ตอนที่ 3
ฉันเผลอขยับตัวไปตามแรงดึงของเขา มือใหญ่สัมผัสแก้มฉันเบา ๆ ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะปัดมือใหญ่ออกเบาๆ เพราะเพื่อนๆ ที่เหลือมองหน้ากันเหลอหลาหาคำตอบ และเหมือนกันกั้นหายใจรอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“เจ็บไหม?” เขาถามสั้น ๆ
“นิดหน่อย…” ฉันตอบเสียงเบา หัวใจกลับเต้นแรงกว่าตอนถูกตบเสียอีก
ไคไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่หยิบถุงขนมออกมา “นี่ ของฝากพวกเธอ” เขาหันไปบอก
คิอาร่ากับแอลมองหน้ากัน ก่อนจะเอื้อมไปรับถุงขนมด้วยความเกรงใจ มิ้นเองก็หลุดยิ้มออกมา “ขอบใจนะไค”
“กินกันเถอะ เดี๋ยวน้ำตาลจะตกเอา”
ว่าแล้วมือหนาหยิบถุงยาออกมา มิ้นที่นั่งขนาบฉันด้านซ้ายเขยิบไปนั่งข้างๆ คิอาร่าอย่างรู้งาน
ฉันก้มหน้ามองตามถุงยาของไคอยู่เลยไม่เห็นว่าเพื่อนทำหน้าทำตาล้อเลียนตัวเองอย่างไร
ก๊อบแกร๊บบบ
ฉันมองตามเสียงเห็นเพื่อนจับกลุ่มกินขนมที่ไคซื้อมาให้ ร่างสูงเดินหายเข้าไปในห้องนอนอย่างคุ้ยเคยหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่ฉันเอาไว้เช็ดหน้าติดกลับออกมา ฉันเพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าที่มือของตัวเองมีแผลด้วย น่าจะเป็นตอนที่โดนผลักล้มแน่ๆ เลย
“เอามือมาสิ” มือใหญ่จับมือฉันเบาๆ แล้วดึงเข้าหาตัวเพื่อให้ทำแผลได้ถนัดๆ
อุ่นจัง
ความอุ่นจากมือไคแผ่ออกมาที่มือของฉันจนหน้าเห่อร้อน
จากนั้นกดสำลีชุบน้ำยาล้างแผลบนฝ่ามือฉันเบาๆ ฝ่ามืออีกข้างประคองมือน้อยไว้แล้วค่อยๆ ทำแผลฉันกระตุกมือเข้าหาตัวเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้
“เดี๋ยวก็เจ็บกว่าเดิม” สายตาคมกริบมองมาเปรยๆ หลังจากใส่ยาให้จนเสร็จ แล้วก็เก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ถุงไว้เหมือนเดิม แล้วหยิบกุญแจที่โต๊ะขึ้นมา “กลับล่ะ อยู่กับเพื่อนต่อเถอะ”
เขาก้าวออกจากห้องไปโดยไม่รอคำตอบ ประตูปิดลงพร้อมกับความเงียบที่ตามมา
ทันทีที่เสียงประตูคอนโดฉันปิดสนิท และร่างสูงเดินลับหายไป มิ้นก็เป็นคนแรกที่หันมาหาฉัน
“โมอา...ตกลงนะ มึงจะบอกกูได้หรือยัง ว่ามึงกับไคนี่มันยังไงกันแน่?”
“นั่นดิ” แอลร่าเสริมทันควัน
“เขาซื้อยามาทำแผลให้มึงเองนะเว้ย แถมยังซื้อขนมมาฝากพวกกูอีก แบบนี้มันเกินเพื่อนไปหน่อยไหมม ห่วงกันอะไรขนาดน้านนนนนนนนน?”
คิอาร่ากอดอก มองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
ฉันได้แต่นั่งอึกอัก ใบหน้าแดงระเรื่อ ทำให้ใบหน้าหวานที่แดงจากรอยตบก่อนหน้า แดงมากขึ้นไปอีก ฉันหน่ะรู้ใจตัวเอง และก็รู้ด้วยว่าไทไม่ได้คิดอะไรไปไกลอย่างฉัน
“ก็...ก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มอต้นแล้วนะ ไม่มีอะไรหรอกหน่า ถ้ามีก็มีไปนานแล้วเปล่า ไม่ปล่อยให้พวกแกมาจี้ถามแบบนี้หรอก 5555”
“หล่อน…. มีพิรุธนะ!!” แอลยื่นหน้ามาใกล้ พยายามค้นหาคำตอบที่ตัวเองต้องการ
“บะ…บ้าาา ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกหน่า”
“หรอ...” คิอาร่าหรี่ตาเหมือนไม่เชื่อ “แล้วน้องผู้หญิงก่อนหน้านี้อ่ะ?”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย มองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ “น้องผู้หญิงก่อนหน้านี้?”
มิ้นพยักหน้า “เออ นั่นแหละ เมื่อปีก่อนยังเห็นไปไหนมาไหนกะไคอยู่เลย จำไม่ได้อ่อ? สาวคณะนิเทศ ที่สวยๆ อ่ะ คนในคณะพูดกันให้แซ่ด”
แอลถอนหายใจเบา ๆ “ใช่ ๆ ตอนนั้นกูยังคิดเลยว่า...มึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ?”
ฉันเงียบไปทันที ภาพความทรงจำผุดขึ้นมาในหัว — ตอนที่ฉันเห็นไคเดินอยู่กับน้องผู้หญิงคนนั้น กระหนุงหระหนิงกันแบบคนรู้ใจ ส่วนฉันได้แต่เฝ้ามองแล้วต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร...
แต่ฉันก็ไม่เคยถาม ไม่เคยเอ่ยปากสักคำ ได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรให้ได้มากที่สุด ทั้งที่ในใจมันเจ็บหนึบไปหมด ความเป็นเพื่อนของเรามันค้ำคอ ฉันไม่กล้ามิตรภาพที่มีมานานไปแลกกับความสัมพันธ์ที่อาจจะจบลงง่ายดายและทำให้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน
“โมอา...” เสียงเพื่อนเรียกดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบัน
ฉันยิ้มฝืน ทั้งที่ในอกเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่เคยกล้าหาคำตอบ
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ เราเป็นเพื่อนกัน...แค่เพื่อนจริง ๆ”
มิ้นจ้องหน้าฉันเหมือนอยากแหวกเข้าไปดูในใจ คิอาร่าทำสีหน้าไม่เชื่อเหมือนคำพูดฉันไม่มีน้ำหนัก แอลก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้ามึงว่างั้น...แต่กูว่ามันไม่ใช่วะ” คิอาร่าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมไปเปิดถุงขนมที่ไคซื้อมา “คนเป็นเพื่อนกันธรรมดา เขาไม่ดูแลกันขนาดนี้หรอก”
“แล้วรู้จักกันได้ไงอ่ะ สนิทกันตั้งแต่ตอนไหน”
“ตั้งแต่มอต้นแล้วอ่ะ คือตอนนั้น...”
ฉันยังจำได้ดี...วันที่ทุกอย่างมืดมน โลกทั้งโลกของฉันทล่มทลายลงมา แม่ผู้เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของฉันจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์ของแม่เสียหลักพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าในคืนที่ฝนกระหน่ำระหว่างทางขับรถจากที่ทำงานกลับบ้าน ตอนนั้นฉันเพิ่งอยู่ ม.4 ยังเป็นเด็กน้อย และเด็กเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ได้
กลิ่นยาฆ่าเชื้ออลอวลไปทั่วโถงรอของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ฉันนั่งโน้มตัวเข้าหาเตียงของแม่ ที่บัดนี้มีสายระโยงระยาง และเครื่องทางการแพทย์ที่ฉันไม่รู้จักชื่อเต็มข้างเตียงแม่ไปหมด
เนื้อตัวของแม่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ทั้งขอและแขนของแม่หัก ทั้งรอยฟอกช้ำระบายเต็มผิวขาวซีด หนักที่สุดน่าจะเป็นส่วนหัวที่ได้รับการผ่าตัดแบบเร่งไปแล้วหลายครั้งในไม่กี่วันที่ผ่านมา มือของฉันจับมือแม่แผ่วเบา น้ำตามากมายไหลออกจากไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ในใจภาวนาเป็นร้อยๆ ครั้งว่าเราสองคนแม่ลูกจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน
แม่ต้องเข้มแข็งนะ หนูก็กำลังเข้มแข็งอยู่เหมือนกัน
เสียงฝีเท้าอาจารย์หมอดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงปิดประตูของห้อง ICU ก่อนที่เขาจะหยุดยืนตรงหน้าเรา ใบหน้าใต้แว่นทรงกลมเต็มไปด้วยความเศร้า สายตาอ่อนแสงมองตัวเลขของเครื่องต่างๆ พร้อมทั้งปิดและถอดปลั๊กเครื่องต่างๆ และหยิบแผ่นชาร์จข้างเตียงคนไข้ออกมา
ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่นแต่ชัดเจน
“เสียใจด้วยนะครับ… คนไข้จากไปแล้ว เมื่อเวลา 21.47 น.”
หัวใจฉันหล่นวูบลงไปกองกับพื้น โลกหมุนคว้าง
ไม่จริง
“แม่ เมื่อกี้หนูยังเห็นแม่หายใจอยู่เลย แม่ ตอบหนูหน่อย ฮึ่ก”
“แม่ ฮือออออ แม่อย่าเพิ่งไปเลยนะ ฮือออออ”
“ฮึ่ก ฮืออออ ไหนแม่บอกจะพาหนูไปดิสนีย์แลนด์ที่ ฮือออออ ฮ่องกง”
“คุณหมอ ฮือออออ ดูใหม่ได้ไหม ฮือออออ ตรวจใหม่อีกรอบได้ไหม” ฉันผลักมือจากแม่ จับแขนเสื้ออาจารย์หมอเขย่า อ้อนวอนให้ตรวจแม่ซ้ำอีกครั้ง หลังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่ความผิดพลาด
“ผมเสียใจด้วยครับ” อาจารย์หมอจับมือฉันออก ก้มหัวให้ด้วยความเคารพ และเดินออกไปจากห้อง
ก่อนที่ร่างทั้งร่างของฉันจะทรุดฮวบลงกับพื้น น้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด
“ม่ายยยจริงง...ฮืออออออ แม่ไม่มีทางทิ้งหนูไป” เสียงสะอื้นหลุดออกมาอย่างไม่อายใคร ฉันโอบกอดตัวเองแน่นจนเจ็บ แต่ก็ยังไม่อาจกลบความว่างเปล่าที่ทะลักเข้ามาในอกได้
ป้ารินดาย่อตัวลงมาโอบกอดฉันด้วยความสงสารจับใจ อ้อมกอดที่อบอุ่นกว่าทุกสิ่งโอบกระชับร่างฉันเอาไว้ ป้ารรินดากอดฉันแน่น ลูบผมเบา ๆ เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้
“โมอา… โถ่ลูก ป้าอยู่ตรงนี้” เสียงสั่นเครือแต่มั่นคงของเธอ ทำให้น้ำตาของฉันไหลหนักกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เธอก็สูญเสียเพื่อนที่รักที่สุดคนหนึ่งไปเหมือนกัน
“หนู…ไม่มีใครแล้ว ฮึก…แม่ทิ้งหนูไปแล้ว ป้า ทำไมแม่ใจร้ายขนาดนี้ ฮึ่ก ทิ้งหนูได้ยังไง ฮืออออ ทิ้งหนูไปได้ยังไง”
“ไม่จริงลูก” ป้ารินดากระชับกอดแน่นขึ้น “ป้าเห็นหนูมาตั้งแต่ยังตัวเล็ก ๆ หนูคือเหมือนลูกของป้าคนหนึ่ง ต่อไปนี้หนูยังมีป้า
ยังมีครอบครัวเรา ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ” ป้ารินดาพูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กลัวเหลือเกินว่าฉันจะมีความคิดแย่ๆ เข้ามาในหัว
ฉันสะอื้นหนักจนพูดไม่ออก มันมืดมน มันไม่ว่างเปล่า มันเสียใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง และได้แต่ซบหน้าอยู่กับอ้อมกอดนั้น
ข้าง ๆ กัน ไคนั่งเงียบ ๆ ร่างสูงก้มหน้าลง มือใหญ่ลูบหลังฉันช้า ๆ แผ่วเบา ฉันเหลือบเห็นน้ำตาเขาที่เอ่อคลออยู่ตรงหางตา — ไคเองไม่อาจจินตนาการได้ว่าการสูญเสียแม่ไปในวัยเท่านี้เป็นอย่างไร แต่ก็สงสารเพื่อนจับใจ
“ไม่ต้องร้องนะ...” เขาพึมพำเสียงต่ำ แผ่วจนแทบกลืนหายไปกับเสียงสะอื้นของฉัน “ฉันอยู่ตรงนี้”
ไม่ไกลจากตรงนั้น คุณพ่อของไคเป็นคนยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ เขารับเอกสารเซ็นชื่อแทนฉันที่ยังทำอะไรไม่ถูก ดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่ใบมรณบัตรจนถึงการประสานงานจัดการศพ ราวกับฉันคือคนในครอบครัวเขาอีกคน
ฉันมองภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา รู้เพียงอย่างเดียวว่า…ถ้าไม่มีครอบครัวของไคในวันนั้น ฉันคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาเผชิญโลกนี้อีกเลย
บ้านที่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัย ที่โอบอ้อมฉันด้วยความรัก และความอบอุ่นที่แม่มอบให้ กลายเป็นสถานที่ว่างเปล่าไร้ชีวิต
เอกสารสำคัญกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องนั่งเล่นจากที่ฉันพยายามหาเอกสารประกันของแม่อย่างลนลาน ข้างกล่องที่กินไปไม่กี่คำ วางเต็มโต๊ะทานข้าว ตลอดระยะเวลา มีเพียงฉันที่นอนเปื่อยอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
กลิ่นของแม่ยังอวลอยู่ทุกมุมบ้าน แต่ไร้เงาของเจ้าของกลิ่นนั้น ฉันไม่อยากทำอะไร ไม่มีเรี่ยวแรง กินข้าวไม่ได้ ไม่อยากแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเจอความจริง
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออก พร้อมร่างของป้ารินดา—แม่ของไค ก้าวเข้ามา เธอถือกล่องข้าวบรรจุข้าวหลายอย่างในถุงเก็บความร้อน สายตาที่มองมาที่ฉันเต็มไปด้วยความห่วงใย
“โมอา...ลูกจ๋า กินข้าวสักหน่อยนะ ป้าทำแกงจืดกับอาหารเกาหลี แล้วก็พวกเครื่องเคียงที่หนูชอบมาให้ด้วยนะ”
ป้ารินดาเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเครื่องเคียงอาหารเกาหลี และกับข้าวหลายอย่างใส่ในตู้เย็น สายตาอ่อนโยนมองไปรอบๆ บ้านแล้วเริ่มเก็บขยะไปทิ้ง
ฉันสะบัดหน้าเบา ๆ น้ำตาคลอ “ไม่หิวค่ะ...” เสียงแผ่วเหมือนกระซิบ
ป้ารินดาวางถุงอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ยื่นมือมากุมมือฉันเอาไว้แน่น อบอุ่นเหมือนที่แม่เคยทำ “ไม่ต้องเกรงใจป้านะลูก แม่หนูกับป้า...เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แม่หนูฝากฝังหนูไว้กับป้ามาตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันแล้ว”
ฉันกลั้นสะอื้นไม่อยู่ น้ำตาไหลพรากกับคำพูดนั้น
ป้ารินดายกมือขึ้นลูบหัวฉันเบา ๆ “แม่ไปแล้ว แต่หนูยังมีป้า ยังมีครอบครัวเราอยู่ตรงนี้นะลูก”
วันนั้นทั้งวัน ป้ารินดาอยู่กับฉันไม่ยอมกลับ เธอเดินไปเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท แสงแดดที่ฉันไม่ได้เห็นมาสักพักสาดส่องเข้ามาในตัวบ้างเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ลุกไปเก็บกวาดบ้านที่รกเพราะฉันไม่แตะอะไร
ซักผ้าที่กองเต็มตะกร้า แล้วก็เช็ดทำความสะอาดจนบ้านที่เคยอบอวลด้วยกลิ่นเศร้าเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“ลุกมากินข้าวหน่อยนะโมอา...แค่คำเดียวก็ยังดี” ป้ารินดายื่นชามแกงจืดวางตรงหน้าฉันด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉันค่อย ๆ หยิบช้อนขึ้นมา กินเข้าไปทั้งที่รสชาติจืดสนิทเพราะน้ำตาที่ไหลไม่หยุด แต่หัวใจฉันกลับอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย เพราะอย่างน้อย...ฉันก็ยังไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
และนับจากวันนั้น ครอบครัวของไคก็เหมือนเสาหลักที่คอยประคองฉันไว้ทุกครั้ง เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด