“เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ ถึงที่นู่นแล้วรีบบอกม้าด้วยนะ”
คุณหญิงสิริพรรณจับมือลูกสะใภ้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ ใบหน้าฉายแววปลื้มปริ่มเมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้จะได้ไปฮันนีมูนด้วยกัน ช่วงเวลานี้คงเป็นเวลาสำคัญที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
“ได้ค่ะ ขอบคุณป๊ากับม้าที่ช่วยเป็นธุระจัดเตรียมทุกอย่างให้นะคะ”
อริญรดาเอ่ยขอบคุณพ่อแม่สามีอย่างซาบซึ้งใจ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมที่พัก หรือแม้กระทั่งแพลนหรือลิสต์รายการสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ท่านทั้งสองก็ช่วยจัดเตรียมไว้ให้แบบเสร็จสรรพ จนเธอและสามีแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
“ดูแลน้องดี ๆ นะตาสมิทธิ์ ตลอดหนึ่งอาทิตย์นี้น้องจะต้องปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนใด ๆ”
ฝากฝังกับลูกชายที่ไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจหรือตื่นเต้นใด ๆ ทั้งสิ้นกับการไปฮันนีมูนในครั้งนี้ ทำเอาคนเป็นแม่อดเป็นห่วงไม่ได้
“ครับ”
“แล้วก็ห้ามรังแกน้องด้วย ถ้าใบหน้าผ่องใสนี้หม่นหมองกลับมาเราโดนดีแน่!”
สมิทธิ์ไม่ได้รับปากคนเป็นแม่ไป แสยะยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาและเบื่อหน่าย ก่อนที่จะเดินดุ่ม ๆ ไปนั่งรอบนรถอย่างไม่ยี่หระต่อคำพูดขู่
“ไปแล้วนะคะ”
“จ้ะ”
ยกมือไหว้ร่ำลากับพ่อแม่สามีเสร็จ ร่างบางก็ตามสามีไปขึ้นรถด้วยหัวใจที่เต้นรัว เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปใช้เวลาอยู่กับสามีแบบสองต่อสอง ณ ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม
ไม่นานรถ Alphard สีดำเข้มก็ขับเคลื่อนออกไปจากคฤหาสน์หลังโต แล้วมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
เมื่อมาถึงสนามบินอริญรดาก็ถึงกับสับสนงุนงง เมื่อเห็นคนติดตามของสมิทธิ์เป็นจำนวนมากมาย
“ไปกันหมดนี่เลยเหรอคะ?”
“อืม”
คนถูกถามครางรับอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเดินนำเข้าไปในเกท ทำเอาคนถามถึงกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็จำต้องรีบเดินตามร่างสูงเข้าไปในเกท
ใช้เวลาหกชั่วโมงนิด ๆ ก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นอย่างจังหวัดโตเกียว
เมื่อมาถึงโรงแรมสมิทธิ์ก็ไม่ออกไปไหนอีก โดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อนเพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียจากการนั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง นั่นเลยทำให้อริญรดาต้องนอนหงอยเหงาอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง เนื่องจากสมิทธิ์ขอแยกห้องนอน
ตลอดสองวันที่ผ่านมาการฮันนีมูนของสองสามีภรรยาดูอึมครึมและหม่นหมอง จะขยับตัวไปไหนก็ลำบาก เนื่องจากมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยให้ทั้งคู่ตลอดเวลา แถมยังมีเลขาที่คอยจัดสรรดูแลความสะดวกสบายให้ ทำเอาอริญรดารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย เพราะเธอคิดว่าจะได้มาฮันนีมูนกับสมิทธิ์เพียงลำพังตามประสาคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน ทว่าไม่คิดว่าเขาจะพ่วงคนติดตามมาเยอะมากมายขนาดนี้
เข้าสู่วันที่สามของการมาฮันนีมูนสมิทธิ์ก็พาอริญรดาไปนั่งทานซูชิที่ร้านชื่อดัง จากนั้นก็มานั่งเล่นที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งใจกลางย่านดังของกรุงโตเกียวอย่างย่านอาซากุสะ
ขณะกำลังจิบกาแฟพลางมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาหน้าร้าน สายตาของอริญรดาก็สบเข้ากับร้านเครปญี่ปุ่นที่ดูน่าสนใจไม่เบา ความอยากก่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แววตาคู่สวยเปล่งประกายวิบวับพลางกลืนน้ำลายลงคอ
“อินอยากกินเครปจังค่ะ” หันไปบอกสามีที่กำลังนั่งเพ่งมองเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ
“......”
ได้ยินเสียงหวานใสของภรรยาสาวเปรยออกมาแต่สมิทธิ์กลับนิ่งเงียบ ไม่มีรีแอคชันอะไรตอบกลับไป สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอไอแพดแบบไม่วางตา นั่นเลยทำให้คนอยากกินเครปหน้าจ๋อย มองจ้องร้านเครปฝั่งตรงข้ามตาละห้อย
“เดี๋ยวผมไปซื้อให้นะครับคุณอิน”
ปณต ซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวของสมิทธิ์พูดอาสาขึ้น เพราะรู้สึกสงสารภรรยาของเจ้านายจับใจที่โดนเมินเฉยใส่ ทำเอาอริญรดารีบปัดมือไปมาเพื่อปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณปณต อินเกรงใจ”
“แต่คุณอินอยากทานนี่ครับ”
“อินขอไปซื้อเองนะคะ”
ได้ยินเสียงอ่อย ๆ เอ่ยออกมาดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมอง พอเห็นใบหน้าใสซื่อที่ฉายแววดื้อรั้นของภรรยาสาวก็กระแทกลมหายใจออกมา ก่อนจะหันไปเอ่ยบอกบอดี้การ์ดคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
“ไปซื้อให้เธอ ฉันรำคาญแววตาเศร้าสลดนี่”
“ไม่...”
“อยู่เงียบ ๆ ไปอริญรดา ฉันต้องใช้สมาธิ”
หญิงสาวกำลังจะแย้งกลับแต่ก็ถูกสามีดุใส่ เธอจึงจำต้องเม้มริมฝีปากแน่น และยอมให้บอดี้การ์ดทำตามคำสั่งของผู้เป็นสามีให้ออกไปซื้อเครปมาให้ตัวเองทาน...
หลังจากที่ทานอาหารเย็นด้วยกันเสร็จ สองสามีภรรยาก็กลับเข้ามาที่โรงแรม
“จะไม่นอนด้วยกันจริง ๆ เหรอคะ?”
รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หัวใจสั่นไหว อดที่จะลุ้นกับคำตอบไม่ได้แม้จะพอรู้คำตอบของเขาอยู่แล้วก็ตาม
หญิงสาวยืนจ้องดวงตาคมที่ฉายแววเย็นชากลับมาเกือบราวสองนาที เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขาไม่อยากตอบและกำลังรำคาญให้เธออยู่ที่เซ้าซี้และรบเร้าถามเขาไม่เลิกกับเรื่องนี้
“อินขอโทษที่ทำตัวน่ารำคาญค่ะ”
“ฉันไม่อยากพูดเยอะพูดซ้ำ มันเหนื่อยจะพูด”
“ค่ะ”
เห็นใบหน้าเศร้าสลดของภรรยาสาวตรงหน้าก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะหมุนตัวเดินเข้าห้องพักไป ไม่แยแสใบหน้าหวานที่มีน้ำตาเอ่อคลอที่เบ้าตา
“คนใจร้ายใจดำ!”
ต่อว่าให้สามีแสนเฉยเมยลับหลังด้วยความน้อยอกน้อยใจ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าห้องพักของตัวเองไปบ้าง
วันต่อมาสองหนุ่มสาวก็พากันมาเดินเล่นที่ห้างดังในย่านชิบูย่า ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ มีของมากมายที่เธออยากซื้อไปฝากคนที่ประเทศไทย
“คนเยอะจังเลยนะคะ”
มองไปทางไหนก็เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา จึงเปรยขึ้นกับเลขาของสามีที่เดินอยู่ไม่ไกล
“อาจจะเพราะเป็นช่วงวันหยุดน่ะครับ”
กลุ่มของสมิทธิ์และอริญรดาเดินมาเรื่อย ๆ ก็ผ่านบริเวณที่มีงานจัดอีเว้นท์อยู่ ทำให้ผู้คนตรงนี้มีเยอะเป็นพิเศษ
ผู้คนที่พลุกพล่านและเบียดเสียดกันทำให้ร่างเล็กที่ไม่ทันระวังถูกชนจนซวนเซเกือบล้ม โชคดีที่มือหนาเอื้อมมารั้งเอวคอดไว้ได้ทัน ก่อนที่จะดึงมาประชิดตัว ทำให้ร่างบอบบางของเธอกระแทกเข้ากับหน้าอกแกร่งอย่างแรง
“อ้ะ!”
“เดินระวังหน่อยสิ!”
ใบหน้าสวยอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นไปสบแววตาดุ ๆ ก็ทำเอารู้สึกผิดจนใจฝ่อไม่น้อย แต่กระนั้นหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกับสามีในระยะนี้เป็นครั้งแรก
“ขอบคุณค่ะ”
สมิทธิ์ปล่อยเอวคอดของอริญรดาให้เป็นอิสระแล้วขยับออกห่าง จากนั้นก็เบือนหน้าหนี แล้วหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับเลขาส่วนตัวอย่างปณต
“ฉันต้องไปคุยธุระ เธอไปเดินเล่นรอกับไอ้พวกนั้นก่อน”
บอกพลางพยักพเยิดหน้าไปทางบอดี้การ์ดร่างกำยำที่อยู่ในชุดสีดำสองคน ที่อริญรดารู้ชื่อของทั้งสองอยู่แล้ว เพราะติดตามเธอกับสมิทธิ์เกือบตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่
“ธุระอะไรเหรอคะ ไม่ใช่ว่าเฮียงานเรียบร้อยก่อนที่จะมาฮันนีมูนแล้วเหรอ ทำไมถึง...”
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ทำตามที่บอกอริญรดา”
“......”
เขาดุใส่เธออีกแล้ว เธอไม่มีสิทธิ์ถามอะไรเขาทั้งนั้น เป็นภรรยาที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสามีเลยสักอย่าง คิดแล้วก็น้อยใจแบบสุด ๆ
“ดูแลเธอด้วย”
บอกบอดี้การ์ดเสร็จก็แยกตัวเดินออกไป ทิ้งให้ภรรยาสาวยืนอ้ำอึ้งพูดไม่ออก
หลังจากที่สมิทธิ์บอกว่าจะไปคุยธุระกับใครบางคน อริญรดาก็เดินช็อปปิ้งต่อโดยมีบอดี้การ์ดสองคนคอยเดินตามประกบไม่ห่าง
“คุณอินไม่สนใจอะไรเลยเหรอครับ?”
เห็นภรรยาของเจ้านายทำหน้าตาอิดโรยก็ถือวิสาสะเอ่ยถามขึ้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ควรพูดหรือออกความเห็นใด ๆ กับเจ้านาย แต่เพราะทนไม่ไหวจึงตัดสินใจถามออกไป
“ไม่ค่ะ”
“ไปเดินชั้นอื่นบ้างไหมครับ เราเดินวนที่ชั้นนี้มาเป็นสิบรอบแล้วนะครับ”
“นั่นสิครับ”
บอดี้การ์ดหนุ่มสองคนอย่างเลโอกับไมล์ พูดพร้อมกับยิ้มขำแห้ง ๆ ให้กัน เพราะเจ้านายสาวพาพวกเขาเดินวนไปมาเหมือนเดินจงกรมอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาพวกเขาถึงกับเวียนหัวและงงงวย
“อินไม่รู้จะไปเดินชั้นไหนคะ”
อริญรดาตอบด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ก่อนที่จะพาพวกบอดี้การ์ดเดินวนอีกหนึ่งรอบ พอรู้สึกเหนื่อยและปวดขาจนเดินต่อไปไหวแล้วก็หาร้านนั่งพักเพื่อรอสามี
นอกจากย่านชิบูย่าทั้งสองคนก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่อ เนื่องจากกว่าที่สมิทธิ์จะคุยธุระกับคู่ค้าชาวญี่ปุ่นเสร็จก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง เหลือบมองเวลาอีกทีก็ห้าโมงเย็น พอกลับไปหาอริญรดาจึงพาเธอทานข้าวเย็นภายในห้าง แล้วพากลับมาที่โรงแรมเลย
“พรุ่งนี้เราไปขอพรที่ศาลเจ้าเมจิกันนะคะเฮียสมิทธิ์”
ก่อนที่สมิทธิ์จะเดินเลี้ยวเข้าห้องพักไปอริญรดาก็โพล่งขึ้น แม้จะรู้สึกน้อยใจที่ถูกเขาทิ้งให้รอตั้งนานหลายชั่วโมง แต่เธอก็ไม่อยากมีทิฐิจึงทำตัวปกติราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“......”
อริญรดาถึงกับยิ้มเจื่อน เพราะได้รับเพียงความเงียบเป็นคำตอบจากคนเป็นสามี
“อินจะถือว่าเฮียตกลงนะคะ ฝันดีค่ะ”
สรุปให้เสร็จสรรพก่อนที่จะเปิดประตูเดินเข้าห้องของตัวเองมา ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วพรูลมหายใจออกมารัว ๆ ด้วยความอัดอั้นตันใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก