่าจะชวนคุณไปหาเธอเย็นนี้ แต่ถ้าคุณอิ่มไม่ว่าง เอาไว้วันหลังก็ได้ครับ” พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปทันที โดยไม่รอดูผลว่าจะออกมาเช่นไร หากแต่ไม่ต้องรอนานจนเดินไปถึงรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ เสียงเดินแกมวิ่งก็ดังตามหลังมาอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
“เดี๋ยวค่ะคุณศีล! ไปค่ะไป อิ่มไปด้วย อิ่มอยากเจอพี่ลดาค่ะ ตั้งแต่... เอ่อ ตั้งแต่พี่ลดาไปอยู่กับคุณ อิ่มก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย...” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว เพราะไม่ว่าจะเพียรโทรหา หรือส่งข้อความ อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบกลับ จนระยะหลังจึงค่อยๆ ห่างออกไป ศิลายิ้มพร้อมกับเปิดประตูรถให้หล่อนขึ้นไปนั่ง
“เอ่อ อิ่มเอารถมาค่ะ” ปฏิเสธทันควัน เพราะหล่อนเองก็เอารถมา แล้วจะต้องไปกับเขาทำไม ขับตามกันไปก็ได้...
“ไปกับผมดีกว่า ผมเป็นคนขับรถเร็ว กลัวจะคลาดกันเสียก่อน”
เขาให้เหตุผลแค่นั้นแล้วก็เปิดประตูรอ ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกบังคับทางอ้อมอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรและไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ต้องพาหล่อนไปหาพี่สาวอยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวขอบคุณชายหนุ่มเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมไปยังด้านของคนขับ ปกติเขาจะมีคนขับรถให้ หากแต่วันนี้เขาไม่ต้องใช้ เพราะตั้งใจไว้ว่าจะไม่อยู่บ้านสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์เป็นอย่างน้อย...
เมื่อออกมาได้สักระยะ หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะแปลกๆ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ มีอาการสะลึมสะลือเข้ามาแทนที่จนต้องทิ้งศีรษะแนบไปกับพนักพิงด้านหลัง และในที่สุดเปลือกตาสีเรื่อก็หลุบลงจนปิดสนิท ศิลากระตุกยิ้ม ด้วยความพอใจ มือเรียวยกขึ้นไล้ผิวแก้มนวลปลั่งแผ่วเบาเมื่อยาสลบชนิดเฉียบพลันออกฤทธิ์
อิ่มอรุณคือน้องสาวเพียงคนเดียวของรินลดา และอีกฝ่ายคงกำลังทุกข์จนไม่อาจหันไปพึงใคร และเขาก็ต้องการให้หล่อนทุกข์ยิ่งกว่านี้อีกหลายร้อยหลายพันเท่า และเครื่องมือชั้นดีที่จะทำให้คนทรยศอย่างรินลดาแทบกระอักออกมาเป็นเลือดก็อยู่ข้างๆ ตัวเขาเรียบร้อยแล้ว...ในเมื่อหล่อนกล้าทำกับเขาได้ เขาก็ทำกับหล่อนได้เหมือนกัน...
“ขอโทษนะอิ่มอรุณ บังเอิญเธอโชคร้ายไปนิดที่มาเจอกับฉันเข้า คนอย่างฉันเป็นประเภทบุญคุณต้องทดแทน... ความแค้นต้องชำระ และฉันจะทำให้พี่สาวของเธอรู้รสชาติแห่งการถูกหักหลังบ้างว่ามันเป็นยังไง” ศิลาพูดเบาๆ พลางยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะเบนหน้ารถไปยังจุดหมายที่วางไว้ตั้งแต่แรก
ชั่วโมงต่อมารถยนต์สมรรถนะสูงจึงขับเคลื่อนผ่านเส้นทางขนาดพอแค่รถวิ่งสวนกันได้ แล่นเข้าไปภายในซอยแคบๆ เบื้องหน้า จนกระทั่งสุดสายปรายทาง ผู้บังคับรถยนต์จึงพาเข้ามาหยุดลงตรงประตูไม้หน้าบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง และทันทีที่รถจอดสนิท ประตูบานสูงก็ถูกเปิดรับด้วยชายร่างผอมที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วคล้ายกับรู้ล่วงหน้า
อีกฝ่ายเดินแกมวิ่งตามชายหนุ่มทันทีที่ประตูถูกปิดลง คิ้วสีจางขมวดมุ่นเมื่อนายหนุ่มอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกออกมาจากรถยนต์ หากแต่ท่าทางทะนุถนอมยิ่งทำให้ ‘นายเฒ่า’ คนเฝ้าบ้านต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าหนักขึ้น เพียงไม่คิดจะปริปากถามแม้แต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมาถามซอกแซกเรื่องส่วนตัว แม้เวลานี้เขาจะอยากรู้ใจจะขาด และรู้สึกเห็นใจสาวน้อยในอ้อมแขนของนายหนุ่มเป็นกำลัง เพราะดูจากสภาพแล้ว แบบนี้คงไม่เรียกว่าเป็นการเต็มใจมาด้วยแน่นอน... นายเฒ่าวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนให้นายอย่างรู้หน้าที่ ประตูบานสูงที่ทำขึ้นจากไม้สักเปิดกว้างและค้างอยู่เช่นนั้น คนทำหน้าที่เปิดยืนรอรับคำสั่งนิ่งไม่ยอมไปไหน จนเจ้าของร่างสูงสง่าหันกลับมาจึงขยับตัว
“คุณศีลจะให้ผมเอากะละมังน้ำกับผ้าขนหนูมาให้หรือเปล่าขอรับ” ชายวัยเกษียณยังคุ้นชินกับคำเก่าเอ่ยถามเสียงเบา พลางมองเข้าไปภายในห้องด้วยสายตาอยากรู้ แต่เมื่อสบตาคมดุของอีกฝ่ายจึงรีบหลบตาและไม่คิดจะมองเข้าไปอีกเลย
“ไม่ต้อง แค่นี้ล่ะ ขอบใจมาก ลุงไปนอนเถอะ” ตัดบทพร้อมกับปิดประตูลงทันที อีกฝ่ายเกลาศีรษะแกรก ถอนหายใจเฮือก คิดไม่ตกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร นึกจะมาก็มากะทันหัน คนสมัยนี้ช่างทำอะไรกันแปลกๆ เสียจริง