บทที่4

2005 คำ
หลี่เหมินที่เพิ่งได้กลับมาบ้าน หลังจากออกไปรักษาคนที่อื่นหลายวัน กำลังนั่งเอนกายนวดขมับขับไล่ความเหนื่อยล้า เขาแอบเสียใจอยู่บ้างที่ไม่อาจยื้อชีวิตคนป่วยรายนี้เอาไว้ทัน ด้วยกว่าจะไปพบอาการเขาก็หนักเกินไป แต่ได้พยายามอย่างเต็มความสามารถ และญาติของเขาก็ไม่ได้ติดใจอันใดเนื่องจากพวกเขารู้ว่าตนต่างชะล่าใจ ไม่คิดว่าคนจะป่วยรุนแรง อาชีพหมอเป็นอาชีพที่ไม่อาจเลี่ยงเห็นคนตายต่อหน้า ถึงจะรู้ว่าเกิดและตายคือธรรมชาติของการมีชีวิตก็ตาม แต่อย่างไรเขากลับไม่ชินเสียที “เพราะอะไรนะ ข้าต้องเศร้าตอนที่ช่วยคนไม่ทันอยู่เรื่อย” “เพราะท่านอาเป็นคนดี” “หือ!” เขาหันมองไปตามเสียง เห็นหัวผักกาดเล็ก ๆ สองหัวชะโงกหน้าออกมาจากหลังประตูห้องที่เปิดไว้ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าที่อ่อนล้า และได้กวักมือเรียกหลานชายหลานสาวให้มาหา “มานี่สิ ทำไมจึงไปเกาะอยู่หลังประตูเช่นนั้น” “ท่านอา!!” เด็ก ๆ รีบวิ่งมาหาผู้เป็นอาทันที ถึงเขาจะหน้านิ่งและเคร่งขรึมไปบ้างแต่เพราะมีท่านอาอยู่ อนุชิวอี๋จึงไม่สามารถทำอะไรพวกนางแม่ลูกได้สะดวกนัก อย่างมากก็แค่สร้างความอึดอัดใจในบางครั้ง ที่หลี่หวงต้องหอบหิ้วเอาเมียรักไปไหนต่อไหน ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจน้องชายคนนี้ เนื่องจากหลี่เหมินได้คาดโทษอนุนางนั้นเอาไว้ ทั้งยังขู่ด้วยว่าถ้าทำหลานเขาบาดเจ็บอีกจะได้เห็นดีกัน ซึ่งหลี่เหมินเป็นคนพูดจริงทำจริง “ข้าคิดถึงท่านอามากเลย” “ท่านอาไม่อยู่ตั้งหลายวัน พวกเราไม่ได้เห็นหน้าท่าน พอได้เจอท่านมีหนวดขึ้นด้วย” “ข้ายังไม่ได้โกนออก ว่าแต่เจ้าสองพี่น้องถูกอนุผู้นั้นรังแกอีกหรือไม่” “ไม่ได้รังแกเจ้าค่ะ เพราะพวกเราจะหลบอยู่ในห้องเวลาที่ท่านพ่อกับท่านน้ากลับมา” หลี่เหมินฟังแล้วหดหู่ อยู่บ้านตัวเองแท้ ๆ กลับต้องระมัดระวังตัวเพื่อไม่ให้ถูกทำร้าย เหตุใดพี่ชายเขาจึงตามืดบอดเช่นนี้ ตอนแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อท่านแม่จึงคัดค้านไม่ให้พี่ชายแต่งกับคนที่ชอบ แต่พอได้เห็นธาตุแท้ของชิวอี๋จึงเข้าใจทันที เพราะนางมีนิสัยโลภมากตลบตะแลงเจ้าเล่ห์ นอกจากรู้จักพูดจาเอาใจคน อย่างอื่นหาดีไม่ สตรีแบบนี้จะเป็นแม่และเมียที่ดีได้อย่างไร “แล้วสองคนดื้อกับแม่เจ้าหรือไม่” “ข้าไม่ดื้อขอรับ แต่น้องสาว.” “ข้าก็ไม่ดื้อนะ” “ใช่ เจ้าไม่ดื้อ แต่เจ้าชอบทำอะไรแปลก ๆ จนท่านพ่อโมโหท่านแม่ ถึงขั้นชี้ใส่แบบนี้ ๆ” “หมายความว่าอย่างไร หลิงเอ๋อร์เจ้าไปก่อเรื่องอันใดให้มารดา” “ข้าไม่ได้ก่อเรื่อง ข้าแค่เห็นท่านแม่ทำงานจนเหนื่อย เลยบอกให้ท่านแม่ทำน้อยลง พอท่านพ่อรู้เข้าจึงโกรธ” “โกรธ? แล้วมารดาเจ้าไม่ถูกตำหนิแย่หรือ” “ตำหนิขอรับ แต่พอท่านแม่พูดบ้าง ท่านพ่อก็หน้าแดงจนเขียว ท่านน้าก็เองเดินย้ำเท้าดังตึง ๆ” “หือ! เดี๋ยวนี้พี่สะใภ้รู้จักสู้คนแล้ว” “ท่านแม่แค่บอกเฉย ๆ” “บอกว่าอย่างไร เจ้าสองคนจงเล่าให้ข้าฟัง” “ก็บอกว่าถ้าเก่งกันนักให้มาทำเอง แต่ถ้าทำไม่ได้อย่าสักแต่พูด เพราะทำให้คนรู้ว่ามีแต่ลมร้อนที่ไหลผ่าน ท่านพ่อฟังแล้วสำลักจนไอเชียว” “ฮะฮ่าฮ่า! มารดาเจ้ากล่าวไปแบบนั้น โอ้! น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งกลับมาก อยากเห็นกับตาเหลือเกินว่าเหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไร” เขาไม่ได้เห็นใจหรือโมโหแทนผู้เป็นพี่สักนิด เพราะคนที่ผิดก่อนคือพี่ชายตน ถ้าไม่กลัวบ้านแตกคงยุให้พี่สะใภ้ขอหย่าไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังห่วงหลานกลัวจะไม่ได้เห็นหน้าทั้งสองคน “หลงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์นั่งรอตรงนี้ ตอนกลับมาข้าพบแม่ค้ารถเข็นเจ้าหนึ่ง เห็นขนมของนางดูน่ากินจึงซื้อมาให้พวกเจ้า” “เย้! จะได้กินขนมล่ะ” สองพี่น้องดีใจเป็นอย่างมาก หลี่เหมินลูบหัวถุยของทั้งสองก่อนจะลุกไปหยิบขนมมาให้ ท่านอานั่งเท้าคางดูหลาน ๆ กินอย่างเอ็นดู จนหลงลืมความเศร้าที่มีไปจนสิ้น อีเหนียงที่ผ่าฟืนเสร็จหันมาอีกทีไม่เห็นลูก ๆ จึงเดินหาก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วออกมาจากเรือนน้องสามี นางลังเลว่าจะเข้าไปตามลูกดีหรือไม่ อย่างไรเขาเป็นบุรุษ อาจจะไม่ดีนักหากเข้าไปใกล้ห้องของหลี่เหมิน ซึ่งชิวอี๋เห็นเข้าจึงยกยิ้ม บัดนี้มีแผนกำจัดหญิงน่าชังออกจากบ้านแล้ว นับว่าการแสร้งป่วยเพื่อจับตามองสามแม่ลูกไม่เสียเปล่า “หึ! เจ้าทำให้ข้าหายใจลำบาก ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีหน้าไปสู้ใคร” คิดแล้วจึงเริ่มแผนกำจัดอีเหนียงทันที นางทาหน้าให้ดูขาวซีดแล้วไปยืนรอรับสามี เมื่อหลี่หวงเห็นเข้าจึงตำหนิด้วยความห่วงใย “เจ้าไม่สบาย ไยจึงไม่นอนยังออกมารอรับข้ายืนตากลมเช่นนี้เล่า” “ข้าเพียงอยากถามไถ่ ว่าท่านพี่เหนื่อยรึไม่ จึงมารอรับกลับบ้านเจ้าค่ะ” “เจ้าพูดเหมือนข้าไปทำงานที่อื่นเพิ่งกลับมา แต่ขอบคุณที่ใส่ใจ” เห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาให้เอ็นดูนัก “ท่านเป็นสามีข้า จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร อีกอย่างฮูหยินไม่ค่อยจะทำหน้าที่ของภรรยา นอกจาก!” ชิวอี๋กัดปากแต่ไม่ได้กล่าวต่อ คล้ายมีลับลมคมใน “เจ้าไปรู้อะไรมา ทำไมถึงไม่พูดบอกข้า” “ข้ายังไม่แน่ใจแค่สงสัยเท่านั้น หากพูดออกมาแล้วคิดมากไปเองจะเป็นการให้ร้ายผู้อื่น” “จริงหรือไม่ค่อยว่ากันทีหลัง ชิวอี๋ บอกข้ามาเถอะ ฮูหยินนางทำอะไร” อนุคนโปรดตีหน้าเศร้า ก่อนจะกระซิบบอกเล่าความเท็จให้สามีฟัง จริงหนึ่งส่วนเท็จแปดส่วนแต่งเสริมเติมอีกนิด เท่านี้เขาก็ฉุนขาดเกือบวิ่งไปหาภรรยาเอกหวังคาดคั้นเอาความกับนาง แต่ถูกอนุดึงแขนไว้ “ท่านพี่ ท่านใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องยังไม่แน่ชัดเลย” “นางไปชะเง้อแอบดูหลี่เหมินเช่นนี้ เจ้ายังบอกว่าไม่ชัดเจนอีกหรือ หญิงแพศยาเช่นนั้น หากต้องรอให้สวมหมวกแก่ข้าก่อนถึงค่อยจัดการ แล้วศักดิ์ศรีข้าจะยังมีอยู่ได้อย่างไร ยังไงข้าจะต้องไปถามนาง” “เอ่อท่านพี่เจ้าคะ ทำแบบนั้นอาจทำให้หลี่เหมินไม่พอใจท่านได้ อีกอย่างถามแล้วนางจะยอมรับหรือ ดูจากช่วงนี้ที่นางไม่เชื่อฟังท่าน ข้าคิดว่า...” “เจ้าคิดว่านางจะทำอะไร” “นางคงเห็นว่าน้องชายท่านยังโสดอนาคตสดใสรุ่งโรจน์ และเขารักหลานมาก จึงใช้โอกาสนี้สร้างความใกล้ชิดสนิทสนม ตอนที่หลิงเอ๋อร์ล้มป่วยเขาเทียวเข้าเทียวออกเพื่อดูแลหลาน ฮูหยินอาจเริ่มคิดเป็นอื่นในตอนนั้นก็ได้” ชิวอี๋ปั้นเรื่องออกมาได้อย่างลื่นไหล หลี่หวงที่ไม่ชอบภรรยาเอกอยู่แล้วจึงทวีความไม่ชอบยิ่งขึ้น ยามที่เขาพบหน้าอีเหนียงสายตาจึงมีแต่ความชิงชัง “พี่สะใภ้ ท่านกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นนี้เชียวหรือ” ตอนที่หลานเล่าให้ฟังเขาคิดว่าจะไม่สบอารมณ์เท่านั้น แต่เท่าที่เห็นเหมือนจะเกลียดเข้าไส้ “ตอนแรกก็ไม่ได้ขนาดนี้ แต่ว่าวันนี้เขาดูเกลียดข้ายิ่งกว่าทุกวัน” “แต่พี่ใหญ่เพิ่งกลับมา และท่านเองก็วุ่นวายกับการทำอาหาร สองคนยังไม่เจอหน้ากันแล้วทำไม?” “ท่านอา ท่านแม่ วันนี้ท่านน้าอยู่บ้านเจ้าค่ะ” “เจ้าจะบอกว่าเป็นนางที่หาเรื่องให้บิดามีโทสะรึ” จะว่าไปเขาเพิ่งนึกออกว่าอนุผู้นั้นก็อยู่บ้าน เพราะไม่เห็นหน้าทั้งวันจึงหลงลืมไป ถึงว่าอยู่แต่ในห้องเก็บตัวเงียบ “พี่สะใภ้วางใจ ข้าจะไปถามเขาเองว่านางไปพูดอะไร ถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้น” “อย่าเลย หากเจ้าออกหน้าปกป้องข้าคงทำให้พลอยมีปัญหาไปด้วย จะโกรธก็ปล่อยให้โกรธไป ปกติเขาไม่เคยจะดีกับข้าอยู่แล้ว” “ท่านอาขอรับ ทำไมท่านพ่อถึงไม่มาถามท่านแม่ แต่เชื่อท่านน้าเล่า” “เรื่องนี้เด็กอย่างเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ ไว้รอโตขึ้นเจ้าจะรู้ว่าความรักมันสามารถเปลี่ยนคนฉลาดให้กลายเป็นคนโง่งม” หลี่เหมินรู้สึกเห็นใจพี่สะใภ้ตน แต่งกับคนที่เขาไม่ชอบว่าทุกข์แล้ว ตอนนี้ยิ่งทุกข์หนัก บางครั้งยังหมั่นไส้อยากเตือนสติพี่ชายด้วยการจับไปฝังเข็มนัก เพื่อจะเรียกสมองที่หายไปให้กลับคืนมาได้ “น้องสาว ท่านพ่อเป็นแบบนี้ข้าสงสารท่านแม่จัง” “ใช่มั้ย ข้าบอกแล้วว่าท่านพ่อไม่ปกติ เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวโกรธ ต้องเปลี่ยนพ่อใหม่เท่านั้นท่านแม่ถึงจะมีความสุข” สองพี่น้องกระซิบกระซาบกันเสียงเบา เพราะกลัวผู้ใหญ่ได้ยิน หลิงเอ๋อร์มองหน้ามารดาที่ไม่ได้เศร้าเท่าไรนัก แสดงว่าแม่ไม่ได้รักหรืออาวรณ์พ่อ ที่เหลือก็แค่สร้างความมั่นใจและบอกแนวคิดในการดำรงอยู่วันที่ไม่มีคนหาเงินให้ใช้ แม้ยุคสมัยนี้จะล้าหลังแต่ใช่ว่าจะไม่มีการหย่าร้าง และผู้หญิงหลายคนที่ไม่สนใจฝีปากคนทำงานหาเลี้ยงปากท้องจนร่ำรวย ดังนั้นนางต้องทำให้แม่คล้อยตามให้ได้ เด็กหญิงนอนไม่หลับ พลิกตะแคงหันมองหน้าแม่ที่นอนเตียงข้างกัน สามคนแม่ลูกยังนอนร่วมห้องแต่แยกเตียง หนูน้อยลุกขึ้นนั่งค้ำคางในใจคิดว่าถึงเวลาปฏิวัติหญิงหม้ายคนนี้ เพราะนางไม่อยากรับบทหญิงสาวโชคร้ายที่ต้องถูกขายให้ชายบ้ากามในอนาคต ก่อนจะถูกเขาทรมานเหมือนของเล่นและป่วยตาย ปิดฉากของตัวประกอบในนิยายปริศนาที่เพื่อนส่งมาให้อ่าน “ไม่เข้าใจเลย ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วหลิงเอ๋อร์ตัวจริงตายหรือว่าไม่มีมาแต่แรก พีทนะพีท! แกไปเอานิยายอาถรรพ์เล่มนี้มาจากไหนกัน แล้วทำไมต้องเป็นฉันคนเดียวที่หลุดมาอยู่นี่ด้วย เฮ้อ!” “บ่นไปก็ไม่ช่วยอะไร เรามาคิดหาทางให้ตัวละครแม่เตรียมพร้อมที่จะหย่าดีกว่า อืม ๆ ถ้าจำไม่ผิดเนื้อหาบรรยายไว้ว่ายุคสมัยนี้การค้าขายไม่ได้รับความนิยมเพราะเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ แต่เศรษฐกิจกลับอู้ฟู่ คนมีเงินไม่ได้อดอยากมีกำลังซื้อ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี คู่แข่งน้อย แต่จะขายอะไรดีล่ะ” “คิดออกแล้ว! ขายน้ำหอมไง ทำไม่ยาก ขึ้นชื่อว่าความสวยความงาม ยังไงก็ทำเงินคิก ๆ” พอคิดลู่ทางออก เด็กหญิงจึงสบายใจล้มตัวลงนอนด้วยรอยยิ้มก่อนจะเคลิ้มหลับ ทั้งยังมีเสียงกรนเบา ๆ ออกมาให้ได้ยิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม