2

1296 คำ
    พอถึงยามอู่ร่างเล็กๆ ของเด็กชายผู้สวมเสื้อผ้าขาดๆ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ปรากฏขึ้นที่ราวป่า หมิงชูเร่งสับเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กวิ่งตัดผ่านทุ่งนาและสวนผักเขียวขจีจนมาถึงบ้านดินหลังน้อยอันคุ้นตา     “ท่านพ่อ ท่านแม่ ฮวาเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”     เด็กชายส่งเสียงตะโกนไปก่อนตัว ใบหน้าน้อยๆ ประดับไว้ด้วยคราบเขม่าดินและรอยยิ้มกว้าง     ฝ่ายสองสามีภรรยาสกุลเทียนพอได้ยินเสียงของบุตรชายต่างก็สะดุ้งไปตามๆ กัน ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทันตั้งตัว ร่างของบุตรชายก็โผเข้ากอดคนทั้งคู่ด้วยความคิดถึง หมิงชูจากบ้านไปตั้งหลายวัน แถมยังต้องรับมือกับตาเฒ่าอารมณ์ร้ายอีก ตอนนี้เด็กชายอยากร้องไห้จะแย่อยู่แล้ว     “ชูเอ๋อร์!”     มารดาของเขาร่ำไห้พลางดึงลูกน้อยเข้ามากอดไว้แนบอก ลูกน้อยของนางหายไปสองวันสองคืน นางคิดว่าเขาคงจะถูกสัตว์ร้ายกินไปเสียแล้ว นางดีใจยิ่งนักที่เห็นบุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัย     “ชูเอ๋อร์ เจ้าไปเถลไถลที่ไหนมาจึงกลับบ้านเอาป่านนี้?”     เทียนซานถามพลางลูบศีรษะของบุตรชายอย่างเอ็นดู สารรูปของบุตรชายดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมม เสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยรอยฉีกขาด เขาเห็นรอยแผลเล็กๆ ปะปนอยู่กับรอยเปื้อนบนเนื้อตัวของบุตรชายด้วย     “ลูกไปพบกับจอมยุทธ์ผู้หนึ่งโดยบังเอิญขอรับท่านพ่อ ท่านจอมยุทธ์บอกให้ลูกอยู่รับใช้ ลูกไม่กล้าขัดจึงไม่ได้กลับบ้าน ต้องขออภัยท่านพ่อท่านแม่แล้ว”     หมิงชูตอบผู้เป็นบิดา แต่สายตากลับมองไปทางอื่น ครั้นเมื่อเห็นน้องน้อยของตนนอนหลับอย่างสบายอยู่ในตะกร้าก็เบาใจ ตลอดสองวันสองคืนมานี้ เด็กชายเป็นห่วงน้องสาวเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าทารกน้อยจะเป็นอะไรไปในระหว่างที่ตนไม่อยู่     “เอาเถิด...เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยพ่อกับแม่ก็ดีใจแล้ว”     เทียนซานผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก เขามองภาพที่น่าเอ็นดูของสองพี่น้องแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนจะชวนบุตรชายทานข้าวกลางวันด้วยกัน     “มาๆ นั่งลงเร็วเข้า เดินทางมาเหนื่อยๆ เจ้าคงหิวแล้วสิ”     “ขอรับ”     หมิงชูยิ้มร่ารับคำ เขารีบวางตะกร้าลงกับพื้นแล้วเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับบิดามารดาทันที เด็กชายจัดแจงตักข้าวให้ตัวเองแล้วรีบคีบกับเข้าปาก ทำหน้าตาเคลิบเคลิ้มแล้วก็พุ้ยข้าวเข้าปากอีกคำโต     “ค่อยๆ กินสิชูเอ๋อร์ ประเดี๋ยวก็ติดคอหรอก”     ผู้เป็นแม่เอ่ยปรามเมื่อเห็นบุตรชายกินอย่างมูมมาม กระนั้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนางก็ยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม     “ไม่ได้หรอกขอรับ ท่านจอมยุทธ์สั่งให้ข้ารีบกลับขึ้นไปอีก”     เด็กน้อยตอบเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ หมิงชูรีบเคี้ยวกลืนอาหารในปากแล้วเร่งอธิบายต่อ     “ที่ข้าลงเขามาได้ เพราะท่านจอมยุทธ์เกรงว่าท่านพ่อท่านแม่จะเป็นห่วง จึงให้ข้าลงมาบอกข่าว”     กล่าวแล้วเขาก็คีบกับข้าวเข้าปากอีกคำเพื่อไม่ให้เสียเวลา ก่อนที่จะนึกได้ว่าตนยังต้องหากำไรจากตาเฒ่าอารมณ์ร้ายอยู่     “จริงสิท่านแม่เดี๋ยวข้าจะเอาของเข้าไปขายในเมือง ท่านช่วยทำกับข้าวสักอย่างสองอย่างให้ท่านจอมยุทธ์ได้หรือไม่ขอรับ?”     ในเมื่อมารดาเคยเป็นแม่ครัวของโรงเตี๊ยมไผ่เขียวเช่นนี้แล้ว หมิงชูจะยอมควักเงินซื้ออาหารราคาแพงจากโรงเตี๊ยมไปทำไม เขาไม่มีทางยอมทำเรื่องขาดทุนอย่างนั้นแน่นอน     “ได้สิ ท่านจอมยุทธ์อยากทานอะไรเล่า?”     เมื่อทราบว่าจอมยุทธ์ต้องการทานอาหารฝีมือนาง ฮูหยินแห่งสกุลเทียนก็มิกล้าขัด ด้วยความที่นางและครอบครัวเป็นคนธรรมดา การไม่มีเรื่องกับจอมยุทธ์ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากเสบียงอาหารที่มีสามารถแลกกับความปลอดภัยของครอบครัวได้ นางก็ไม่คิดเสียดาย และแน่นอนว่าเทียนซานสามีของนางย่อมคิดเห็นอย่างเดียวกัน     เมื่อมารดารับปากจะจัดการเรื่องอาหารให้แล้ว เด็กน้อยก็รีบไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้าง หลังจากสางผมและเกล้ามวยใหม่ให้เรียบร้อยแล้วเขาก็รีบหอบหิ้วตะกร้าใบโตเข้าไปในเมือง     จุดหมายแรกของเทียนหมิงชูก็คือโรงเตี๊ยมไผ่เขียวที่ทำงานเก่าของมารดา โรงเตี๊ยมแห่งนี้รับซื้อของป่าจากชาวบ้านทุกวัน โดยราคารับซื้อจะต่ำกว่าราคาที่ชาวบ้านขายกันเองในตลาดอยู่บ้าง แต่เพราะได้เงินเร็ว ไม่ต้องเสียเวลานั่งขายของ ไม่ต้องกลัวว่าจะขายของไม่หมด หลายบ้านจึงเต็มใจทำการค้ากับโรงเตี๊ยมแห่งนี้โดยไม่ปริปากบ่น     “นี่เงิน ๒๐๐ อีแปะ นับให้ดีล่ะ”     ลุงหวงผู้ดูแลเรื่องการซื้อขายวัตถุดิบจากชาวบ้านส่งเงินที่ร้อยเป็นพวงให้หมิงชูสองพวง เด็กน้อยค้อมศีรษะของคุณและรับเงินทั้งสองพวงมาตรวจนับอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นว่าจำนวนเงินครบดีแล้วเขาก็จากโรงเตี๊ยมไผ่เขียวมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม     ของป่าที่ขายได้สองร้อยอีแปะนั้นนับว่าเป็นไปตามคาด แต่ที่เด็กน้อยตั้งตารอคอยก็คือรายได้จากการขายสมุนไพรต่างหาก สมุนไพรทั่วไปชั่งหนึ่งก็ขายได้กว่าร้อยอีแปะแล้ว แต่ในตะกร้าใบใหญ่ของเขามีสมุนไพรหายากอยู่ด้วย ราคาอย่างน้อยๆ ก็ชั่งละสิบเหรียญทองแดง สมุนไพรในตะกร้าของเขามีราวๆ สิบชั่ง รายได้คราวนี้น่าจะไม่น้อยเลยทีเดียว     หมิงชูมุ่งหน้ามายังร้านขายโอสถประจำเมือง มันเป็นร้านขายโอสถร้านเดียวในเมืองหลงซาน เล่าลือกันว่าเถ้าแก่ร้านนี้ใจแคบไม่เบา แต่ที่โรงหมอก็วุ่นวายเกินไป หากนำสมุนไพรไปขายที่นั่นกว่าจะเสร็จสิ้นตะวันก็คงจะลับฟ้าไปแล้วเป็นแน่     “เถ้าแก่ข้ามาขายสมุนไพรขอรับ”     เด็กน้อยบอกจุดประสงค์ของตนทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ภายในร้านขายโอสถนั้นทั้งมืดและอับ กลิ่นสมุนไพรอบอวลอยู่ในอากาศ คิ้วเล็กๆ ของหมิงชูขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาเข้าใจว่าร้านสมุนไพรจะต้องแห้งไม่อับชื้นเพื่อรักษาคุณภาพของสมุนไพรเอาไว้เสียอีก แต่เหตุใดร้านสมุนไพรร้านนี้จึงมีบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้     แรกทีเดียวชายชราร่างท้วมเจ้าของร้านขายโอสถนั้นตั้งใจจะไล่เด็กชายออกไป แต่พอหมิงชูหยิบสมุนไพรหายากต้นหนึ่งขึ้นมาชูให้เห็น เขาก็รีบเปลี่ยนความคิดแทบไม่ทัน     “สมุนไพรหายากพวกนี้ข้าคิดว่าเถ้าแก่คงไม่กล้าปฏิเสธ”     เด็กน้อยเริ่มเจรจาค้าขายทันทีอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา เขาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางใกล้โต๊ะยาวของเถ้าแก่ ก่อนจะปีนขึ้นไปยืนบนนั้นเพื่อให้ศีรษะของตนโผล่พ้นโต๊ะสูงขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้สามารถเจรจาได้ถนัดขึ้น     เมื่อได้เห็นสมุนไพรทั้งหมดที่เด็กน้อยนำมา ชายชราก็เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกจากเบ้า ในกองสมุนไพรเหล่านั้น ที่ธรรมดาก็มีมาก แต่ที่หายากและล้ำค่ากลับมีมากยิ่งกว่า 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม