บทที่ 6-1 ได้รางวัล

2097 คำ
ท้ายที่สุดซือหม่าอี้เฉินก็ลากตัวเมิ่งอ้ายเยว่ให้ตามเขามาที่หอนางโลมจนได้ หอนางโลมแห่งนี้นี้มีชื่อว่า หอโคมแดงฮวาโหลว เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้มาเห็นหอนางโลมของจริงตรงหน้าก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก หอโคมแดงฮวาโหลแห่งนี้เป็นตึกไม้สองชั้น ทั้งชั้นบนชั้นล่างล้วนประดับโคมไฟสีแดงหรูหรา มีม่านผ้าไหมชั้นดีประดับตกแต่งหน้าต่างทุกบาน ชั้นล่างเป็นที่ต้อนรับแขกเหรื่ื่อ มีเวทีดนตรีและการแสดง ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องพักนางโลมและห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว เมื่อมาถึงหน้าประตูหอโคมแดงฮวาโหลวก็มีมามาออกมาต้อนรับอย่างกระตือลือล้น อีกทั้งยังมองเมิ่งอ้ายเยว่และซือหม่าอี้เฉินอย่างสนอกสนใจ ซือหม่าอี้เฉินหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เมิ่งอ้ายเยว่ จนนางรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกหน แต่ทว่าประโยคต่อมาของเขากลับทำนางเข่าแทบทรุด "พี่สาว วันนี้ท่านต้องไถ่โทษด้วยการตามใจข้า ในเมื่อท่านพูดเองว่าให้ข้าเลือกไปที่ใดก็ได้ตามที่ข้าชอบ บังเอิญว่าข้าชอบที่นี่ อีกทั้งข้ายังอยากได้ห้องจัดเลี้ยงอย่างหรูหรา และนางรำมาร่ายรำให้ชมด้วย หวังว่าพี่สาวจะไม่ขัดใจข้า" เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับเหงื่อตก เมื่อสอบถามมามาถึงราคาห้องจัดเลี้ยงและนางรำชั้นดีอย่างละเอียดนางก็ถึงกับซวนเซเล็กน้อย แต่นางจะผิดคำพูดไม่ได้เด็ดขาด ซือหม่าอี้เฉินอารมณ์ดียิ่งนัก เขาดื่มกินอย่างสำราญใจ ฟ่านกงกงถึงกับทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทยามนี้เหมือนเด็กหนุ่มเสเพลที่ชมชอบความสำราญไม่สิ้นสุด ยิ่งเจอสหายถูกใจยิ่งติดลมจนกู่ไม่กลับ เมิ่งอ้ายเยว่ดื่มสุราไปหลายจอกแต่กลับไม่รู้สึกเมาเลยแม้แต่น้อย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่บริษัทของนางจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่อยู่เสมอ นางเคยได้ฉายาว่า เทพแห่งการดื่ม เพราะดื่มเท่าใดก็ไม่เมาง่ายๆ เพราะฉนั้นสุราเพียงไม่กี่จอกย่อมทำอันใดนางไม่ได้อยู่แล้ว ซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งถูกใจในตัวสตรีตรงหน้าเข้าไปใหญ่ นางช่างเป็นคนที่น่าสนใจโดยแท้ ด้านเมิ่งอ้ายเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปรามซือหม่าอี้เฉิน อย่างไรเสียการดื่มสุราในวัยหนุ่มก็เป็นเรื่องปกติ ขอเพียงให้อยู่ในขอบเขตและไม่เมามายจนขาดสติเป็นพอ ทั้งสองคนกินดื่มกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น เมิ่งอ้ายเยว่มัวแต่เพลิดเพลินจนลืมเวลากลับจวน เมื่อได้สติก็เริ่มลนลาน ไม่รู้ว่ายามนี้อาหมี่จะออกหน้ารับแทนนางเช่นไร นางควรต้องรีบกลับจวนได้แล้ว หากถูกเถียนฮูหยินจับได้ เกรงว่าเรื่องราวคงจะยุ่งยากมากกว่านี้ "น้องชาย หวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน ใช้ชีวิตให้ดี เป็นคนดีของบิดามารดา และอย่าทำตัวเสเพลอีก หาสตรีดีดีสักคนแล้วแต่งงานซะ จะได้รู้รสชาติของการเป็นผู้ใหญ่เสียที ยามนี้ข้าต้องกลับจวนแล้ว ขืนชักช้ากว่านี้อาจจะโดนด่าจนหูชาได้" ซือหม่าอี้เฉินยกยิ้มมุมปาก สตรีใจกล้านางนี้ถึงกับสั่งสอนเขาไม่เลิกไม่รา ซ้ำยังยุยงให้เขาแต่งภรรยาอีกด้วย "พี่สาวกลับดีดีเล่า" “อืม” เอ่ยจบนางก็ตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ทว่าอยู่ๆ กลับได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของสตรีนางหนึ่งเข้าเสียก่อน เมื่อเมิ่งอ้ายเยว่หันไปมองก็พบว่าที่หน้าโรงหมอไม่ไกลจากที่นางยืนอยู่มากนัก มีสตรีนางหนึ่งกำลังอุ้มบุตรชายวัยสามขวบพาดเอาไว้บนบ่า และร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดเวทนาไม่ได้ "ท่านหมอ โปรดช่วยลูกข้าด้วยเถิด ฮือ ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดตัวเลยเจ้าค่ะ แต่ลูกข้ามีไข้สูงมาก อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลย หากท่านไม่ช่วยเหลือเห็นทีเขาคงต้องป่วยตายเป็นแน่ ฮือ ท่านหมอโปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด!" "ไสหัวไป ที่นี่คือโรงหมอไม่ใช่โรงทาน ไม่มีเงินก็กลับไปตายที่บ้านซะ!" ซืิอหม่าอี้เฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็ฉายแววเย็นเยียบ การที่เขาปลอมตัวมาใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้านเช่นนี้ไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวสนุกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะต้องการมาดูความเป็นไปของราษฎรด้วยตาของตนเอง ชาวบ้านตัวเล็กๆ เหล่านี้ย่อมไม่เคยเห็นหน้าเขา จึงไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าใดนัก ในขณะที่ซือหม่าอี้เฉินกำลังจะหันไปสั่งให้ฟ่านกงกงไปช่วยเหลือสองแม่ลูกคู่นั้น เมิ่งอ้ายเยว่กลับมุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือคนก่อนแล้ว "แม่นาง ท่านใจเย็นๆ ก่อน บุตรของท่านยังได้สติอยู่ เขาจะต้องไม่ตายง่ายๆ แน่" สตรีนางนั้นหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งอ้ายเยว่ก็ลนลานขึ้นมาทันที "คุณหนูใหญ่เมิ่ง ท่านอย่ารังแกข้าเลยนะเจ้าคะ คราก่อนที่ข้าเอ่ยวาจาเสียดสีท่าน ข้าผิดไปแล้ว ยามนี้บุตรชายข้าป่วย ท่านโปรดละเว้นพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถอะ!" เมิ่งอ้ายเยว่ชะงักไปในทันที นางพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่านิสัยไม่ดีและชอบมีเรื่องไปทั่วยามออกจากจวน ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัวนาง "แม่นางเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มารังแกท่าน แต่ข้าจะช่วยออกค่ารักษาให้บุตรชายของท่านเจ้าค่ะ เงินนี่ท่านไม่ต้องใช้คืนให้้ข้า ข้ายินดีช่วยเหลือท่าน และไม่นับว่าเป็นบุญคุณอะไร หวังว่าแม่นางจะไม่ขัดข้อง" สตรีนางนั้นมองเมิ่งอ้ายเยว่อย่างลังเล แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายที่ป่วยหนักขึ้นมานางก็คิดว่าคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว ยามนี้เมิ่งอ้ายเยว่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยรักษาชีวิตของบุตรชายนางเอาไว้ได้ แม้สุดท้ายเมิ่งอ้ายเยว่จะกลับมารังแกนางอีก นางก็ยินดี ขอเพียงบุตรชายอยู่รอดปลอดภัยก็พอ "ที่บอกว่าจะช่วยบุตรชายข้า ท่านพูดจริงหรือ?" "เจ้าค่ะ ท่านรีบพาบุตรชายกลับเข้าไปที่โรงหมอก่อนเถอะ ข้าจะออกค่ารักษาให้เอง" "ช้าก่อน!" เมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังจะช่วยอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในโรงหมอพลันชะงัก แล้วจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นซือหม่าอี้เฉินนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ายังไม่กลับจวนอีกหรือ? ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก” "พาพวกนางไปที่โรงหมออีกฝั่งหนึ่งเถอะ ที่นั่นท่านหมอใจดีและมีเมตตากว่าโรงหมอแห่งนี้มากนัก ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง" ซือหม่าอี้เฉินเอ่ยจบก็รีบนำทางพวกนางไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบพาสองแม่ลูกตามไปยังโรงหมอที่เขาบอกอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงเด็กน้อยก็ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ท่านหมอใจดีมากจริงๆ อีกทั้งยังดูจะคุ้นเคยกับซือหม่าอี้เฉินเป็นอย่างดี ท่าทีที่เขามีต่อซือหม่าอี้เฉินนั้นทั้งเกรงใจและเคารพนบนอบจนเมิ่งอ้ายเยว่อดแปลกใจไม่ได้ เจ้าเด็กลิงนี้เห็นเสเพลไม่เอาไหนแต่ก็มีคอนเนคชั่นดีเยี่ยมเหมือนกันนะเนี่ย เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยอาการดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่ก็พลอยดีใจไปกับมารดาของเด็กผู้นั้นด้วย สตรีนางนั้นหันมาเอ่ยขอบคุณนางและซือหม่าอี้เฉิน อีกทั้งยังขอโทษเมิ่งอ้ายเยว่อย่างรู้สึกผิดที่เคยลอบนินทานาง แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้ติดใจเอาความเลยแม้แต่น้อย "แม่นาง เจ้ารับเงินนี่ไปนะ ส่วนค่ารักษาข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าบอกท่านหมอเอาแล้ว หากพวกท่านมาอีกก็ให้รักษาอย่างเต็มที่ แล้วให้ส่งคนไปแจ้งข้าที่ตระกูลเมิ่ง ท่านไม่ต้องกังวล ดูแลบุตรชายให้ดีดีเล่า" "ขอบคุณท่านมาก บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย" "บุญคุณอันใดกันช่างมันเถอะ ชีวิตลูกชายของท่านย่อมสำคัญกว่า" สตรีนางนั้นยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะบอกลาและอุ้มบุตรชายที่อาการดีขึ้นมากแล้วกลับบ้านของตนไป เมิ่งอ้ายเยว่มองส่งสองแม่ลูกไปจนลับสายตา ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็เอ่ยชมนาง บางคนก็บอกว่านางแสร้งทำตัวเป็นคนดีเพื่ออยากเทียบรัศมีเมิ่งลี่หรู แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น นางช่วยคนเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้หวังเอาหน้าเลยแม้แต่น้อย เมื่อคนจากไปแล้ว นางจึงล้วงหยิบถุงเงินออกมาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเงินในถุงเหลือเพียงไม่กี่อีแปะนางก็ทอดถอนใจหนหนึ่ง ด้านซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง "ทำไม พี่สาวช่วยคนแล้วนึกเสียดายภายหลังหรือ?" เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินจึงหันมามองเขาทันที "ใช่ที่ไหนกัน ข้าเพียงคิดว่าวันนี้นำเงินมาน้อยเกินไป หากมีเงินมากกว่านี้ข้าจะมอบให้สองแม่ลูกนั่นเพิ่มอีกสักหน่อย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินแล้ว คงต้องเริ่มต้นหาเงินมาเพิ่มอีกสักหน่อย" "จะไปหาจากที่ใด?" "ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออก ไว้ข้ากลับไปนอนหลับสักงีบ ตื่นมาเดี๋ยวก็คงคิดออกเอง" ซือหม่าอี้เฉินเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยถามนางอย่างสนใจ “พี่สาวชอบนอนขนาดนั้นเลยหรือ?” "ก็ใช่น่ะสิ หากคุณภาพการนอนดี แน่นอนว่าสมองก็จะดีตามไปด้วย อ้อ ข้ายังชอบกินด้วยนะ” เอ่ยจบนางก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันมาเอ่ยกับซือหม่าอี้เฉินอีกหน “นี่ก็ค่ำมืดแล้ว ข้าต้องกลับจวนก่อนล่ะ ไปละนะ" เอ่ยจบนางก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซือหม่าอี้เฉินมองตามนางไปจนลับสายตา ความรู้สึกซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นในดวงตาคมกล้าของเขา “ตาแก่ฟ่าน ส่งคนไปสืบเรื่องของสตรีนางนั้นมาอย่างละเอียด” ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ แล้วจึงเอ่ยเตือนเจ้านายตนหนหนึ่ง "ฝ่าบาท รีบกลับวังหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งมืดยิ่งอันตราย" ซือหม่าอี้เฉินเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินฟ่านกงกงบอกว่ายิ่งมืดยิ่งอันตราย ชายหนุ่มก็แค่นเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเยาะหยัน ยิ่งมืด พวกหมาป่ากากเดนก็ยิ่งจ้องจะตะครุบเขาสินะ? ชายหนุ่มมองไปโดยรอบด้วยแววตาเย็นชา เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว ก็หันมาเอ่ยกับฟ่านกงกงอีกรอบ "คืนนี้เจ้าจงส่งคนมาเผาโรงหมอนี่ซะ ในเมื่อโลภมาก เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เช่นนั้นก็อย่าเปิดรักษาคนอีกต่อไปเลย!" ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ และกลางดึกคืนนั้นโรงหมอที่ว่าก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ท่านหมอยังไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้ เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันท์ไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม