เสียงกริ่งบ้านทรงล้านนาโมเดิร์นหลังใหญ่ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงบของสายลมยามบ่ายแดดอ่อน สีไม้ของบ้านที่ขลิบทองหม่นบ่งบอกถึงการดูแลรักษาอย่างดี แต่ก็แฝงความทรงจำเก่าแก่ที่กัดกินใจ
เขมจิรายืนอยู่หน้าบ้าน ใช้นิ้วเรียวกดกริ่งอีกครั้ง เป็นครั้งที่สามแล้วในเวลาไม่ถึงห้านาที เธอยืนอยู่ตรงนั้น กระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ถูกลากมาเคียงข้าง เธอสวมแว่นกันแดดบานใหญ่บดบังดวงตาที่แดงช้ำจากการร้องไห้บนเครื่องบินจากกรุงเทพกลับเชียงใหม่ เธอไม่คิดว่าจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว กลับมาในสภาพแบบนี้
เสียงประตูบ้านเปิดดังเอี๊ยดก่อนจะมีเงาของหญิงสูงวัยเดินโผล่ออกมา “คุณหนูเขม คุณหนูกลับมาแล้วเหรอคะ?”
คุณป้าสายบัว คือคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เธอจำความได้ ป้าสายบัวที่อยู่ดูแลบ้านนี้แทบจะไม่เคยห่างไปไหนเลย
“คุณป้าคะ มีใครอยู่บ้านไหมคะ?” เขมจิราเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
“ไม่มีเลยค่ะคุณหนู คุณท่านกับคุณนายไปต่างประเทศตั้งแต่เดือนก่อนแล้วค่ะ” ป้าสายบัวพูดเสียงนุ่มแฝงความห่วงใย “ภรรยาของคุณเขมชาติกำลังจะคลอดลูก คุณเขมชาติยังติดงานไปไม่ได้ คุณท่านทั้งสองเลยต้องบินไปช่วยดูแลแทนค่ะ ส่วนคุณเขมวัฒน์ก็ยังอยู่กรุงเทพค่ะ นาน ๆ กลับมาที ปีที่แล้วพึ่งแต่งงานไปกับลูกสาวท่านอธิบดีค่ะ”
เขมจิรายืนนิ่งอยู่หน้าประตู แม้ลมจะพัดเบา ๆ แต่มันหนาวสะท้านอย่างประหลาดในใจเธอ “เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะคุณหนู ป้าจะชงน้ำอุ่นให้” ป้าสายบัวเอ่ยเสียงอ่อน
เธอส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ เขมก็ไม่อยากรบกวน ป้าช่วยเก็บเรื่องที่เขมกลับมาไว้เป็นความลับได้ไหมคะ?”
ป้าสายบัวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าเศร้า “คุณหนู ทุกคนต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่รู้ว่าคุณหนูกลับมา ตอนนี้คุณหนูกำลังลำบาก ถ้าไม่กลับมาบ้าน จะไปอยู่ที่ไหน ป้าเป็นห่วงจริง ๆ ค่ะ”
เขมจิรายิ้มจาง ๆ อย่างฝืนใจ “เขมโตแล้วค่ะ ป้าคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว เขมดูแลตัวเองได้ สบายมาก แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่กลับมา รบกวนป้าส่งข่าวให้เขมทีนะคะ”
ป้าสายบัวมองเธอด้วยสายตารักใคร่ปนสงสารอย่างจับใจ “ป้าคิดถึงคุณหนูนะคะ ป้าดูคุณหนูในทีวีทุกวันเลยค่ะ อย่าได้เจ็บปวดเพราะใครอีกเลยนะคะ ไม่ไหวก็กลับมาเถอะค่ะ ป้าจะเปิดประตูรอคุณหนูเสมอ เลือดยังไงก็ข้นกว่าน้ำ คุณหนูก็ยังเป็นคนโปรดของบ้านนี้อยู่ดี ดูสิ ซูบผอมลงไปเยอะเลย ถ้าวันไหนอยากกลับมา ป้าจะทำของโปรดไว้รอนะคะ”
น้ำตาไหลออกจากหางตาของเขมจิราอย่างไม่อาจห้าม เธอยกมือขึ้นเช็ดเบา ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วเอ่ยตัดบท “ขอบคุณนะคะ งั้นเขมไปก่อน”
เธอหันหลังลากกระเป๋าเดินออกจากบ้านหลังนั้น โดยไม่หันกลับไปมองเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่หัวใจอยากจะวิ่งกลับเข้าไปกอดคุณป้าสายบัวแน่น ๆ เหมือนเมื่อก่อน
เธอเดินไปอีกสองหลัง บ้านไม้ทรงล้านนาขนาดใหญ่ที่เคยเต็มไปด้วยกลิ่นขนมและเสียงหัวเราะของคุณน้าสารณี
เขมจิรากดกริ่งและยืนรอ มือเย็นเฉียบ แม้จะอยู่ท่ามกลางแดดอบอุ่น เสียงฝีเท้าเล็กเบาดังออกมาก่อนที่ประตูจะเปิด เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นหน้าตาสะสวย
“พี่เขม?” เสียงของของขวัญ ลูกสาวคุณน้าสารณีเต็มไปด้วยความตกใจ “เข้ามาก่อนค่ะพี่ เดี๋ยวขวัญหาน้ำหาข้าวให้” เธอพูดอย่างรีบเร่งแล้วเชิญเขมจิราเข้าบ้าน
หลังจากนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว เขมจิราหันมองรอบบ้าน ก่อนจะถาม “นี่...คุณน้าสารณีไม่อยู่บ้านเหรอ?”
ของขวัญชะงักก่อนจะหน้าเศร้า “พี่เขม คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วค่ะพี่”
เหมือนใครตบเธอเข้าเต็มหน้า เขมจิรานิ่งงัน น้ำเสียงของเธอสั่นพร่า “พี่เสียใจด้วยนะขวัญ เมื่อเดือนก่อนเราพึ่งเจอกันในงานวันเกิดครบรอบหนึ่งขวบของน้องปุณณ์ ทำไมขวัญไม่บอกพี่เลย”
ของขวัญก้มหน้า “ขอโทษค่ะพี่เขม มันหลุดไปจริง ๆ แล้วงานศพคุณแม่ก็จัดเล็ก ๆ ตามคำสั่งคุณแม่ ท่านอยากให้เรียบง่าย ไม่บอกใครมาก”
เขมจิราเงยหน้าขึ้น น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มช้า ๆ “พี่ไม่รู้เลย ไม่รู้อะไรเลย ขวัญ แม้แต่เรื่องที่พี่เขมวัฒน์พึ่งแต่งงาน พี่เขมชาติกำลังมีลูก พี่ไม่รู้อะไรเลย”
เสียงเธอเริ่มขาดห้วง ร่างทั้งร่างสั่นเทา เธอก้มหน้าลง กอดตัวเองแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมา “พี่ทิ้งทุกคนไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ตอนนั้นคิดแต่จะหนีให้ไกล ตอนนี้กลับมา กลับมาแบบไม่เหลืออะไรเลย” เสียงสะอื้นสะท้อนในห้องกว้าง บ้านเงียบสงัด ของขวัญเดินเข้ามากอดเธอไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะคะพี่เขม ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว ยังไงก็ยังมีขวัญอยู่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ต้องกลัวนะคะ ขวัญจะช่วยพี่เอง ทุกเรื่องเลย เรามาเริ่มกันใหม่นะ พี่เขมของน้องเก่งอยู่แล้ว”
ของขวัญ ญาติผู้น้องที่นั่งอยู่ตรงหน้า เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณน้าสารณี หรือน้องสาวแท้ ๆ ของแม่เธอเอง
ในวันที่เขมจิราต้องย้ายกลับมาอยู่เชียงใหม่ในช่วงมัธยมปลาย เพราะคุณแม่ย้ายกลับมาสอนที่บ้านเกิด พี่ชายทั้งสองต่างเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่กรุงเทพกันหมด เธอจึงถูกพัดมาอยู่ในเมืองเหนืออย่างโดดเดี่ยว แต่เธอกลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลย เพราะมีลูกพี่ลูกน้องอย่างของขวัญอยู่ตรงนี้ ของขวัญเกิดมาในตระกูลผู้ดีเก่าของเชียงใหม่
พ่อของเธอมีศักดิ์เป็นทายาทตระกูลใหญ่มีกิจการค้าผ้าและที่ดินมากมาย ส่วนแม่ของของขวัญ คุณน้าสารณี ก็เป็นผู้ลากมากดี มีความรู้ มีฐานะพอควร และเป็นครูสอนทำขนมในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังของที่นี่
แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อของของขวัญจากไปตั้งแต่เธออายุเพียงห้าขวบและเธอก็ไม่ได้ถูกรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งในตระกูลนั้นอย่างแท้จริง เพราะพ่อของเธอเคยแต่งงานมาก่อน มีลูกแล้วสองคนพี่ชายกับพี่สาวต่างแม่ ที่ตระกูลใหญ่รับไว้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์
ของขวัญเป็นเพียงเงา ไม่มีชื่ออยู่ในมรดก ไม่มีที่ในตระกูล สิ่งเดียวที่เธอได้มา คือบ้านไม้สักหลังนี้ ที่คุณพ่อมอบไว้ก่อนจากไป
นอกนั้นไม่มีอะไรเลย เธอเติบโตมากับคุณแม่ในบ้านเงียบ ๆ แห่งนี้ เรียนรู้การใช้ชีวิตเรียบง่าย รู้จักพอเพียง รู้จักอดทน
กระทั่งเมื่อยังเด็ก เธอเป็นหนึ่งในเด็กที่คุณหญิงวรรณา แห่งคฤหาสน์วิรงคพิทักษ์เมตตารับไปอุปถัมภ์ให้ไปอยู่ในคฤหาสน์พร้อม ๆ กับเหล่าคุณชายคุณหนูแห่งตระกูลนั้น
ค่ำคืนนั้น หลังจากได้ทานข้าว อาบน้ำ และเอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงจนหลับไปหลายชั่วโมง เขมจิราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเสียงฝนปรอยเบา ๆ และความเงียบรอบข้างที่แปลกตา
เธอลุกจากเตียง เดินเอื่อยออกมาจากห้องนอน แสงไฟสีอุ่นจากโคมตั้งพื้นห้องนั่งเล่นยังสว่างอยู่ และร่างของของขวัญ ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าทำงานที่โต๊ะเล็ก ๆ พร้อมไอแพดหนึ่งเครื่อง ถุงเอกสาร และเศษโพสต์อิทกระจัดกระจาย
“ทำงานอยู่เหรอ ขวัญ” เขมจิราถามขึ้นเสียงแผ่ว
ของขวัญเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อน “ตื่นแล้วเหรอคะ ขวัญทำอาหารไว้ ทานด้วยกันสิคะ เดี๋ยวขวัญคิดค่าใช้จ่ายตรงนี้แป๊บเดียว แล้วจะไปอุ่นให้ พี่เขมนั่งรอก่อนนะคะ”
“ขวัญทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวพี่อุ่นเอง” เธอพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า
เขมจิราเดินไปทางครัวด้วยความมั่นใจ แค่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะยืนนิ่งอยู่หน้าหม้อแกงบนเตา มือเรียวหยิบฝาหม้อขึ้น ก่อนจะวางลง สายตากวาดหาไม้ขนไก่หรืออะไรสักอย่างที่จะเปิดเตาแก๊สได้เปล่าเลย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปิดยังไง ในชีวิตที่ผ่านมา มีคนทำให้เธอมาตลอด สุดท้าย เธอเลือกตักแกงใส่ถ้วยเซรามิก แล้วเดินไปหาไมโครเวฟ นั่นล่ะ สิ่งเดียวที่เธอใช้เป็น
“พี่ทำอะไรคะเนี่ย” เสียงของของขวัญดังขึ้นจากด้านหลัง
เขมจิราหันมา มองน้องสาวผู้เคยตัวติดกันในวัยเยาว์ ก่อนจะยิ้ม ยิ้มแรกในรอบสามวันที่ผ่านมา “ขอโทษนะขวัญ พี่เปิดเตาไม่เป็นน่ะ พี่เลยว่าจะอุ่นในไมโครเวฟแทน”
ของขวัญหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “พี่เขมของน้อง ไปนั่งเถอะค่ะ ก่อนที่พี่จะทำครัวของน้องพัง”
เธอแซวแบบนุ่มนวล แล้วเดินเข้าไปเปิดเตาแก๊ส ปรับไฟอ่อน วางหม้อกลับคืน แล้วจัดจานข้าว จัดน้ำดื่มอย่างชำนาญ
ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองคนก็นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ ใต้แสงไฟสีวอร์ม อากาศในบ้านอุ่นขึ้นเล็กน้อย ด้วยไอแกงร้อนและความเงียบที่ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด
ของขวัญเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ขวัญถามได้ไหมคะ ว่าพี่เขมจะทำยังไงต่อ”
เขมจิราวางช้อนช้า ๆ เธอมองถ้วยข้าวของตัวเอง แล้วยิ้มจาง ๆ “นั่นสิ ตอนนี้พี่ต้องหางาน ต้องหาเงินให้ได้เดือนละแสน เพื่อจ่ายหนี้ให้ทางค่าย”
ของขวัญเลิกคิ้ว “เงินตั้งสามสิบล้าน ถ้าจ่ายเดือนละแสน พี่ต้องจ่ายตั้งสามร้อยเดือน หรือยี่สิบห้าปี เลยนะคะ”
เขมจิราขำแห้ง ๆ “จริงเหรอ พี่ไม่ทันคิดเลยแฮะ ทำไงดีวะเนี่ย”
“แต่ขนาดเดือนละแสน ตอนนี้พี่ยังไม่รู้เลยว่าจะหาจากที่ไหน”
ของขวัญมองเขมจิราอย่างจริงจัง “ขวัญช่วยพี่ได้นะคะ”
เขมจิราส่ายหน้าแทบจะทันที “ไม่ต้องเลย เธอเองก็ไม่ได้สบายไปกว่าพี่นักหรอก หนักกว่าพี่อีก เก็บเงินเธอไว้เถอะ”
ของขวัญยังคงนั่งหลังตรง พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “งั้น...พี่เขมจะทำงานอะไรคะ ตอนนี้คนไม่น้อยก็จำหน้าพี่ได้หมดแล้ว”
เขมจิราถอนหายใจ “นั่นสิ...แต่จะทำยังไงได้”
ของขวัญนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “งั้น...พี่เขมไปทำงานเป็นผู้จัดการบาร์ดีไหมคะ”
เขมจิราเลิกคิ้ว “บาร์?”
“ใช่ค่ะ เป็นบาร์ที่เปิดมาได้ไม่นาน กำลังเป็นที่นิยมมาก ลูกค้าที่นั่นแต่ละคนก็อยู่ระดับท็อป ๆ ทั้งนั้น ทุกอย่างที่นั่นมีแค่ความลับ” เธอเว้นจังหวะก่อนพูดต่อ
“ขวัญว่า...พี่เหมาะกับที่นั่นนะคะ คนเหล่านั้นไม่สนใจว่าใครเป็นใครหรอกค่ะ เงินก็ดีด้วย พี่สนใจไหมคะ”
เขมจิราจ้องหน้าเธอ “จริงเหรอ แล้ว...เขาจ่ายเท่าไหร่”
“รายได้มีหลายทางค่ะ ถ้าเป็นผู้จัดการประจำได้อยู่แล้ว เดือนละเจ็ดหมื่น แต่ถ้าเดือนไหนลูกค้าเยอะ ได้ค่าคอมมิชชั่นเพิ่มอีก ระหว่างนั้น พี่เขมจะใช้ความสามารถยังไงก็ได้ พี่ร้องเพลงได้ พี่ก็ร้องไปด้วย รับค่าทิปเพิ่ม หรือถ้าพี่อยากหาคนเลี้ยง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าใช้ความสามารถตรงนั้นให้ถูกทาง 30 ล้านอาจหมดเร็วมากกว่าที่คิด”
เขมจิราเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างระวัง “บาร์นี้...เชื่อถือได้เหรอ”
“ขวัญรับรองให้พี่ได้ค่ะ เป็นคนรู้จักของขวัญเอง การันตีเรื่องความปลอดภัย ถ้าพี่สนใจ เริ่มงานได้ทันที พักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ เท่าที่พี่ต้องการ บ้านหลังนี้ ขวัญอยู่คนเดียว พี่มาอยู่ด้วย ขวัญดีใจเสียอีก”
เขมจิราเงียบไป ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา “ขอบคุณนะขวัญ พี่จะไม่ลืมบุญคุณเธอเลยถ้าวันไหนเธอเดือดร้อน หรืออยากให้พี่ช่วยอะไร บอกพี่ได้เสมอ ยังไง...เราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
เขมจิรายิ้มอ่อน ส่งสายตาที่มีบางอย่างซ่อนอยู่ลึก ๆ ความภูมิใจ ความเจ็บปวดเก่า และแรงผลักจากความรักของคนที่เติบโตมาด้วยกัน คืนนี้ อาจไม่ใช่การเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่แต่มันคือ “คืนแรก” ที่หัวใจของเขมจิราเริ่มเต้นใหม่อีกครั้ง ในโลกที่ไม่มีใครปรุงแต่งไว้ให้เธออีกต่อไป