ร่างเล็กเบาหวิวราวกับปุยนุ่นถูกวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ผ้าห่มจัดวางในระดับที่พอเหมาะ ดวงหน้าหวานคล้ายต้องการจะพูดบางอย่างทว่ากลับกลืนคำลงคอ
แต่ไม่พ้นสายตาของพลัฏฐ์
“มีอะไรจะพูด”
“เออ...คือม่านขอบใจนะจ๊ะพ่อครู” พ่อครูใจดีจัง
“กูถามมึงหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มต่ำอ่อนลงจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือน้ำเสียงของพ่อครูพลัฏฐ์
“ได้จ้ะ ม่านยินดีตอบ”
“ทำไมมึงถึงตาบอด ถ้าไม่สะดวกใจเล่าไม่เป็นไร กูไม่บังคับใคร”
“จริง ๆ มันก็ผ่านมาสักพักแล้วจ้ะ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...”
ย้อนกลับไป ๕ ปี ที่แล้ว
หมู่บ้านท่าต้นศรี
“ม่านวันนี้ไปโฮงเฮียนมาเป็นใดผ่องลูก (ม่านวันนี้ไปโรงเรียนมาเป็นยังไงบ้างลูก)”
“สนุกจ้ะยาย”
ม่านหมอกในวัยสิบแปดปี ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปที่ตื่นเช้ามาไปโรงเรียนกลับมาจากโรงเรียนท่องจำตำราและช่วยงานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระยายดา
“วันนี้เดี๋ยวอุ้ยติ๊บจะมาหาอิแม่ ม่านมีอะหยังก็ไปยะเด้อลูก (วันนี้เดี๋ยวยายติ๊บจะมาหา ม่านมีอะไรก็ไปทำนะลูก)”
ม่านหมอกไม่เคยขัดคำพูดของยายและปฏิบัติตนเป็นเด็กดีมาเสมอ
ม่านหมอกใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดอยู่กับตาและยาย ทว่าเมื่อขึ้นมัธยมต้นตาก็มาตายจาก เหลือเพียงแค่เด็กหนุ่มกับยายดา ส่วนน้าสายลมที่เป็นลูกคนสุดท้องแต่งงานย้ายไปอยู่กับสามีที่อเมริกา สองยายหลานใช้ชีวิตปกติเรื่อยมาจนกระทั่งแม่เริ่มกลับเข้ามามีบทบาทในชีวิต
แม่มาหายายบ่อยครั้งและทุกครั้งก็จะกลับไปพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง ยามไม่ได้ดั่งใจก็จะอาละวาดทำลายข้าวของ
“ยายเป็นอะไรไหมจ๊ะ” แม่ทำร้ายยายอีกแล้ว
“บ่าเป็นหยังลูก ๆ”
“ทำไมแม่ทำแบบนี้กับยาย” เด็กหนุ่มหันไปถามแม่ที่ในมือกระชากสร้อยทองไปจากคอยาย
“มึงอย่ามาสาระแนอีม่าน กูทำให้มึงเกิดมาควรจะสำนึกบุญคุณ”
ม่านหมอกไม่ได้ตอบกลับและไม่ได้ตอบโต้ เพียงปล่อยแม่ไปแบบนั้น
“อย่าไปว่าแม่ตั๋วเลย มันก่อเป็นจะเอี้ย (อย่าไปว่าแม่เลย มันก็เป็นของมันแบบนี้)”
“ยายอย่าใจดีกับแม่เกินไปเลยจ้ะ”
ตั้งแต่แม่เริ่มเข้ามา เหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนม่านหมอกคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นานนับวันเข้ายายเริ่มมีสุขภาพอ่อนแอ จากคนที่เคยแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวกลับล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ม่านไปฮ้องปู่แสนมาหื้ออุ้ยหน่อยได้ก่อ (ม่านไปเรียกปู่แสนให้ยายหน่อยได้ไหม)” ยายส่งภาพบางอย่างในมือก่อนจะถูกคลี่ขึ้นมา ภาพถ่ายเก่า ๆ ไม่มีสี ในภาพประกอบด้วยชายสองคนและหญิงหนึ่ง ซึ่งคนที่อยู่กลางนั้นก็คือยาย
“ยายจะให้ม่านไปหาคนไหนเหรอจ๊ะ”
“คนขวามือตี่ใส่ชุดสีขาว”
อาการยายสามวันดีสี่วันไข้ ม่านหมอกรีบไปอีกหมู่บ้านที่ผู้เป็นยายพร่ำบอก เมื่อไปถึงเรือนไม้สักไทยสองชั้นหลังหนึ่งตั้งตระหง่านตาในอีกหมู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่นานก็มีชายสูงวัยยืนรอราวกับล่วงรู้ว่าเขาจะมา
“มาสักทีนะ”
“ปะ ปู่แสนหรือเปล่าจ๊ะ” ยังไม่ทันได้ปริปากแม้แต่เอ่ยทักทายกลับเป็นอีกฝ่ายที่ทักท้วงขึ้นมาก่อน
“กูรอยายมึงอยู่”
“ยายม่าน ทำไมเหรอจ๊ะ” ใบหน้าละมุนเริ่มแสดงอาการกังวลใจ ชายตรงหน้าแต่งตัวคล้ายผู้มีคาถาอาคมตามตัวเต็มไปด้วยรอยสัก
“รีบไปช่วยยายมึงเร็ว”
ปู่แสนหรือคำแสน เป็นจอมขมังเวทย์สายขาว ปฏิบัติตัวดีอยู่ในทางสายกลางมาตั้งแต่เด็ก
ปู่แสนเป็นเพื่อนกับยายดาหรือยายของม่านหมอก นอกจากปู่แสน ยายดา และยังมีอีกคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่วัยเยาว์และเป็นศิษย์ของหลวงปู่ชิดนั่นคือ ‘ศรีไพร’
ทว่าศรีไพรผันตัวไปเป็นไสยเวทอวิชชาสายดำและนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแตกหักของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิท
ปู่แสนเดินทางมายังบ้านของยายดาตามคำขอของม่านหมอก กลิ่นบางอย่างลอยโชยมาแตะจมูกและรับรู้ถึงมนตราอาถรรพ์ของดำลอยคละคลุ้งอยู่รอบตัวเรือน
“อีดา มีคนทำของใส่มึง”
“มันจะเป็นไปได้จะใด”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ถึงจะไม่เคยเจอเรื่องไสยศาสตร์คุณไสยมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ไม่เชื่อว่าไม่มีอยู่จริง
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับยายอย่าบอกว่ายายโดนของ...
“ที่มึงทะเลาะกับลูก ทะเลาะกับคนอื่น มีคนจ้องจะทำให้ครอบครัวมึงแตกแยก” ปู่แสนสัมผัสได้ถึงวัตถุอัปมงคลบางอย่างรอบรั้วบ้านหลังนี้
บ้านของยายดาเป็นบ้านสองชั้นกึ่งปูนกึ่งไม้และมีพื้นที่ปลูกต้นไม้ต่าง ๆ รอบบ้าน มีหญ้าขึ้นรกร้างยากต่อการจะมองหาสิ่งของใด ๆ
“ละ แล้วแบบนี้เราทำได้บ้างจ๊ะปู่ ยายจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ชายชราเดินเข้าไปใกล้เพื่อน บริกรรมคาถาใช้นิ้วชี้จรวดลงตรงหน้าผาก ไม่นานยายดาก็อาเจียนออกมาเป็นสีดำเข้มเต็มพื้นไม้กระจัดกระจายไปด้วยเศษเล็บและเศษผม
ไม่อยากจะเชื่อแต่มันเกิดขึ้นจริง ๆ
“อีกสามวัน ถ้ายังหาสิ่งนั้นไม่เจอ ยายมึงจะต้องตกตายตลอดกาล”
“ต้องหาของนั้นให้เจอ ห่อด้วยจีวรขาดแล้วนำไปทิ้งแม่น้ำ”
คำว่า ‘ตกตายตลอดกาล’ ส่งเป็นให้ม่านหมอกต้องดิ้นรนและทำตามคำสั่งของปู่แสน นับตั้งแต่วินาทีนั้นม่านหมอกลงมือขุดทุกอย่างที่คิดว่าจะเป็นสิ่งของแปลกปลอม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด
“ปู่จ๊ะ แล้วถ้าม่านเจอแล้วม่านจะรู้ได้ยังไงว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไร”
“มึงจะสัมผัสได้เอง”
พยายามต่อไปอย่างไม่ลดละ วันเวลาคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที สายศิลป์ต่าง ๆ ถูกพันรอบตัวบ้าน บรรยากาศมืดสนิท ลมพัดวังเวงมีเพียงเสียงนกตัวเล็กตัวน้อยล้วนแต่สร้างความน่าหวาดกลัว
ยายดานอนอยู่บนผ้าผืนสีขาวกลางบ้าน ปู่แสนร่ายมนตร์คาถาป้องกันภัยภูตผีไม่หยุดพัก เป็นครั้งแรกที่ม่านหมอกมองเห็นเงาขมุกขมัวคล้ายพวกวิญญาณลอยไปลอยมาอยู่รอบ ๆ ตัวบ้าน ความกลัวก็มีอยู่มากทว่ากลัวการสูญเสียยายนั้นมีมากกว่า
เขาขุดไปเรื่อย ๆ จนเกิดหลุมเกิดบ่อไม่รู้กี่ร้อย ๆ หลุม ไม่นานก็เจอเข้ากับเศษชิ้นส่วนภาชนะบางอย่างห่อใส่ผ้าสีดำรวมกันอยู่ห้าหกชิ้น ความรู้สึกบ่งบอกว่าใช่สิ่งนี้แน่ ๆ จึงรีบนำขึ้นไปให้ปู่แสนพิจารณา
“มันคือบาตรแตก” แค่เห็นแวบแรกไม่ต้องเดาให้ยาก และบาตรแบบนี้คนที่ชอบใช้คือ ‘ศรีไพร’
“ไอ้ศรีไพรมันทำคาถาบาตรแตกใส่มึงอีดา”
“อะหยัง จะใดมันทำจะอั้น (ทำไม ทำไมมันทำแบบนั้น)”
“กูบอกได้ไม่มากแต่จิตกูบอกว่าคนใกล้ตัวมึงไปขอให้มันทำ” ด้วยความเก่งกล้าอาคมและเก่งวิชา ปู่แสนสามารถระลึกนิมิตได้เพียงแค่เพ่งสมาธิ
พิธีถอดของถูกดำเนินการทันที ทั้งสามนั่งอยู่ในสายศิลป์กลางบ้าน เสียงลมพัดดังขึ้น เสียงโหยหวนหมายจะเอาวิญญาณของยายดาร้องด้วยเสียงทุกข์ทนทรมานเจ็บปวด
“ป๋อยกูไป ป๋อยกูไป” ยิ่งคำสวดเสียงดังมากเท่าไหร่ ยายดาดิ้นทุรนทุรายมากเท่านั้น
ทางปู่แสนนั่งนิ่งสงบราวกับไม่ได้ยินเสียงสิ่งใด กระแสจิตเชื่อมต่อกับศรีไพรอย่างสมบูรณ์ อวิชชาสายดำและอวิชชาสายขาวสู้รบกันทางม่านนิมิต เหล่าสัมภเวสีถูกปลูกมาสู้กัน ผีห่าซาตานต่างถูกปลุกขึ้นมาทั่วสารทิศล้อมรอบบ้านของม่านหมอกไว้สี่ทิศ
ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงหัวเราะดังกึกก้อง คำสาปแช่งมากมายแซ่ซ้อง ลมพัดไหวมาวูบหนึ่งทำให้เปลวเทียนดับทว่าปู่แสนยังคงนั่งหลังตรงไม่ขยับ
“ปู่ เทียนดับแล้วจ้ะ” เมื่อหันไปมองยาย ยายก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงไม่ส่งเสียงดังเหมือนก่อนหน้าเช่นกัน
“ยายจ๊ะยาย ยายเป็นอะไร” ม่านหมอกตะโกนเรียกด้วยความกลัวสุดหัวใจ
ทว่าร่างยายที่รักตรงหน้านอนแน่นิ่ง
น้ำตาใสคลอหน่วยรินร่วงหล่นมาไม่ขาดสาย พยายามเขย่าและร้องตะโกนชื่อยายจนสุดเสียงแต่ทำได้เพียงจับต้องร่างเย็นเยียบ
“อย่าให้น้ำตาตกใส่ร่างของยายมึง”
“ปู่แสน ยาย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมจ๊ะ ปู่”
ไม่มีคำตอบรับจากปู่แสน ม่านหมอกยอมถอยห่างทำตามอย่างว่าง่าย ใช้สองมือพลันเช็ดหยาดน้ำตาให้แห้งเหือด ใจจดใจจ่อรออย่างมีความหวัง
กิ่งไม้ใหญ่โค่นตกเสียงดังบนหลังคา หน้าต่างไม้บานใหญ่ถูกลมตีเข้าออกเสียงดังพึ่บพั่บ มีเงาดำรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏตรงหน้า มันย่างก้าวเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นโชย
“มึงหลับตา อย่าเผลอไปสบตามัน”
หัวใจดวงน้อยแทบจะกระโจนออกมาจากอก พยายามตั้งสมาธิพนมมือไว้ที่อก เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยเจอผีตัวเป็น ๆ เลยสักครั้ง
“พุทธโททำให้หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไป นะโมพุทธายะ ยะธาพุทธโมนะ”
“มึงต้องเอาเศษบาตรแตกอันนี้ไปโยนทิ้งแม่น้ำ พร้อมท่องคาถาที่กูพูดไป” คาถาในกระดาษสีขาวถูกส่งให้มือเล็ก
“ละ แล้วไปตอนนี้เลยเหรอจ๊ะปู่”
“ใช่ มึงต้องไปตอนนี้ ไม่งั้นยายมึงตาย” หรือไม่ก็อาจจะตายไปแล้ว
ภายใต้การต่อสู้ในจิตใจครั้งยิ่งใหญ่ ม่านหมอกกลัวสูญเสียคนที่รักมากกว่ากลัวสิ่งที่มองไม่เห็นในความมืด มือน้อย ๆ หยิบเศษบาตรแตกที่ห่อด้วยจีวรขาด ๆ หยัดตัวสั่น ๆ ให้ลุกขึ้น
“กูจะร่ายคาถาคุ้มครองมึงเอง ขอแค่อย่าว่อกแว่กเท่านั้น”
“ขอบคุณจ้ะปู่ ม่านจะทำ” เสียงเล็กมุ่งมั่นไม่แม้แต่แสดงความลังเล
ปู่แสนรู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะสายไปแล้ว ศรีไพรมีอำนาจมนต์ดำเหลือล้น
ในอดีตทั้งสามศึกษาเรื่องคุณไสยด้วยกันทั้งหมด ต่างคนต่างเลือกเส้นทางของตนเอง และดูเหมือนเส้นทางสายดำจะไปได้ดีเพราะมีผู้คนที่ปรารถนาให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการต่างพากันพึ่งพาสิ่งต่ำช้า
“มึงรีบไป”
พูดจบ ม่านหมอกรีบก้าวผ่านสายสิญจน์ ทว่ายังไม่ผ่านพ้นหน้าประตู วิญญาณนับร้อยพุ่งตรงเข้ามายังร่างเล็ก บริกรรมคาถาของปู่แสนเริ่มต้านทานพวกมันไม่ไหว เงาวิญญาณเปลี่ยนทิศกระโจนเข้าใส่ยายดา
“มันต้องตายตามคำของคนที่ขอ” ดวงตาของหญิงสาวผู้นั้นโกรธเคืองและเกลียดแค้น มันเพียงแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของคนที่ต้องการให้ครอบครัวม่านหมอกสูญสิ้น
“ปู่ พวก มัน ปู่”
อิทธิฤทธิ์ของปู่แสนต้านทานมนต์ดำจากศรีไพรไม่ไหว เปลือกตาสีบริสุทธิ์เห็นร่างของยายกระตุกต่อหน้า ไม่อาจคว้ามือเข้าไปเอื้อมถึง ก่อนสติจะดับวูบพร้อมเศษของบาตรที่แตกหล่นกระจายไปทั่ว
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ม่านหมอกตาบอดจากมนตราอวิชชาที่แกร่งกล้าเกินต้านของศรีไพร ยายดาเสียชีวิตในทันที และปู่แสนเสียพละกำลังและอาคมไปเกือบสูญสิ้น
“พ่อครับวันนี้ผมเอาพลัฏฐ์มาฝากตัวเป็นศิษย์”
พลพจน์บุตรชายคนเดียวของปู่แสนตัดสินใจฝากฝังลูกชายให้อยู่ในศีลในธรรมอันดีและหวังว่าพ่อของตนจะปลูกฝังลูกชายคนนี้ให้ดีและเดินตามรอยปู่แสนได้
“เอ็งจะไปไหน”
“ผมตัดสินใจแล้วครับพ่อ ผมจะขอออกบวช และถวายบุญกุศลทั้งหมดครั้งนี้ให้พ่อครับ”
ไม่มีการขัดศรัทธาในทางเลือกของลูกชาย ปู่แสนมองเด็กชายที่ถูกนำมาฝากฝัง ยังไงเสียคนเบื้องหน้าก็คือหลาน คนเรารู้วันเกิดไม่รู้วันตาย ทว่าปู่แสนรู้ตัวว่าด้วยอิทธิฤทธิ์ของศรีไพรในครั้งนั้น ตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนัก
ปู่แสนถ่ายทอดวิชาอาคมต่าง ๆ ให้หลานชาย คอยย้ำเสมอว่าให้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยในทางที่ดีและไม่เดินในสายที่ผิด เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตอาจจะฉิบหายได้ตลอดกาล
“พลัฏฐ์ มึงรู้ใช่ไหมไม่ควรใช้คาถาอาคมในทางที่ผิด ๆ”
“รู้ครับปู่” เขาเข้าใจได้อย่างดี
“ชื่อของมึงแปลว่าผู้ทรงกำลัง เพราะฉะนั้นใช้กำลังในทางที่ถูกที่ควร”
“มีบางอย่างที่ปู่อยากจะขอมึงไว้ก่อนตาย”
“ครับปู่” พลัฏฐ์มองถุงสีขาวในมือปู่อย่างไม่เข้าใจ ก่อนมันจะถูกส่งมอบมาให้ตัวเขา
“เก็บตะกรุดนี้เอาไว้”
“ทำไมครับปู่”
“วันหนึ่งเจ้าของมันจะกลับมาหามึงเอง และใช้มันช่วยชีวิตของเจ้าของมัน”
พลัฏฐ์ไม่ถามซ้ำ เพียงรับมาและดูแลรักษามันอย่างดีรอวันที่เจ้าของตะกรุดปรากฏกายตราบจนวันนี้
ปัจจุบัน
“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละจ้ะพ่อครู”
“มึงไม่ได้ตาบอดแต่กำเนิดหรอกเหรอ” ถึงว่าครั้งแรกที่สายหยุดนำม่านหมอกมาขาย รับรู้ถึงความดำมืดบางอย่างตามตัวเด็กหนุ่ม
“เปล่าจ้ะ”
การถูกคุณไสยอวิชชาทำให้ตาบอดย่อมมีทางรักษาหรือแก้ไสยเวทนั่นได้ อย่างแรกต้องรู้ตัวคนทำและวิธีถอนของก็มีอยู่หลากหลายวิธี ทว่าต้องรู้ด้วยว่าความรุนแรงของคาถาอาคมที่ม่านหมอกได้รับมันรุนแรงมากเพียงใด
“แล้วมึงอยากมองเห็นอีกไหม”
“ถ้ามีทางแก้ไข ม่านก็อยากมองเห็นจ้ะ” ดวงหน้าหวานคลี่ยิ้ม นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ใจปรารถนาให้เกิดขึ้นจริง ถึงรู้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
“ถ้ามึงกลับมามองเห็น อยากมองเห็นอะไรเป็นอย่างแรก”
นัยน์ตาสีนิลกาฬสบมองดวงตาสีพลอยไพลิน อยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะทำหน้าเช่นไรเมื่อตอบคำถามนี้
บทสนทนาขาดห้วงไปครู่หนึ่ง ราวกับพยายามนึกคำตอบก่อนเสียงใสจะตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“อยากเห็นหน้าพ่อครูจ้ะ อยากรู้ว่าคนใจดีหน้าตาเป็นยังไง”
“อืม กูจะทำให้มึงกลับมามองเห็นเอง”
คำตอบที่ได้รับเหมือนฝนตกลงมาในฤดูแล้ง ดวงตากลมทอประกายไปด้วยความหวัง หัวใจที่เคยอ่อนล้าและเหี่ยวเฉาเสมือนได้รับการรดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง