แต่ยังไม่ทันที่มีดบางจะได้ปลิดชีพ นัยน์ตาสีเปลือกไม้กลับลืมขึ้นราวกับว่ารอเวลานี้อยู่นานแล้ว แขนแกร่งยกขึ้นกันปลายมีดที่หมายจะแทงลงมายังคอหอยไว้ พร้อมกับฝ่ามืออีกข้างที่บีบล็อกลำคอระหงจนอีกฝ่ายได้แต่อ้าปากพะงาบ
“ใครส่งเธอมา” น้ำเสียงดุดันเอ่ยถามลอดไรฟัน มือก็บีบเข้าที่ลำคอแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องการจะรู้ว่าใครคือผู้บงการเขาคงหักมันให้แหลกคามือไปแล้ว
เจสซิก้าพยายามดิ้นรนต่อสู้และสูดโกยอากาศเข้าปอดแต่ก็ทำได้ยาก เพราะไม่ว่าจะตอบโต้ยังไงอีกฝ่ายก็ตั้งรับได้ทุกครั้ง
“ปะ ปล่อย หะ หายใจ มะ ไม่ออก” ร่างของหญิงสาวถูกชายหนุ่มจับยกขึ้นจากตัวโดยที่มือหนาก็ยังไม่ยอมปล่อยออกจากลำคอบางจนเท้าทั้งสองข้างลอยขึ้นจากพื้น
“นายครับ!” โรมที่ได้ยินเสียงผิดปกติรีบวิ่งเข้ามาในห้องรับรองทันทีเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เป็นนาย
“จับมันมัดไว้ แล้วลากลงไปไว้ที่ห้องใต้ดิน” ดาร์เรนโยนร่างของเจสซิก้าไปให้โรม “ไว้ฉันอาบน้ำชำระล้างคราบสกปรกเสร็จแล้วฉันจะเป็นคนลงไปสอบสวนมันเอง อ้อ... แล้วอย่าให้รีบชิงฆ่าตัวตายไปเองซะก่อนล่ะ เพราะลูกรักของฉันมันไม่ชอบเหยื่อที่หมดลมหายใจไปแล้ว”
“ครับนาย” โรมรับคำสั่งเสร็จก็ลากร่างของเจสซิก้าออกไปโดยที่อีกฝ่ายทำได้เพียงแค่แหกปากร้องลั่นโวยวายไปตลอดทาง
ดาร์เรน (ชอว์) บาร์เนทท์ มาเฟียเชื้อสายอเมริกัน ปีนี้เขาอายุได้สามสิบสองปีแล้ว บิดาของเขาคือดีโน่ (ช่อว์) บาร์เนทท์ เป็นชาวอเมริกาแท้ ๆ แต่งงานกับมารดาของเขาที่เป็นคนไทยอย่างโรสริน (ช่อว์) บาร์เนทท์ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่อเมริกาโดยถาวร และเขาซึ่งเกิดที่นี่จึงถือสัญชาติอเมริกันแท้
ตระกูลบาร์เนทท์ (Barnett = บาร์เนทท์ = ผู้นำ) หรือ บาร์เนทท์ แฟมิลี่ คือตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาในตอนนี้ เพราะนอกจากจะเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลและมีเส้นสายทั่วโลกที่แน่นหนาแล้ว ปัจจุบันตระกูลบาร์เนทท์ยังเป็นเจ้าของบริษัทที่ผลิตอาวุธสงครามที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังควบกิจการกาสิโนทั้งใต้ดินและบนดินทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะดำหรือขาวล้วนอยู่ในมือของตระกูลบาร์เนทท์แทบทั้งสิ้น
ดาร์เรนเป็นลูกชายคนเดียวของดีโน่และโรสริน และเขายังเป็นทายาทหนึ่งเดียวที่กำลังจะก้าวขึ้นมาสืบทอดและเป็นผู้นำบาร์เนทท์แฟมิลี่แทนผู้เป็นพ่อในอีกไม่ช้า เดิมทีตระกูลบาร์เนทท์นั้นมีศัตรูทางธุรกิจมากมายอยู่แล้ว โดยเฉพาะการพุ่งเป้ามาที่ทายาทเพียงหนึ่งเดียวอย่างเขาที่มักจะโดนลอบสังหารจนเป็นเรื่องปกติ… อย่างเช่นวันนี้
และเขาเองก็ไม่ได้โง่ ดาร์เรนรู้ตั้งแต่วันแรกที่หญิงสาวอย่างเจสซิก้าก้าวเท้าเข้ามาหาเขาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็คงเป็นนางนกต่อที่ถูกบริษัทคู่แข่งหรือตระกูลมาเฟียอื่น ๆ ที่ไหนสักที่ส่งมาลอบสังหารเขา และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวเขามีภัย ไม่ว่าจะรูปแบบไหนดาร์เรนก็เจอมาหมดแทบนับไม่ถ้วน เพราะงั้นการถูกลอบสังหารตั้งแต่ที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบจนมาถึงตอนนี้มันจึงกลายเป็นเรื่องปกติ
แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนหรือใครที่ส่งมาก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ และครั้งนี้ก็ดูท่าว่าจะต้องล้มเหลวอีก
พวกโง่! คิดจะใช้นางนกต่อที่เป็นสาวสวยขนาดนี้มาล่อลวงเขาเพื่อสังหารเขางั้นเหรอ น่าขำ บางทีคนพวกนั้นอาจจะยังไม่รู้มาก่อนก็ได้ว่าคนอย่างเขาไม่เคยรักใคร… ไม่มีทาง
และเห็นท่าว่านางนกต่อแสนสวยที่ส่งมานั้นคงจะไม่มีวันได้กลับออกไปอย่างมีลมหายใจจากคฤหาสน์บาร์เนทท์ซะแล้ว
ประเทศสหรัฐอเมริกา ณ เมืองนิวยอร์ก เมืองแห่งมหานครที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีแสง สี เสียง ที่โคตรจัดจ้าน ราวกับทั้งมหานครไม่เคยหลับใหล แถมยังมีตึกสูงเสียดฟ้ามากมายที่ใหญ่โตอลังการ และที่ใครหลายคนต่างรู้จักกันก็คงจะหนีไม่พ้นตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ที่ตอนนี้กลายเป็นตึกไอคอนิคของป๊อปคัลเจอร์อเมริกา และยังเคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลกยาวนานกว่าสี่สิบปีด้วย
บนชั้นที่แปดสิบหก หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนดูกล้องส่องทางไกลพร้อมดื่มด่ำกับวิวสามร้อยหกสิบองศาเบื้องหน้า ไกลออกไปลิบคือตึก One world trade center และเกาะเทพีเสรีภาพเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่สุดสายตา ใบหน้าสวยหวานนั้นยกยิ้มอย่างพอใจ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบไว้ด้านบนเป็นทรงหางม้าดูน่ารัก
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ในกระเป๋าก็ทำให้เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับบ่นอุบ “ใครโทรมาอีกเนี่ย หวังว่าจะไม่ใช่สายจากทางบ้านอีกหรอกนะ”
เดวา เฌอริลิณญ์ ปัจจุบันอายุยี่สิบแปดปี เพิ่งเรียนจบปริญญาเอกที่นิวยอร์กมาหมาด ๆ พ่อและแม่ของเฌอริลิณญ์เป็นคนไทยทั้งคู่ แต่ทว่าตอนที่แม่ตั้งท้องและคลอดเธอที่นี่ ดังนั้นหญิงสาวจึงได้สัญชาติอเมริกัน แต่เพราะรักที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ของพ่อกับแม่ในขณะนั้น ทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่เกาหลีใต้ ซึ่งครอบครัวของพ่อทำธุรกิจที่นั่น วันเวลาผ่านไปกว่าห้าปี มีเหตุทำให้ความรักของพ่อกับแม่เปิดเผย เธอจึงได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย ครอบครัวฝั่งคุณตาเป็นเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย มีทั้งกิจการรีสอร์ต ฟาร์มม้า ฟาร์มวัว ฟาร์มไก่ ฟาร์มเป็ด สวนผัก ไร่ผลไม้ ไร่ชา ไร่กาแฟ โรงงานแปรรูปที่ทันสมัย โรงงานปุ๋ย ส่วนทางด้านคุณพ่อก็เป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์ นอกจากนั้นธุรกิจของตระกูลก็ยังมีด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมที่มีสาขาทั่วโลก กาสิโนที่มาเก๊า ซึ่งอยู่ในความดูแลของทายาทแต่ละครอบครัวอีกด้วย และตอนนี้เดวาก็กำลังอยู่ในช่วงท่องเที่ยวก่อนเดินทางกลับไทยเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว
“ว่าไงโจลี่” คนที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทของเดวาที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน
(นี่คุณเดวา อุ่ย! ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า ดร.เฌอริลิณญ์ สินะ)
“อย่ามาแซวฉันน่า เรียกฉันแบบเดิมก็ได้ไหม” เดวากลอกตามองบน ก่อนจะละออกจากเครื่องส่องทางไกลแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ
(จ้า ๆ แล้วนี่ยังไงจ๊ะ อยู่ที่ไหนล่ะ ตกลงว่าจะกลับไทยวันไหนกันแน่) โจลี่ถามเข้าเรื่อง
“อืม อีกอาทิตย์สองอาทิตย์ล่ะมั้ง ฉันว่าจะอยู่เที่ยวให้เต็มที่ก่อน อุตส่าห์ก้มหน้าก้มตาเรียนหนักมาตั้งหลายปี นี่ก็กะว่าพรุ่งนี้จะลงไปที่ชิคาโก้ อยากไปดู Millennium Park และก็ไปนั่งจิบเครื่องดื่มชิว ๆ ที่ท่าเรือเนวี่ คงจะฟินน่าดู”
(ไปคนเดียวอ่ะนะ?)
“ก็ใช่นะสิ จะให้ฉันไปกับใครล่ะ เธอเองก็ไม่ยอมไปกับฉันนิ”
(ก็ฉันไม่ว่างนี่น่า และที่ฉันถามก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ฉันแค่เป็นห่วง ผู้หญิงตัวคนเดียวตะลอน ๆ ไปเที่ยวแบบนั้น เกิดมีใครทำอะไรขึ้นมาจะทำยังไง)
“ใครจะทำอะไรฉันได้ล่ะ นี่เธอลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร คนอย่างเดวาไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรได้ง่าย ๆ หรอก” เพราะว่าเดวานั้นถูกฝึกให้เรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งศิลปะการป้องกันตัว ทั้งยิงปืน แน่นอนว่าคนอย่างเธอไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
ถึงคนภายนอกจะไม่รู้แต่แท้จริงแล้วต้นตระกูลของเดวานั้นเคยเป็นถึงกลุ่มมาเฟียที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลมาก แม้ว่าปัจจุบันจะลดทอนบทบาทลงไปมากแล้วแต่ความยิ่งใหญ่กลับยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยน
(ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี)
เดวาอมยิ้ม ด้วยรู้นิสัยดีว่าเพื่อนสาวของเธอคนนี้ค่อนข้างขี้ระแวงขนาดไหน “เอาน่า ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันดูแลตัวเองได้ และก็สัญญาเลยว่าจะดูแลตัวเองดี ๆ และจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายที่ไหนเด็ดขาด โอเคไหม”
โจลี่เงียบไปพักหนึ่ง (แบบนั้นก็ได้ และก็อย่าขาดการติดต่อด้วยล่ะ ไปถึงก็ต้องโทรมาบอกด้วย)
“จ้า ๆ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นแค่นี้ก่อนนะ พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว เดี๋ยวอดถ่ายรูปวิวสวย ๆ เอาไว้ไม่ทัน” เดวายอมรับปากแบบขอไปที จากนั้นก็รีบวางสายไป
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ พระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่กำลังค่อย ๆ คล้อยต่ำลาลับขอบฟ้า เป็นภาพบรรยากาศสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ตึกเอ็มไพร์สเตทในยามนี้ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาเลยทำให้ทั้งชั้นแปดสิบหกมีเธอกับนักท่องเที่ยวอยู่เพียงไม่กี่คน
เดวาหันมองไปรอบ ๆ ก็เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาแปลก ๆ หวังว่าคงจะไม่มีผีหรือว่าตัวอะไรโผล่ขึ้นมาหลอกเธอหรอกนะ เมื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกจนพอใจแล้วหญิงสาวก็หันกายเพื่อเดินไปยังลิฟต์ที่อยู่อีกฝั่ง
เอ๊ะ! ก่อนหน้านี้ยังมียามยืนอยู่ตรงนี้เลยนิ หรือว่าจะไปเข้าห้องน้ำ?
เดวาเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับกดหมายเลขลงไปยังชั้นล่าง แต่ทว่าก่อนที่ลิฟต์จะปิด ชายคนหนึ่งก็พุ่งสวนเข้ามาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่โชยปะทะจมูก ในมืออีกข้างก็ถืออาวุธปืนสั้นสีดำไว้
“ว๊าย! อะไรกันเนี่ย” เดวาอุทานลั่นด้วยความตกใจ
“หุบปากเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาย” น้ำเสียงเย็นชากัดฟันพูดออกมา ลมหายใจก็หอบถี่เนื่องจากเพราะเสียเลือดมาก
“คะ คะ คุณจะทำอะไร” เดวาละล่ำละลัก ถึงเธอจะเกิดในตระกูลมาเฟียเก่าแก่แต่เจอแบบนี้ก็ตกใจเหมือนกันนะ “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
ดาร์เรนเหลือบมองใบหน้าสวยหวานของคนตรงหน้าแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงเฝ้ารอให้ลิฟต์นั้นเคลื่อนตัวลงไปยังด้านล่างช้า ๆ เพราะเขาประมาทเอง คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโดนลอบสังหารในที่แบบนี้ได้
“คุณคะ คุณไหวไหม คุณโดนยิงนี่” เดวาสังเกตเห็นมืออีกข้างของชายหนุ่มที่กุมอยู่แถวบริเวณสีข้างของตัวเองไว้ เลือดสีแดงสดไหลผ่านทะลักตามร่องนิ้วออกมาดูน่ากลัว
“ฉันไม่เป็นไร”
“นี่คุณ เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้วนะยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ อาการหนักแบบนี้คุณต้องไปโรงพยาบาลนะ”
ดาร์เรนหันมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองสำรวจหญิงสาวเงียบ ๆ อดแปลกใจเล็กน้อยที่เธอเหมือนจะไม่ได้ดูตกใจขนาดนั้นแล้ว แถมยังดูมีสติดีและไม่กลัวเลือดอีกต่างหาก ถ้าเป็นคนอื่นไม่แน่ว่าก็อาจจะแหกปากลั่นร้องโวยวายเสียงดังใหญ่โตไปแล้ว