“เอ้อ จริงสิตาลืมไป หนูวีวี่ สินะ ฮ่า ฮ่าๆ..” คุณนพดลหัวเราะเสียงดังเพราะวีรเดชหรือ วีวี่ เพื่อนชายหัวใจหญิงของหลานสาวที่ท่านเห็นมาตั้งแต่เด็กเพิ่งจะมาเลือกเพศตัวเองได้ตอนโตและยังเป็นหลานชายของคุณอนลเพื่อนรุ่นพี่ของท่านอีก
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก แล้วไปบอกคุณยายเขาด้วยล่ะเดี๋ยวจะงอนเอาว่าหลานสาวหนีไปเที่ยวไม่บอกน่ะ”
“รับทราบค่ะคุณตา” บุลินกอดคุณตาอย่างรักใคร่ เธอเกิดมาโชคดีที่มีคุณตาคุณยายใจดีและรักเธอไม่นับแม่ที่รักเธอมากถึงแม้ท่านจะแต่งงานใหม่และมีลูกอีกหนึ่งคนท่านก็ยังรักเธอดูแลเธอเหมือนเดิมเพียงแต่ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเพราะท่านอยู่ที่อิตาลีเป็นส่วนใหญ่แต่จะกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทยปีละสามครั้งหรือสี่ครั้งแต่ก็คุยกันทางเฟสไทม์บ่อยๆ
บุลินคุยกับคุณตาเสร็จเธอก็เดินไปที่รั้วบ้านที่มีประตูด้านข้างเปิดทะลุหากันได้ทั้งสองฝั่งไม่มีกลอนประตูซึ่งทั้งสองบ้านสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตาทวดจึงมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
“โฮ่ง โฮ่งๆ”
“คุณดีดี้ จะเห่าทำไมเห็นกันทุกวันยังจำกันไม่ได้อีกเหรอเนี่ย” บุลินพูดกับคุณดีดี้หมาไทยพันทางที่บ้านของเพื่อนเลี้ยงไว้เพราะวีรเดชเห็นหมาน้อยหลงทางมาตัวเดียวจึงสงสารและเก็บมาเลี้ยงจนเป็นคุณดีดี้ลูกคุณวีวี่กินดีอยู่ดีราวกับคุณหนู
“หงิง หงิง” คุณดีดี้มันก็กระดิงหางดุกดิกเดินต้นหน้าต้อนหลังเพื่อนของแม่มันไปจนถึงในบ้าน
“สวัสดีค่ะป้าไอ ป้าตุ่น พี่กลอย พี่แนน” บุลินเดินเข้าไปในห้องรับแขกหรูหรายกมือไหว้แม่ของเพื่อนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องรับแขกกับแม่บ้านและสาวใช้อีกสองคนหญิงสาวจึงไหว้ทุกคนเพราะแก่กว่าเธอ
“สวัสดีลูก มาหาเจ้าเดชล่ะสิ อยู่ในห้องซาวน่าโน่นแน่ะลูก เฮ้อ ป้าอุตส่าห์ดีใจว่ามีลูกชายสืบทอดสกุลแล้วนะแต่ทำไมกลายเป็นลูกสาวไปได้ก็ไม่รู้” คุณไอรา พูดแล้วก็ยิ้มเพราะเธอไม่ได้หัวเก่าถึงขนาดรับไม่ได้ที่ลูกชายกลายเป็นสาวทุกคนในครอบครัวยอมรับวีรเดชได้ที่เป็นแบบนี้ในเมื่อเป็นความสุขของลูกและเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายหรือเป็นคนไม่ดี
“แม่ไม่เบื่อบ้างเหรอค้ะ ถึงแม่จะพูดทุกวันวีวี่ก็เป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ ว่าแต่แกมาทำไมยัยชะนีหนูลิน” วีวี่หรือวีรเดช อมรพิวัช ลูกชายใจสาวของคุณไอราส่วนพ่อของเขาเสียตั้งแต่เด็กจึงอยู่กับแม่และคุณตามาตลอด วีรเดชถือว่าหน้าตาดีหล่อเหมือนอุปป้าหนุ่มเกาหลีแต่คนที่ไม่รู้จักก็จะดูว่าเขาแมนแต่ถ้าได้ยินเขาพูดก็จนรู้ว่าเขาใจหญิงเกินร้อย
“ลินมาถามแกเรื่องไปเที่ยวบ้านยัยนาราน่ะสิจะไปไหม” บุลินถามเพื่อนรักที่เพิ่งกลับมาจากประเทศโมนาโกเพราะวีรเดชไปเที่ยวบ้านของคุณวนิสาน้องสาวของคุณไอราที่แต่งงานกับอภิมหาเศรษฐีชาวโมนาโกที่มีธุรกิจมากมายและใช้ชีวิตอยู่ที่โน่นแต่ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยมากแต่เธอก็ไม่ค่อยได้เจอเพราะไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพนานๆถึงจะเจอท่าน
“ไปสิแกเรื่องเที่ยวของให้บอกวีวี่ถึงไหนถึงกันจ้ะ” วีรเดชนั่งลงข้างแม่
“อะไรกันตาเดชมาถึงบ้านก้นยังไม่ทันหายร้อนจะไปอีกแล้วเหรอ” คุณไอราเงยหน้าขึ้นมาถามลูกชาย เอ้ะ หรือลูกสาวแต่วีรเดชยังมีทุกอย่างครบก็ต้องเป็นลูกชายสิ
“แม่ก็ ตอนนี้วีวี่กำลังว่างงานนะคะ ก็จะเที่ยวให้หนำใจก่อนพอทำงานเมื่อไหร่ก็จะไม่ได้เที่ยวแบบนี้อีกแล้วนะคะ” วีรเดชตอบแม่แต่เขายังไม่บอกว่าพี่ชายลูกคุณน้าวนิสาที่เกิดก่อนถึงหกปีเสนอเป็นนายทุนให้เขาสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองตามที่เขาชอบและจะสนับสนุนน้องชายใจสาวจนประสบความสำเร็จ
“ก็ตามใจแกเถอะ ป้าขอตัวไปทำงานก่อนนะหนูลินเย็นนี้มากินข้าวด้วยกันสิลูก” คุณไอราชวนสาวสวยที่เธอเห็นตั้งแต่เด็กๆวิ่งมุดรั้วเข้าออกไปมาระหว่างสองบ้านมาเล่นกับลูกชายของเธอที่สลับกันไปจนรั้วพังก็เลยต้องเปิดโล่งแล้วเพิ่งมาปิดตอนที่ลูกชายของเธอเอาคุณดีดี้มาเลี้ยงเพราะมันชอบไปนอนเล่นในสวนของคุณอำไพยายของบุลินและขุดคุ้ยดินจนท่านออกปากว่าคุณดีดี้มันน่ารักฟังภาษาคนรู้เรื่องแต่มันซนไปหน่อยท่านขี้เกียจปลูกดอกไม้ถมดินที่มันขุดคุ้ยบ่อยๆจึงบอกให้ช่างมาติดประตูให้เหมือนเดิมซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยและเข้าใจกันดีไม่มีโกรธเคืองอะไร
“ลินต้องขอตัวค่ะป้าไอ ลินจะเข้าเมืองไปทำธุระให้คุณตาคงจะกลับค่ำค่ะ”
“งั้นฉันไปกับแกนะชะนีหนูลินอยู่บ้านเบื่อๆไปเปิดหูเปิดตาดีกว่า”
“นี่ดีนะที่เป็นผู้ชายถ้าเป็นผู้หญิงป้าคงฉีกผ้าอ้อมไม่ทันแน่ๆเลยลูก งั้นก็ไปทำงานที่โรงแรมดีมั้ยล่ะตาเดช”
“ไม่ค่ะแม่” วีระเดชปฏิเสธแม่ทันทีเพราะเขาไม่ชอบงานที่โรงแรมขนาดฝึกงานเขายังแทบไม่รอด
“เฮ้อ เป็นซะอย่างนี้ ป้าไปนะหนูลิน
“ฮ่าๆ / คิกๆ..” สองสาวหัวเราะตามหลังคุณไอราที่ว่าให้ลูกชายของเธออย่างหมั่นไส้
“เออ นี่หนูลินแกว่าถ้าวีวี่จะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองแกว่าดีมั้ย” วีรเดชถามเพื่อนรักเพราะปกติเขาจะเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าให้เพื่อนรักทั้งสามคนซึ่งมันเป็นพรสวรรค์ของเขาแต่หนุ่มสวยยังไม่แน่ใจฝีมือตัวเองและยังไม่รู้จักใครในวงการแฟชั่นจึงถามความเห็นของเพื่อนรัก
“ก็ดีสิแก กระเทยอย่างแกเหมาะมากที่จะทำงานด้านนี้และแกก็มีฝีมือด้านนี้อยู่แล้วนี่รับรองไปโลดเพื่อนสาว” บุลินสนับสนุนเพื่อน
“อี้ ยัยชะนีแกไม่ต้องย้ำก็ได้ยังไงวีวี่ก็เป็นกระเทยไม่เปลี่ยนใจหรอกย่ะ แต่แกว่าดีจริงๆเหรอหนูลิน”
“จริงสิไม่เชื่อแกก็ถามยัยนารากับยัยปีสิรับรองว่าพวกมันต้องพูดเหมือนลินแน่นนอน.”
“ฉันกำลังคิอยู่นะลินตอนแรกกะจะชวนพวกแกหุ้นด้วยกันแต่พี่ชายฉันบอกว่าจะเป็นนายทุนให้ฉันก็เลยจะถามพวกแกดูน่ะ” วีระเดชพูดเป็นงานเป็นการเพราะเขาก็อยากทำงานของตัวเองมากกว่าจะไปเป็นลูกจ้าง
“ลินคงไม่ไหวนะเดช”
“วีวี่ย่ะยัยชะนีหนูลิน.”
“เออๆ วีวี่ ถ้าลินทำงานประจำที่โรงแรมแล้วคงไม่มีเวลาอีกอย่างก็ไม่มีเงินไปลงทุนด้วยลินว่าแกทำเองดีกว่าไหนๆก็มีนายทุนเงินหนาหนุนหลังทั้งคนน่ะ” บุลินบอกเพื่อนก็เธอมีงานประจำทำแล้วก็ไม่มีทุนด้วยเธอไม่อยากขอตาขอแม่แต่เธอรู้ว่าเพื่อนทำได้เพราะมีนายทุนเงินหนาอย่างพี่ชายของเพื่อนแต่ไม่รู้คนไหนเธอก็ไม่อยากละลาบละล้วงเพื่อนนอกจากวีรเดชจะบอกเองเพราะเขามีพี่ชายที่ลูกของน้าสาวสองคน
“เสียดายจัง ไม่เป็นไรฉันอาจจะทำคนเดียวเหมือนที่แกพูดก็ได้เพราะพวกแกไม่ได้ชอบเหมือนฉันนี่นะ”
“ดีแล้ว แกก็ลองคิดวางแผนหาข้อมูลไว้ก่อนว่าจะเริ่มต้นยังไงแล้วค่อยลงมือไม่ต้องกลัวเดี๋ยวลินจะบอกเพื่อนๆรุ่นพี่รุ่นน้องมาอุดหนุนแกเอง” บุลินให้คำปรึกษาเพื่อนที่อยากทำในสิ่งที่เขาชอบเธอแค่ชอบแฟชั่นไม่คิดจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ทุกคนได้ชื่นชมฝีมือวีรเดช
“ขอบใจนะหนูลิน” วีระเดชจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาแฟชั่นดีไซน์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯที่เดียวกับบุลินและเพื่อนแต่คนละคณะ ตอนแรกเขาว่าจะไปทำงานกับรุ่นพี่ดูก่อนเพื่อหาประสบการณ์แต่พี่ชายบอกว่าในเมื่อเราอยากทำงานของเราเองต้องกล้าทำหากมันประสบความสำเร็จก็จะต่อยอดไปได้แต่ถ้าไม่ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อไปจึงเป็นแรงผลักดันให้วีระเดชคิดจะสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมาจริงๆ
“แกเตรียมตัวนะอีกยี่สิบนาทีลินมารับ”
“ครึ่งชั่วโมง” วีรเดชต่อรองเพื่อน
“ไม่ได้ ถ้าลินบีบแตรสามครั้งแกไม่ออกมาลินจะไม่รอ ดูปากนะ ไม่รอ จบนะ” บุลินพูดแล้วเดินออกไปปล่อยให้เพื่อนรักบ่นตามหลัง
“อะไรของแกนะชะนีหนูลิน บ้าไปแล้วแต่งตัวยี่สิบนาทีกระเทยที่ไหนจะไปทันล่ะ” วีรเดชบ่นกระปอดกระแปดตามหลังเพื่อน
“ถ้าแกยังนั่งบ่นอยู่ก็ไม่ทันหรอนะวีวี่” บุลินชะโงกหน้าเข้ามาบอกเพื่อนอย่างขำๆแล้วเดินกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำธุระให้คุณตา
“ยายจ๋าทำอะไรอยู่คะ” บุลินเดินไปหายายในครัวท่านกำลังทำขนมสาคูไส้หมูที่เธอชอบ
“ทำสาคูใส้หมูน่ะลูก”
“เพี้ยะ..”
“โอ้ยย คุณยายอ่ะ..”
“ไปล้างมือก่อนลูก ไม่งั้นไปหยิบซ่อมมา” คุณยายตีมือหลานสาวที่เอื้อมไปเกือบถึงถาดใส่สาคูใส้หมูของโปรดของเธอ อ้อ ของคุณตาด้วย
“ลินขอชิมก่อนชิ้นหนึ่งไม่ได้เหรอคะ” เสียงหวานออดอ้อนคุณยายที่ยิ้มหวานให้หลานสาวแต่ไม่ใจอ่อน
“ไม่ได้จ้ะ เป็นสาวเป็นนางเรียบร้อยหน่อยสิลูก”
“โอ้ย ลินยังเด็กอยู่เลยนะคะคุณยายขา”
“ไปล้างมือแล้วเรียกคุณตามากินของว่างเถอะลูก” คุณอำไพบอกหลานสาว
บุลินเลือกทำงานใกล้บ้านเพราะเป็นห่วงตากับยายถึงแม้จะเป็นโรงแรมเพื่อนรุ่นพี่ของคุณตาแต่เธอก็สมัครงานตามกฎระเบียบทุกอย่างและผ่านเกณฑ์ของโรงแรมหรูในตำแหน่งพนักงานต้อนรับที่อัตตราค่าจ้างสูงตามความสามารถของเธอที่พูดได้ถึงห้าภาษาทั้ง อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่นไม่รวมภาษาไทยที่เธอใฝ่เรียนรู้
“ค่ะคุณยาย อ้อ คุณยายขาลินจะไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนนะคะ”
“บอกคุณตาหรือยังลูก”
“บอกแล้วค่ะลินจะไปพรุ่งนี้ตอนสายค่ะ”
“อ้าว ไปพรุ่งนี้เหรอ”
“ค่ะคุณยาย ยัยพวกนั้นมันว่างตรงกันพอดีก็เลยนัดกันไปเที่ยวบ้านยัยนารากันค่ะ”
“อ่อ พ่อเดชไปด้วยเหรอลูก”
“ค่ะคุณยาย"
"ดูแลตัวเองด้วยนะลูก"
"ลินจะดูแลตัวเองอย่างดีเลยค่ะ งั้นลินไปเอาปุ๋ยให้คุณตาก่อนนะคะ” บุลินบอกคุณยายแล้วเธอก็ขึ้นไปหยิบกระเป๋าบนห้องก่อนจะขับรถกระบะโฟร์วิลล์สี่ประตูไปรับเพื่อนรักที่บ้านเข้าเมืองด้วยกัน
วันถัดมาบุลินกับวีรเดชนัดเพื่อนสาวเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่วีรเดชก็ให้รถที่บ้านไปส่งที่สนามบินพร้อมกับบุลิน
“ยัยปีมาถึงหรือยังนะแก” วีรเดชมองหาเพื่อนสาวอีกคนที่นัดกันไว้
“เดี๋ยวลินโทรหาก่อนนะ” บุลินพูดจบก็โทรหาเพื่อนทันที “แกอยู่ไหนยัยปี”
“แกหันมาทางขวาสิยัยหนูลิน” ปียาดา วัชรบวร หรือ ปี ลูกสาวเจ้าของร้านอาหารไทยชาววังที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยของอาหารชาววังสมัยโบราณ ร้านเรือนไทย ตั้งอยู่กลางเมืองเป็นร้านแรกที่ตกแต่งบ้านเรือนไทยสมัยโบราณที่เป็นมรดกมาทำเป็นร้านอาหารที่ร่มรื่นท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่มีสระบัวอยู่ตรงกลางมีสะพานเชื่อมศาลากลางน้ำและยังมีมากกว่าสิบสาขาตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ของเมืองไทย ปียาดามีพี่น้องสามคนเธอเป็นคนเล็กสุดมีพี่ชายสองคนที่ดูแลกิจการของครอบครัว
“ทางขวามือวีวี่” บุลินบอกเพื่อนสาวแล้ววางสายก่อนจะเดินไปหาปียาดาที่ยืนยิ้มแป้นกางมือรอกอดเพื่อนรักที่ห่างกันแค่สองสามเดือนเองมั้ง
“คิดถึงพวกแกจังเลยอ่ะ” ปียาดากอดเพื่อนทั้งสอง
“วีวี่ก็คิดถึงแกยัยปี อ้อ มีของฝากจากโมนาโกมาให้แกด้วย” วีวี่บอกเพื่อนรักที่ทำตาโต
“ขอบใจนะวีวี่รักแกจังเลยแต่คราวหน้าปีขอหนุ่มโมนาโกหล่อล่ำสักคนดีกว่านะ คิกคิกๆ..” ปียาดาพูดแล้วหัวเราะ
“พอดีเลยวีวี่มีพี่ชายสองคน ยกพี่ภูผาให้หนูลินยกพี่นาวาให้แกนะยัยปี ตกลงม๊ะ” วีวี่บอกเพื่อนรักเล่นๆ
“ยกให้ลินจริงนะ อย่าคืนคำล่ะวีวี่ คริคริๆ..”
“ใช่ๆ ว่าแต่หล่อมั้ยอ่ะแก” ปียาดาถามอย่างขำๆพวกเธอมักจะหยอกล้อเรื่องหนุ่มๆเป็นที่สนุกกันบ่อยๆบางทีก็เอาพี่ชายของเธอมาเล่นด้วย
“หล่อสิ แต่แกต้องเอาพี่ชายของแกมาแลกนะยัยชะนีปี ฮ่าฮ่าๆๆ..” วีรเดชหัวเราะเสียงดังเมื่อเพื่อนทำหน้าเบะปากใส่เธอ
“ก็ว่าแล้วเชียว ไปเถอะเขาประกาศให้ขึ้นเครื่องแล้ว” ปียาดาชวนเพื่อนไปขึ้นเครื่องตามหมายเลขที่พนักงานประกาศโดยมีกระเป๋าเป้ขนาดกลางคนละใบ
“แกจะไปต่อโทจริงๆเหรอปี” บุลินถามเพื่อนที่บอกเธอว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกาเพราะมีญาติอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
“ที่จริงปีก็ไม่อยากไปหรอกนะ อยากเรียนต่อที่เมืองไทยมากกว่า แต่ที่บ้านอยากให้ไปน่ะสิแล้วหนูลินล่ะไม่ต่อโทจริงๆเหรอ” เธอขัดพ่อแม่ไม่ได้จึงต้องไปเพราะท่านตามใจเธอให้เรียนในสิ่งที่ชอบแต่ท่านขอให้ไปเรียนโทเธอจะเรียนอะไรก็ได้ขอให้จบโทเท่านั้น
“ลินว่าจะทำงานสักปีหนึ่งก่อนค่อยต่อแต่ที่เมืองไทยนะจ้ะ ไม่อยากรบกวนแม่น่ะ” ที่จริงทั้งคุณตาคุณยายแม่และพ่อเลี้ยงก็อยากให้ต่อโทเลยแต่บุลินปฏิเสธเธออยากทำงานเก็บเงินเรียนต่อเองมากกว่า
“ดีจังลินได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วแกล่ะนังวีวี่จะทำอะไรต่อหรือนั่งกินนอนกินให้แม่เลี้ยงยะ” ปีถามเพื่อนสาวที่มองหนุ่มฝรั่งตาปรอย
“เฮ้อ แกนี่ช่างขัดจังหวะฉันจริงๆนะชะนีปี ดูสิเหยื่อฉันรู้ตัวแล้ว”
“ปีเห็นแกจะกินเขาน่ะสิถึงได้เรียกแก ฮ่าฮ่าๆๆ” ปียาดาหัวเราะขำเพื่อนสาวที่กระเง้ากระงอดใส่เธอ
“เอาไว้ค่อยคุยพร้อมกันดีกว่า ตอนนี้ขอดูอาหารตาก่อนพวกชะนีอย่าขวางนะเพื่อนขอร้อง” วีรเดชพูดแล้วสะบัดหน้าไปทางหนุ่มฝรั่งรูปหล่อที่นั่งอยู่อีกฝั่งทำให้บุลินกับปียาดายิ้มขำเพื่อนสาว
เมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่หรือท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ทั้งสามก็ออกจากเครื่องเดินเข้าไปในสนามบินก็มองหา นารา วรบดี หรือ เตย เพื่อนรักชาวเชียงใหม่ที่ชวนมาเที่ยวบ้านเพราะเรียนจบแล้วทุกคนก็ต้องไปทำงานหรือเรียนต่อก็จะทำให้ได้เจอกันยากขึ้นช่วงนี้จึงนัดรวมตัวกันได้ง่าย
“เฮ้ เพื่อนรักทางนี้จ้า" เสียงนาราสาวร่างเล็กอวบอั๋นดังลั่นอย่างไม่อายใครโบกมือให้เพื่อนรักแล้วต่างก็โผกอดกันเหมือนจากกันไปเป็นปีทั้งที่แค่สองสามเดือนเองอย่างน้อยในวันรับปริญญาที่จะถึงพวกเธอก็จะได้เจอกันอีก
“คิดถึงพวกแกจังเลยไปเถอะจะได้คุยกันให้สะใจไปเลย แต่พวกแกมาแค่สี่วันเองเหรอ.” นาราถามเพื่อนอย่างเสียดายแต่ละครั้งที่เพื่อนๆมาเที่ยวก็ห้าวันเป็นยอย่างต่ำแต่ครั้งนี้บุลินต้องกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเริ่มทำงานในวันที่หนึ่งมีนาที่จะถึงนี้จึงทำให้อยู่เที่ยวได้สี่วัน
“ใช่จ้ะ ลินขอโทษพวกแกด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรเอาไว้คราวหน้ามาใหม่ก็ได้จ้ะ” นาราบอกเพื่อนก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถคันเล็กของเธอเพื่อพาเพื่อนๆไปที่บ้านก่อนจะพาไปเที่ยว
สี่วันที่มาเที่ยวเชียงใหม่พวกเธอสนุกสนานกันมากนาราพาเพื่อนๆไปเที่ยวในที่พวกเธอไม่เคยไปจนเกือบทั่วเชียงใหม่และพ่อแม่พี่สาวของนาราให้การต้อนรับเป็นอย่างอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง
“อะหยังกั๋นนิละอ่อนหมู่นี้จะปิ้กบ้านกั๋นละก่ะ” พ่อเลี้ยงณรงค์ถามลูกสาวเพื่อนที่ท่านรักและเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานและมาเที่ยวบ้านท่านบ่อยๆบางทีท่านก็พูดเหนือบางทีก็พูดกลางเพราะเพื่อนของลูกสาวฟังภาษาเหนือเข้าใจกันทุกคนและยังพูดกันได้นิดหน่อย
“จ้าวป้อเลี้ยง ลินจะเริ่มงานวันที่หนึ่งที่จะถึงนี้ก็เลยกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ”
“ดีแล้วลูก ไม่ว่าจะป็นงานอะไรเราก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างนะ” แม่เลี้ยงบอกเพื่อนลูกสาวที่มาทำให้บ้านท่านครึกครื้นได้สามสี่วันก็จะกลับกันแล้ว
“คราวหน้าวีวี่จะมาเที่ยวนานๆให้พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเบื่อเลยจ้าว” วีระเดชพูดประจบพ่อเลี้ยงณรงค์
“มาเลยลูก บ้านพ่อเปิดต้อนรับพวกเราตลอดเวลาอยากมากันเมื่อไหร่ก็มาได้คิดเสียว่าเป็นบ้านอีกหลังของพวกเราทุกคนนะลูก” พ่อเลี้ยงณรงค์พูดอย่างอ่อนโยนผิดกับท่าทางของท่านที่ดูเหมือนจะดุแต่กลับกันท่านใจดีมาก
“ขอบคุณค่ะ / ขอบคุณค่ะ” ทั้งสามยกมือไหว้พ่อแม่ของเพื่อนส่วนพี่สาวของนาราได้ร่ำลากันตอนเช้าแล้วเพราะ ภัคพร วรบดี หรือ พี่ตาล คนสวยใจดีต้องไปทำงาน
“งั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ ลินขอขอบคุณพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงมากนะคะ สวัสดีค่ะ /สวัสดีค่ะ.” บุลินบอกลาพ่อแม่ของเพื่อนและวีรเดชกับปียาดาก็ยกมือไหว้ตาม นาราก็ไปส่งเพื่อนๆที่สนามบินเชียงใหม่และร่ำลากันน้ำตาคลอ
“แล้วเจอกันที่กรุงเทพนะพวกแก“นาราบอกเพื่อนรักทั้งสาม
“จ้า ไปนะนารา บ้ายบ่าย”สี่สาวกอดกันแล้วเดินเข้าไปในเกทโบกมือให้กันอีกครั้งก่อนที่เพื่อนรักทั้งสามจะลับตาไปนาราก็กลับบ้าน
บุลินกลับมาจากเชียงใหม่ก็มาเตรียมตัวทำงานวันนี้เธอจึงมาซื้อเครื่องสำอางค์กับวีรเดชที่ห้างดังในหัวหินเพราะปกติเธอก็ไม่ค่อยได้แต่งหน้าแต่การทำงานหน้าที่พนักงานต้อนรับต้องมีหน้าเป็นอาวุธฉะนั้นต้องสวยตลอดเวลา
“ชะนีหนูลินแกน่าจะใช้ลิปสติกสีนี้นะ” วีรเดชยื่นเทสเตอร์ลิปสติกสีเชอร์รี่อ่อนให้เพื่อนเพราะคิดว่ามันเข้ากับผิวสีน้ำผึ้งของบุลิน
“แรงไปมั้ยอ่ะแก” บุลินแย้งปกติเธอจะใช้สีอ่อนจึงชูสีพีชในมือให้เพื่อนดู