อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว มณีตัดสินใจโทรศัพท์หาคนรักอีกครั้ง วานก่อนหล่อนเพียรโทร.หาเขาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมรับสาย หงุดหงิดจนเกือบจะไปหาที่บ้านแต่กลับต้องหยุดความคิดเมื่อคมน์โทร.หาเสียก่อน แค่คิดเนื้อตัวก็ร้อนผ่าววูบวาบ เมื่อคืนคมน์กับหล่อนแทบไม่ได้หลับได้นอน
เขาชวนหล่อนเล่นรักหักโหมมากในระยะหลัง ปฏิเสธไปแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม ตัดพ้อว่าหล่อนจะแต่งงานแล้วเขาคงไม่ได้ทำเช่นนี้กับหล่อนอีก ด้วยความเห็นใจและความตื่นเต้นในบทรักเร่าร้อนที่อีกฝ่ายปรนเปรอทำให้ต้องยอมตามใจ แต่เช้านี้ก็ไม่มีทีท่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างไร ออกกระปรี้กระเปร่าเสียด้วยซ้ำ คิดถึงบทรักของคมน์ก็อดที่จะเปรียบเทียบกับอัคคีเสียไม่ได้…
อัคคีรูปร่างดีกว่าคมน์ ใบหน้าก็หล่อเหล่ากว่า เขาดูแข็งแกร่งเป็นชายชาตรีไปทุกกระเบียดนิ้ว รสจูบของเขาเร่าร้อนจนแผดเผาหล่อนในบางครั้ง อ่อนระทวยในอ้อมแขนของเขาไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาทำให้หล่อนอารมณ์ค้างก็หลายหน และเดือดร้อนให้คมน์ช่วยปลดปล่อยเสียก็หลายคราว อยากเร่งเร้าให้เขาครอบครองแต่ก็เกรงว่าจะดูไม่ดีในสายตาของชายคนรัก หล่อนรู้ว่าเขาหัวโบราณในเรื่องนี้ อยากเก็บหล่อนไว้ให้ถึงวันแต่งงาน แต่หล่อนสิ อยากกรีดร้องเสียตั้งหลายหนว่าหล่อนไม่อยากอยู่จนถึงวันแต่งงานสักนิด หล่อนอยากเป็นต้องเขาเดี๋ยวนั้น อยากถูกเขาครอบครองอย่างเร่าร้อน หลายครั้งที่ร่วมรักกับคมน์หล่อนก็จินตนาการเสียเกือบทุกครั้งว่ากำลังถูกอัคคีควบขี่อย่างรุนแรง มันทำให้หล่อนเกิดความต้องการขึ้นเป็นทวีคูณ และมีความสุขจนแทบหัวใจวายตาย…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชายหนุ่มจึงเอื้อมมือออกไปรับ แต่นิ้วเรียวยาวอย่างคนสุขภาพดีต้องชะงักเมื่อพบว่าใครโทร.มา ใบหน้าที่เรียบสนิทขรึมขึ้นอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจกดรับในที่สุด
“สวัสดีครับ…” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานของอัคคีไม่ทำให้มณีแปลกใจแต่อย่างใด
“มณีเองค่ะที่รัก เที่ยงนี้ไปทานข้าวกันนะคะ มณีจองโต๊ะเอาไว้แล้ว อีกอย่าง ไม่เจอหน้าคุณคิดถึงอยากเจอมากๆ” ออดอ้อนเสียงหวานมาตามสาย แต่คนฟังแสยะปากยิ้มเยือกเย็น
“วันนี้คุณว่างหรือ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่แสดงว่าดีใจสักนิดว่ามณีโทร.มาทำให้อีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้ว
“ทำไมทำเสียงแบบนั้น หรือว่าคุณโกรธมณีเรื่องเมื่อวาน…” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางหมุนเก้าอี้ออกไปยังด้านหลังซึ่งเป็นกระจกกรุตลอดตั้งแต่เพดานจดพื้นแล้วพุ่งสายตาออกไปด้านนอกด้วยความว่างเปล่า
“เปล่า ผมจะโกรธคุณทำไมกัน?”
“นั่นสิคะ เอางี้ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะ มณีจะไปหาคุณเอง” บอกเสียงหวาน คนฟังบดกรามแน่นเมื่อคิดถึงภาพและเสียงของการร่วมรักระหว่างมณีและชายอื่น
“ได้สิ! ผมจะรอคุณอยู่ที่ห้องทำงาน มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณเหมือนกัน…” คนต้นสายยิ้มหวานทันที
“เอ… ชักอยากรู้ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วเจอกันค่ะที่รัก” เสียงสัญญาณถูกตัดลงด้วยมือของมณี ดวงตาคมกริบจึงวาววับขึ้น…
ด้านมธุรสมีอาการซึมเศร้ามาครึ่งวันทำงานแล้ว เพื่อนๆต่างสอบถามด้วยความเป็นห่วง แต่หญิงสาวก็ยังพยายามปฏิเสธทุกครั้ง ทำให้เมษซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่หมายตามธุรสมานานถึงกับเอ่ยปาก
“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะไม่เป็นอะไรน่ะ มีอะไรก็ปรึกษาผมได้นะ ผมยินดีรับฟังทุกเรื่อง” มธุรสเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนหน้าโต๊ะทำงานของหล่อนด้วยแววตาขอบคุณ
“ขอบคุณคุณเมษมากนะคะที่เป็นห่วง แต่หวานไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ” ปฏิเสธไปแล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกฝ่าย
“งั้นวันนี้ไปทานข้าวกับผมนะ ผมเลี้ยงเอง…” ชายหนุ่มร่างสูงและมีเสน่ห์ต่อสาวน้อยสาวใหญ่ขยิบตาให้หล่อนยิ้มๆ มธุรสที่กำลังเซ็งสุดขีดและเศร้าสุดหัวใจก็ถึงกับต้องถอนหายใจให้กับความช่างตื๊อก่อนฝืนยิ้มให้ในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ…” ตกปากรับคำง่ายเสียจนฝ่ายนั้นยังแปลกใจ เพราะทุกครั้งทุกคราวหากไม่ปฏิเสธทันทีก็อิดออดเอื้อนเอ่ยเป็นนาน แต่คราวนี้กลับรับปากง่ายดายจนต้องฉุกคิด ทว่าก็เป็นผลดีที่จะทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขามีใจให้กับหล่อนแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเลยนะ เหลืออีกสองนาทีเที่ยง…” เขาก้มลงจับตาดูนาฬิกาแล้วบอก หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับคนตรงหน้า
“งั้นขออีกสองนาทีเก็บโต๊ะนิดหนึ่งนะคะ” เมื่อคนตัวบางต่อรองไว้สองนาทีอีกฝ่ายจึงได้แต่หัวเราะ
“ตามสบายเลยครับ…”
มองร่างระหงจัดของเข้าที่ด้วยสายตาเปี่ยมสุข วันนี้เขาจะทำคะแนนนำผู้ชายทุกคนที่พยายามหว่านเสน่ห์ใส่หล่อน เขาจะเป็นผู้ชายที่ชนะใจหล่อนให้ได้ เมษหมายมั่นปั้นมือในใจ ก่อนจะผายมือเชิญหญิงสาวให้เดินนำหน้าตามวิสัยสุภาพบุรุษทั่วไปพึงมี…
ร้านอาหารชายน้ำถูกตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ แต่ทว่าดูเรียบหรูมีระดับ มองแวบเดียวก็รู้ว่าต้องคนมีเงินเท่านั้นจึงเข้ามานั่งที่นี่ได้ บรรยากาศดีเยี่ยมจนขึ้นชื่อลือชา ใครที่คิดจะมารับประทานอาหารร้านนี้เป็นต้องจองที่นั่งเอาไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสามชั่วโมง ทว่ายกเว้นเมษเพราะรู้จักกับเจ้าของร้านเป็นพิเศษ…
“เชิญด้านในค่ะคุณเมษ” พนักงานอัธยาศัยดีเชื้อเชิญลูกค้าประจำที่รู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดีกับเจ้าของร้านยังโต๊ะที่เตรียมไว้ ทั้งสองได้โต๊ะที่ติดกับริมน้ำ มีลมโชยมาอ่อนๆ ตลอดเวลา ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดจากการงานและเรื่องส่วนตัวได้ดี เมษเฝ้าสังเกตหญิงสาวแล้วก็พอใจ เมื่ออีกฝ่ายมีทีท่าจะชอบร้านอาหารร้านนี้เป็นพิเศษ
“ร้านนี้เปิดมาห้าปีนี้แล้วละครับ ผมมาใช้บริการประจำ อาหารของเขาก็อร่อย บรรยากาศก็ดีเยี่ยม…” มธุรสหันมามองคนที่บรรยายตรงหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ
“หวานเคยผ่านมาแต่ไม่เคยมาทานเลยสักครั้ง ยังเคยคิดเลยนะคะว่าจะหาวันว่างๆ มานั่งบ้าง เพราะเห็นหลายคนเคยบอกว่าที่นี่ถ้าจะมาต้องจองโต๊ะล่วงหน้า หวานเลยไม่ได้มาสักที” หญิงสาวเอ่ย
“ครับต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยสามชั่วโมง” หญิงสาวเอียงคอมองเขาแล้วยิ้มมุมปาก
“ท่าทางคุณเมษมาบ่อยนะคะนี่ ถึงรู้ละเอียดขนาดนี้” มธุรสตั้งข้อสังเกต ผู้ถูกสังเกตฉายรอยยิ้มอย่างผู้รู้ดี
“ครับ มาบ่อยทีเดียว พอดีผมรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะครับ” หญิงสาวทำตาโต
“อ้อ… แหมมีเส้นสายก็ไม่บอก แบบนี้ถ้าหวานจะมาอีกคราวหน้า จะรบกวนให้คุณเมษช่วยจองโต๊ะจะได้หรือเปล่าคะ” อีกฝ่ายยิ้มกว้างเต็มใจอย่างยิ่งหากหญิงสาวจะไหว้วาน
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ สำหรับคุณหวานผมเต็มใจอย่างยิ่งครับ” เขาตอบพลางจ้องตาหญิงสาวนิ่ง ใบหน้าคมยิ้มให้ราวกับจะบอกความนัยบางอย่าง ทำให้มธุรสต้องเสมองทางอื่นลดความอึดอัดลงด้วยตนเอง แต่กระนั้นก็เหมือนกับฟ้ากลั่นแกล้ง เพราะเมื่อหญิงสาวกวาดตามองไปยังหน้าร้าน สายตาเจ้ากรรมก็ไปปะทะเข้ากับร่างสูงของอัคคีโดยบังเอิญ หญิงสาวเม้มปากด้วยความไม่ชอบใจเมื่อพบว่าข้างกายของเขาคือมณี ฝ่ายนั้นกอดแขนเขาแน่นและดูท่าจะภูมิใจนักหนาเมื่อตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นที่มองตามด้วยความชื่นชมปนอิจฉา ก่อนจะเดินตามพนักงานเข้าไปยังด้านในซึ่งอยู่แถวเดียวกับหล่อนและเมษ หญิงสาวหันหน้ากลับมาที่เดิม เมษย่นคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด มองหญิงสาวสลับไปกับคนคู่นั้นที่นั่งถัดไปยังโต๊ะด้านหลังของมธุรส…
ขณะเดียวกันระหว่างผู้มาใหม่ อัคคีมีท่าทีเฉยเมยจนมณีใจแป้ว ไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธจึงได้มึนตึงกับหล่อน
“เพลิงคะ เป็นอะไรไป ทำไมวันนี้ไม่ค่อยพูดเลย…” เอื้อมมือไปจับมือหนาที่วางบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม แต่อีกฝ่ายกลับดึงออกแล้วมองไปรอบๆ ราวกับไม่สนใจ “เพลิง…”
“คุณสั่งอาหารหรือยัง?” เอ่ยถามเสียงขรึม ทำให้คิ้วเรียวของมณีขมวดพันกัน เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดตรงหน้า
“สั่งแล้วค่ะ อีกประเดี๋ยวคงมา ว่าแต่คุณเถอะเป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าบึ้ง โกรธมณีหรือเปล่าคะ” พยายามงอนง้อเต็มที่แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มแค่มุมปาก
“ไว้ทานข้าวเสร็จเราค่อยพูดกัน” กล่าวแค่นั้นก็เมินหน้าออกไปยังแม่น้ำด้านข้าง ลมที่พัดมาปะทะเป็นระยะพาให้รู้สึกเย็นและเขาเองก็พยายามทำจิตใจให้เย็นลงเช่นกับสายน้ำแห่งนี้ กระทั่งพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟชายหนุ่มจึงหันกลับมา แต่แล้วสายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่ร่างบอบบางของมธุรสซึ่งลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของหล่อน โชว์สัดส่วนงดงามในเดรสสีสวย ก่อนจะหลบเลี่ยงผู้คนเดินเข้าไปยังด้านในที่บ่งชี้ทางไปห้องน้ำ และหายลับเข้าไปภายในนั้น
การมองอย่างเอาจริงเอาจังของเขาทำให้มณีที่กำลังเลื่อนจานอาหารและเงยหน้าเอ่ยชวนต้องมองตามแล้วขมวดคิ้วมุ่น…
“เพลิงคะ มองอะไรอยู่ ทานอาหารเถอะค่ะ” เสียงหวานๆ ของมณียามนี้ช่างน่ารำคาญนักในความรู้สึกของเขา และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหันกลับมามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจในตัวเอง เมื่อก่อนเขาออกจะหลงหล่อนพอควร แต่ทำไมเวลานี้กลับไม่คิดเช่นนั้น
เป็นเพราะเรื่องการนอกใจใช่หรือไม่? คำตอบคือ ก็อาจจะใช่… แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
แล้วที่เหลือเล่าคืออะไร? เพราะคนที่หายลับเข้าไปในห้องน้ำอย่างนั้นหรือ?
กรามแข็งแรงบดกันอีกครั้ง จะใช่ได้อย่างไร หล่อนคือตัววุ่นวายสำหรับเขา ไม่มีสักครั้งที่เขาอยากจะคิดถึงหล่อน แต่ทว่าความเป็นจริงก็คือ บางสิ่งที่ติดค้าง ทำให้เขาพะว้าพะวงอยู่กับมธุรสและมันทำให้เขาคิดถึงหล่อนอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก!
“อุ๊ย! จะไปไหนคะ?” เอ่ยถามด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืน
“ผมจะไปห้องน้ำสักครู่นะ คุณทานไปก่อน” ว่าแล้วก็ตรงไปยังห้องน้ำด้วยความเร็ว ทิ้งให้มณีมองตามด้วยอาการประหลาดใจอย่างที่สุดกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย
“เป็นอะไรของเขานะ?”