ตอน ผิดพลาด เยียวยา (2)

3307 คำ
เมื่อจอดแวะพักเติมน้ำมันที่ปั๊มอินทร์บุรี มาลินีโทรศัพท์หาแป้งร่ำเพื่อนเก่าผู้เคยเรียนหนังสือด้วยกันที่มหาวิทยาลัยห้วยแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ หลังเรียนจบแป้งร่ำแต่งงานกับรุ่นพี่ร่วมคณะหน้าดุผู้ซึ่งเพื่อนฝูงตั้งฉายาให้เขาว่า “ลุง” ทั้งสองพากันมาอยู่ที่หมู่บ้านหนองแหย่งของอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และช่วยกันทำไร่ ปลูกผักในแนวเกษตรกรรมแบบไม่ใช้สารเคมี “น้อยมาพักกับเราดีกว่านะ จะได้คุยกัน” แป้งร่ำชวนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น มาลินีตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง เธอขับรถต่อไปอีกหลายชั่วโมงจนถึงเชียงใหม่เมื่อจวนค่ำ แป้งร่ำโทรศัพท์บอกเส้นทางแก่เพื่อนรักอย่างละเอียดจนมาลินีไปถึงหมู่บ้านที่มีระยะทางห่างตัวเมืองออกไปเกือบห้าสิบกิโลเมตร บ้านไม้หลังนั้นเปิดไฟริมรั้วสว่างจ้า แป้งร่ำวิ่งมาต้อนรับมาลินีอย่างอบอุ่น เธอเตรียมอาหารพื้นเมืองรอท่าอยู่ตั้งแต่ช่วงเย็น “นึกอย่างไรจู่ๆ ขับรถมาคนเดียวอย่างนี้” แป้งร่ำถามขึ้นถามขึ้นหลังจากเธอยกสำรับกับข้าวเข้าไปเก็บล้างและออกมานั่งคุยกับผู้มาเยือนบนระเบียงบ้าน อากาศยามนั้นเย็นสดชื่น มียุงรบกวนบ้างแต่ต่างคนต่างถือพัดคอยปัดไล่ ลุงอ๊อดสามีของเธอขับรถพาลูกชายคนเดียวอายุสองขวบกว่าไปเยี่ยมพ่ออุ๊ยและแม่อุ๊ยที่เชียงรายตั้งแต่ตอนเที่ยง ปกติแป้งร่ำต้องไปด้วยทุกสุดสัปดาห์ แต่เมื่อได้รับโทรศัพท์จากมาลินีเธอจึงให้สามีพาลูกไปแต่ผู้เดียว ส่วนเธอเข้าครัวทำอาหารรอต้อนรับเพื่อนเก่า มาลินีไม่มีอะไรต้องปิดบังเพื่อนคนนี้ เธอเล่าทุกสิ่งให้แป้งร่ำฟังอย่างหมดเปลือก มีบางจังหวะที่น้ำเสียงเธอสั่นและต้องกลั้นน้ำตา แต่เธอก็สรุปรวมทุกอย่างได้ในเวลาสิบห้านาที “ก็เท่านี้แหละเรื่องของเรา” มาลินีถอนหายใจ “ไม่มีอะไรมากกว่านี้ มันจบไปแล้ว” เธอพูดเหมือนบอกตัวเองทั้งที่รู้ว่าหัวใจเธอไม่ยอมจบ มันเจ็บปวด ดิ้นรน มาลินีมองหน้าแป้งร่ำผู้นิ่งฟังเธอโดยไม่ขัดจังหวะ ไม่มีคำถาม เพื่อนของเธอเป็นสาวผิวคล้ำ ตัดผมสั้น ใบหน้าสวยสงบ ทั้งสองมีอายุยี่สิบห้าปีเท่ากัน แป้งร่ำระบายลมหายใจออกช้าๆ เมื่อฟังเรื่องที่มาลินีเล่าจนจบ “แล้วน้อยอยากทำอะไรที่เชียงใหม่นี่ล่ะจ๊ะ ไปเที่ยวกันไหม พรุ่งนี้ลุงอ๊อดกลับมาแล้วเราออกไปที่ไหนก็ได้ที่น้อยอยากไป จิตใจจะได้เบิกบานขึ้น” มาลินีส่ายหน้า ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ซึ่งไม่ใช่จากการเดินทาง “เราไม่ได้วางแผนอะไรไว้ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าได้ก็ออกรถมา ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แต่เราไม่อยากกลับไปหาพ่อแม่ตอนนี้ เพราะหากไป เราก็ต้องบอกเรื่องของเราให้ท่านทราบ แล้วท่านก็จะต้องเสียใจที่เราทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกสาวของครูตัวอย่าง” มาลินีพูดเสียงแผ่ว “เอาเถอะน้อย เดี๋ยวนอนพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” นอกบ้านมีแต่ความเงียบสลับกับเสียงจักจั่นเรไรที่พากันกรีดปีกเสียงเซ็งแซ่ มาลินีนอนลืมตาอยู่ในความมืด ความทรงจำถึงเหตุการณ์วันสุดท้ายกับชายคนรักฉายภาพออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวสมองเธอ มันไม่มีฉากอะไรที่น่าสนใจจดจำสำหรับคนอื่น ไม่มีน้ำตา ไม่มีความหวือหวาหรือรุนแรง ไม่มีเสียงตัดพ้อต่อว่า ไม่มีการจับมือเพื่อกล่าวอำลา มีแต่เสียงคลื่น ทราย แดดจัดจ้าที่เยียบเย็นในความรู้สึก หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอทำงานผิดพลาดหลายจุด โดยเฉพาะข้อมูลตัวเลขสำคัญ แต่โชคดีที่หัวหน้าของเธอตรวจพบและแก้ไขได้ทันก่อนจะเกิดความเสียหายต่อบริษัท มันทำให้มาลินีรู้ตัวว่าเธอไม่สามารถครองสติทำงานต่อได้ เธอจึงยื่นใบลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ได้รับการอนุมัติโดยไว มาลินีประเมินความแกร่งของตนเองผิด เธอคิดว่าเธอสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายๆ “ก็แค่เลิกกัน แล้วฉันก็กลับมาทำงาน ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่เห็นจะมีอะไร” ครั้งแรกเธอคิดเช่นนี้ แต่ความเสียหายทางจิตใจที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่อาจประเมินได้ มันเป็นแผลฉกรรจ์ที่ยากเยียวยา เธอไม่มีน้ำตา แต่สมองไม่ยอมหยุดคิด ทั้งภาพทั้งเสียงฉายวนเรื่อยไปจนเธอเหนื่อยล้าหมดแรง เธอปลอบตัวเองว่าแล้วมันก็จะผ่านไป มันจะดีขึ้น แต่หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วหลังจากวันนั้น มันเริ่มกลัดหนองและอักเสบ มาลินีนอนซมตลอดเช้าวันอาทิตย์จนถึงบ่าย ลุงอ๊อดกับน้องเดียวกลับจากเชียงรายถึงบ้านหนองแหย่งช่วงเย็น เธอลุกจากที่นอนออกมาทักทายเจ้าบ้านฝ่ายชายด้วยสีหน้าเซื่องซึมและพูดเล่นหัวกับเด็กน้อยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวเข้าห้อง มิไยที่ลุงอ๊อดจะชักชวนให้มาลินีเข้าเมืองไปเดินดูสินค้าที่ไนท์บาซาร์ แต่เธอปฏิเสธ เธอบอกเพียงว่า “ไม่สบาย” ลุงอ๊อดซึ่งทราบเรื่องคร่าวๆ จากภรรยาทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วปล่อยมาลินีกลับไปนอนต่อโดยไม่เซ้าซี้อะไรอีก มาถึงเช้าวันจันทร์ หลังจากมาลินีกินข้าวต้มที่เจ้าบ้านปรุงให้เป็นพิเศษแล้ว แป้งร่ำดึงมือเพื่อนไว้ “น้อย วันนี้ถ้าไม่อยากออกไปเที่ยวไหน มาช่วยเรากวาดลานหลังบ้านหน่อยได้ไหมจ๊ะ” มาลินีพยักหน้า “ได้สิ แป้ง เราก็เบื่อจะนอนแล้วเหมือนกัน” มาลินีเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าให้กระชับแล้วเดินตามเพื่อนรักไปที่ลานหลังบ้าน เธอมองออกไปยังผืนป่ากว้างใหญ่เนื้อที่นับสิบไร่ที่เธอไม่เคยรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น “โอ้โห สวยจัง” มาลินีอุทานเมื่อเห็นความร่มรื่นเขียวขจีแผ่กว้างติดต่อกันไปยาวเหยียด “เมื่อก่อนมันเป็นป่าไม้เสื่อมโทรมมีแค่ใบจับจอง ลุงอ๊อดมาปลูกต้นไม้ไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังเรียนหนังสือกันอยู่ที่ห้วยแก้ว พอแต่งงานแล้วเราสองคนช่วยกันปลูกเพิ่ม ตอนนี้มันก็งามอย่างที่เห็นนี่แหละน้อย ได้โฉนดแล้วด้วย” มาลินีเดินตามแป้งร่ำไปอย่างช้าๆ เธอแหงนมองยอดไม้เหนือหัว มีกล้วยไม้ออกดอกสวยงามตามง่ามกิ่งใหญ่ รากของมันชอนไชเข้าไปตามเปลือกต้นขรุขระ มาลินีสูดอากาศเข้าปอดอย่างเต็มที่ เธอได้กลิ่นหอมหวานจากดอกไม้ป่าผสมกลิ่นน้ำค้าง แป้งร่ำชำเลืองมองมาลินีที่สีหน้ามีเลือดฝาดมากขึ้น ใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนตลอดวันวานทำให้เธอเป็นห่วงแทบจะลากตัวไปหาหมอ แต่ลุงอ๊อดกระซิบบอกเธอว่า “ไอ้น้อยมันป่วยใจ ไปหาหมอก็รักษาไม่ได้ มันต้องเยียวยาตัวเอง” แป้งร่ำเดินไปหยิบไม้กวาดก้านมะพร้าวด้ามไม้รวกมายัดใส่มือมาลินีและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้อยช่วยเรากวาดเอาใบไม้พวกนี้ไปคลุมโคนต้นไม้หน่อยนะ เอาเท่าที่ทำไหว ไม่รีบไม่ร้อน เพราะมันเยอะ ทำไปทั้งเดือนก็ไม่เสร็จมั้ง แค่อยากให้แถวนี้มันโล่งๆ น้องเดียวออกมาวิ่งเล่นทุกวันลุงอ๊อดกลัวพวกตะขาบงูเงี้ยวจะออกมากัดเอา” “อ๋อ เรื่องแค่นี้ ช่วยได้จ้ะ” มาลินีตอบอย่างกระตือรือร้น อากาศยามเช้าทำให้เธอสดชื่น ผิวกายรับรู้ถึงความเย็นเยือก จมูกรับกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ป่า หูได้ยินเสียงนกร้องโต้ตอบกันจากตรงโน้นตรงนี้ สายตามองเห็นต้นไม้ใบหญ้างดงาม จิตใจเธอเริ่มรับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ทำไปเรื่อยๆละกันนะจ๊ะ เหนื่อยก็หยุด เดี๋ยวเราไปดูแลข้างบนก่อน มีผ้าต้องซักเยอะเลย เสื้อผ้าของน้อยเดี๋ยวเราจัดการเอง” แป้งร่ำพูดจบก็หันหลังเดินตามทางสู่ตัวบ้าน มาลินีหายใจสูดอากาศที่เย็นชื่นฉ่ำ เธอกำด้ามไม้กวาดไว้หลวมๆ แล้วลงมือกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นถมทับอยู่บนพื้นดิน ขณะเคลื่อนไหวมือไปตามจังหวะของการกวาดซากใบไม้ จิตใจมาลินีค่อยคลายจางจากความคิดที่บีบคั้นเธอมาหลายวัน ความคิดที่พาเธอหลงเข้าไปอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง ความคิดที่ดึงเธอจมดิ่งกลับเข้าไปสู่กาลเวลาที่ผ่านมาแล้ว เธอขยับมือจับด้ามไม้รวกให้กระชับขึ้นและกวาดใบไม้ไปกองรวมกันรอบโคนไม้ต้นหนึ่งอย่างตั้งใจ แล้วอีกต้น แล้วก็อีกต้น มาลินีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เธอเดินหน้ากวาดไปเรื่อยๆ ต้นที่สี่ ต้นที่ห้า ต้นที่หก... ตาของเธอมองเห็นใบไม้แห้งและเศษซากกิ่งไม้ที่เคลื่อนขยับไปกองรวมกัน หูได้ยินเสียงปลายไม้กวาดกระทบพื้นดินเป็นจังหวะ เธอรู้สึกถึงอาการเคลื่อนไหวของมือและแขน รู้สึกถึงขาและเท้าที่กำลังก้าวไปช้าๆ ตลอดหนึ่งชั่วโมงนั้น มาลินีเพลิดเพลินกับการทำงานใต้ร่มไม้สูงใหญ่ สูดกลิ่นหอมหวานของเปลือกไม้ ต้นหญ้า และดอกไม้ป่า สายตาเธอมองสีสันของใบไม้แห้งที่ถูกกวาดไปกองรวมกันรอบโคนไม้แต่ละต้น บางใบมีสีแดง บางใบมีสีเทา สีน้ำตาล สีเขียวเข้ม มีแมลงและมดตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ข้างใต้ เธอเพลิดเพลินกับเสียงแกรกกรากของกิ่งไม้ที่ส่ายไหวอยู่เหนือหัว เสียงร้องของนกที่แตกต่างกัน นกบางตัวมีเสียงไพเราะอ่อนหวาน แต่บางตัวก็มีเสียงแปลกหูที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอไม่ได้สังเกตว่าสิ่งที่กดทับอยู่ในความคิดของเธอนั้นคลายตัวออก มันไม่หายไปเสียทีเดียว มันยังหน่วงอยู่เบื้องหลังความเพลิดเพลินต่อภาวะที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ แต่มันแทบไม่มีพิษสงอะไรแล้ว มาลินียืนนิ่งดูผลงานของตัวเอง เธอกวาดใบไม้คลุมโคนต้นไม้ได้ถึงยี่สิบต้น พื้นดินชื้นๆ ปรากฏอยู่โดยรอบ หญ้าใบเขียวเข้มต้นไม่สูงนักขึ้นแซมอยู่ในบางบริเวณ พระอาทิตย์ลอยดวงสูงขึ้น แต่แดดที่ส่องลอดยอดไม้ลงมาแทบไม่ทำให้เธอรู้สึกร้อน “น้อยเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม กินน้ำมะตูมอุ่นๆกัน” แป้งร่ำเดินถือเหยือกใบใหญ่มายืนข้างเธอ “เหนื่อยนิดหน่อย แต่ได้เหงื่อดีจริงๆ” น้ำเสียงมาลินีฟังดูมีกังวานไพเราะ เป็นโทนเสียงที่แตกต่างจากวันแรกที่มาถึง เธอรับเหยือกน้ำมะตูมจากมือแป้งร่ำและดื่มรวดเดียวเกือบหมด “ขอบใจแป้งมาก” มาลินียิ้มขณะที่พูด “เรื่องเล็ก แค่ต้มน้ำ เอามะตูมแห้งใส่ไปสองสามชิ้นก็ใช้ได้แล้ว ถ้าชอบหวานก็เติมน้ำตาลได้นะ” แป้งร่ำตอบและหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นเพื่อนดื่มต่อจนหมดเหยือก “ไม่ใช่แค่น้ำมะตูมหรอกแป้ง เราหมายถึงทุกอย่าง และที่แป้งชวนให้เรามากวาดใบไม้นี่” มาลินีพูดให้เพื่อนฟังว่าเธอรู้สึกดีขึ้นมากแค่ไหนเช้านี้ “ไม่ต้องขอบใจอะไรเราหรอก เราสิต้องขอบคุณน้อยที่ช่วยกวาดลานหลังบ้านจนโล่งเลย ตอนเย็นเอาเสื่อมาปูนั่งเล่นทำอะไรกินตรงนี้ดีกว่า แป้งร่ำชวนมาลินีกลับเข้าบ้าน ทั้งสองหยิบโน่นทำนี่ด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน แป้งร่ำมีงานเล็กๆ น้อยๆ ทำตลอดวัน ตั้งแต่การถนอมอาหาร การฝีมือ บ้านนี้มีหนังสือล้นตู้ มีสมุดนิทานหลายสิบเล่มที่แป้งร่ำเป็นคนเขียนเรื่องและลุงอ๊อดวาดรูปประกอบสำหรับอ่านให้น้องเดียวฟังก่อนนอน มาลินีนอนพักผ่อนตอนบ่าย เธอหลับสนิทและตื่นมาอีกครั้งเกือบบ่ายสี่โมง แป้งร่ำชวนเธอซ้อนท้ายจักรยานไปไร่เพื่อเก็บพืชผักมาทำอาหารเย็น ลุงอ๊อดทำงานอยู่ที่ไร่กับน้องเดียว เด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นกับลูกๆคนงานอย่างสนุกสนาน ในไร่แห่งนั้นเต็มไปด้วยพืชผักผลไม้ที่ปลูกไว้สำหรับส่งขายและบริโภคเอง แปลงผักกางมุ้ง โรงเรือนเพาะเลี้ยง มีคนงานประจำสามคน ลุงอ๊อดมองความเปลี่ยนแปลงของมาลินีอย่างพอใจ เขายักคิ้วให้แป้งร่ำผู้เป็นภรรยาแล้วพามาลินีไปที่แปลงผัก มาลินีเก็บพืชกินได้หลายอย่างเต็มอ้อมแขน จากนั้นก็นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานแป้งร่ำกลับบ้านเพื่อไปเตรียมทำอาหาร “เฮ้ย ไอ้น้อย นั่งดีๆ นะเว้ย ตกลงมาอย่าให้ผักช้ำล่ะ คนช่างมัน” เสียงลุงอ๊อดตะโกนหยอกล้อไล่หลังขณะที่มาลินีพยายามทรงตัวอยู่บนที่นั่ง เธอหัวเราะไปตลอดทาง หมวกสานปีกใหญ่ที่เธอสวมอยู่ถูกลมพัดห้อยไปด้านหลัง แสงแดดที่ใกล้หมดกำลังยามห้าโมงเย็นส่องใบหน้าของแป้งร่ำผู้ขับขี่จนต้องหยีตา สองข้างทางเป็นบ้านเรือนชาวบ้านที่ตั้งห่างๆกัน เจ้าของบ้านบางหลังเปิดประตูออกมาส่งเสียงทักทาย ขณะที่ล้างผักวางเรียงในถาดพลาสติก มาลินีถึงกับสะดุ้งเมื่อสังเกตพบว่าในความคิดบางขณะเธอแทบไม่ได้นึกถึงความเจ็บช้ำที่ผ่านมา ทั้งที่เมื่อวานเธอถูกมันบีบคั้นทุกวินาที เธอมองมือที่กำลังล้างผักแต่ละใบอย่างช้าๆ น้ำเย็นที่ตักจากโอ่งดินใบใหญ่ทำให้เธอรู้สึกสบายมือ เธอนึกอยากเอาขันตักน้ำทั้งโอ่งราดรดตัวให้เปียกโชกด้วยซ้ำ อาหารมื้อเย็นที่ลานหลังบ้านผ่านไปอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องพูดถึงรสชาติที่ลุงอ๊อดปรุงอย่างสุดฝีมือ การพูดคุยถึงเรื่องราวสมัยเป็นนักศึกษาและวีรกรรมของเพื่อนแต่ละคนสร้างความครึกครื้นให้แก่เพื่อนเก่าทั้งสามอย่างยิ่ง มาลินีนอนหลับสนิทตลอดคืนนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่เธอไม่ต้องกินยานอนหลับ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มาลินีลงไปที่ลานหลังบ้านที่เธอกวาดใบไม้ไปสุมโคนต้นไว้ ทางเดินผืนหญ้าปรากฏอยู่ตามแนวที่เธอกวาด มาลินีเห็นหยาดน้ำค้างชุ่มผืนหญ้า เธออยากรู้ว่ามันเย็นชื่นใจขนาดไหน เธอถอดรองเท้าออกและก้าวไปบนทางเดินธรรมชาติ เธอก้าวอย่างช้าๆ รับรู้ได้ถึงสัมผัสแห่งความเย็นที่ฝ่าเท้า มีหนามเล็กๆ ที่ทำให้ระคาย เธอก้าวต่อไป เท้าเปียก เยียบเย็น มีก้อนกรวดก้อนหินซ่อนอยู่ใต้เศษใบไม้แห้ง เธอรู้สึกได้ มาลินีสูดลมหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ทำไมนะเธอถึงทนทุกข์กับเรื่องที่ผ่านมาแล้วมากมายถึงเพียงนั้น เธอนึกถึงความผิดพลาดที่ทำลงไป เธอรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ มาลินีเริ่มกลับไปคิดเรื่องเดิมอีกครั้ง ทันใดนั้นเท้าของเธอเหยียบลงบนสิ่งหนึ่งเสียงดังแผละ มาลินีสะดุ้ง รีบก้มลงมอง พลันสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ก็อันตรธานไป เธอเห็นเปลือกหอยทากที่แตกละเอียดกองอยู่ในเมือกลื่น เห็นตัวหอยที่กำลังขยับเขยื้อน หนวดสองข้างชูส่ายไปมา ฉับพลันความรู้สึกผิดและสงสารก็เข้าแทนที่สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ มาลินีรีบหยิบใบไม้มาช้อนหอยทากที่กำลังขยับร่างอย่างลำบากไปไว้ในพงหญ้า เธอกล่าวขออโหสิกรรมกับหอยผู้น่าสงสารตัวนั้น ครู่หนึ่งมาลินีลุกขึ้น ก้าวเดินต่อ คราวนี้เธอใช้ความระมัดระวังในการย่างเท้าโดยทอดตามองบนพื้นเบื้องหน้า เธอก้าวเลี่ยงฝูงมดที่กำลังเดินเป็นแถวตามพื้นดิน เธอได้ยินเสียงนกร้อง เสียงกิ่งไม้ไหว เธอได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ที่ตกกระทบพื้น ในช่วงเวลานั้นเธอสังเกตว่าความคิดเจ็บปวดรวดร้าวไม่มีโอกาสแทรกเข้ามาได้เลย เธอประหลาดใจมากกับการค้นพบนี้ ครู่ใหญ่ผ่านไปมาลินีเดินกลับเข้าบ้าน กาแฟหอมฉุยตั้งรออยู่บนโต๊ะ “เป็นไง ไอ้น้อย ไปเที่ยวไหนมา” เสียงลุงอ๊อดทักทายมาจากในครัวอย่างอารมณ์ดี เขามองลอดหน้าต่างออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วและเห็นมาลินีถอดรองเท้าเดินไป-กลับอย่างช้าๆ ตามรอยทางที่เธอกวาดจนเตียนโล่งด้วยมือตนเอง เขาพยักหน้าหงึกๆ อย่างพอใจ “เดินเล่นน่ะลุง อากาศดี อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินอย่างนี้เลย ไม่เคยเหยียบดินด้วยซ้ำ ได้แต่ลงจากคอนโดฯ ไปลานจอดรถ ลงรถ เดินเข้าสำนักงาน ขึ้นลิฟท์” มาลินีตอบยิ้มๆ และมองไปทางแป้งร่ำที่กำลังอาบน้ำให้น้องเดียว เด็กน้อยหัวเราะร่าอยู่ในกะละมังพลาสติกใบใหญ่ หลังอาหารเช้า มาลินีลงจากเรือนและลงมือกวาดลานในสวนหลังบ้านอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องรอแป้งร่ำชวน ช่วงสายเธอซักผ้าของตนเองและทำโน่นทำนี่ไปพร้อมๆ กับแป้งร่ำ ตกบ่ายเธอนอนอ่านหนังสือนิทานจนม่อยหลับไป จนถึงช่วงเย็นเมื่อตะวันคล้อยต่ำ มาลินีหยิบรองเท้าวิ่งซึ่งเธอเก็บไว้ท้ายรถออกมาสวม เธอวิ่งเหยาะๆ ออกจากรั้วบ้านของแป้งร่ำไปตามทาง ผู้คนที่เดินสวนมาต่างมองเธออย่างแปลกใจ มาลินียิ้มและโบกมือให้พวกเขา เธอวิ่งต่อไปจนเหงื่อโซมร่างแล้วค่อยผ่อนฝีเท้าลงเป็นการเดินเร็ว เมื่อกลับมาถึงบ้านเธอตักน้ำเย็นฉ่ำจากโอ่งดินในห้องน้ำราดรดตั้งแต่ศีรษะลงไปเพื่อชำระล้างร่างกาย จากนั้นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้ามาช่วยแป้งร่ำทำอาหารมื้อค่ำ มาลินีทำเช่นนี้ติดต่อกันจนถึงวันศุกร์ แต่ละวันที่ผ่านไปแผลใจของเธอได้รับการเยียวยาจนหายสนิท แล้ววันเสาร์ก็เวียนมาอีกครั้ง มาลินีกล่าวคำอำลาครอบครัวเพื่อนรักด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ แป้ง ลุงอ๊อด เราคิดถูกที่ตัดสินใจมาที่นี่ จากนี้ไปเรารับปากว่าจะไม่เดินในเส้นทางที่ผิดพลาดอีก” มาลินีขับรถกลับกรุงเทพฯ ด้วยจิตใจปลอดโปร่ง แม้ว่ามีบางชั่วขณะที่เธอหวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่เธอก็ปัดมันออกไปและตั้งสติประคองพวงมาลัยขับรถอย่างระมัดระวัง หลังกลับจากเชียงใหม่แล้วกิจวัตรหนึ่งของมาลินีคือการไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะในเวลาเย็น การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาลินีมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย มันช่วยให้เธอสามารถกลับเข้าสู่ความสมดุลของชีวิตได้โดยไวและไม่มีปัญหาด้านสุขภาพหลังจากจิตใจถูกกระทบกระแทก สองปีจากนั้นมาลินีพบรักกับคนชายคนใหม่ เขาคือชัยภัทรหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการผู้เซ็นอนุมัติให้เธอลาพักร้อนหลังจากสังเกตเห็นอาการไม่เป็นสุขและผลงานที่ตกต่ำและผิดพลาดของหญิงสาว ซึ่งเมื่อเธอกลับจากเชียงใหม่แล้วเขาแนะนำให้เธอปรับปรุงการทำงานและให้กำลังใจจนเธอสามารถแก้ไขให้ทุกอย่างกลับมาดีกว่าเดิม ความใกล้ชิดกันทำให้หนุ่มสาวทั้งคู่เริ่มเห็นอุปนิสัยใจคอของอีกฝ่าย ชัยภัทรชื่นชมมาลินีที่เธอใส่ใจพัฒนาการทำงานขึ้นมาสู่ระดับยอดเยี่ยมได้หลังจากเกือบทำให้บริษัทเสียหายมาแล้ว ส่วนมาลินีรู้สึกถึงความจริงใจและความปรารถนาดีที่หัวหน้างานของเธอพยายามหนุนช่วยเพื่อให้เธอยืนหยัดมั่นคงได้ในบริษัทที่ทั้งสองทำงานอยู่ ปี 2558 ชัยภัทรและมาลินีตกลงใจแต่งงานกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม