เอลล่าที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารที่อยู่ในมือ ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นขัดจังหวะ ก๊อก ก๊อก ก๊อก เอลล่าเอ่ยอนุญาตออกไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะคิดว่าเป็นเลขาของเธอ
"เชิญค่ะ"
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างที่คุ้นเคยของคุณหมอเจบีผู้เย็นชาแต่อบอุ่นเฉพาะกับคนในครอบครัวอย่างลูกสาวและภรรยา เขาเดินโอบเอวภรรยาคนสวยสุดรักสุดหวงอย่างคุณหมอเจ้าเอยเดินเข้าไม่ใช่เลขาอย่างที่เธอคิด
"คุณพ่อคุณแม่!!! มาได้ยังไงคะเนี่ย??" เอลล่ามองทั้งสองท่านคนด้วยตกใจเพราะไม่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองที่มาถึงที่นี่
“ก็มาดูลูกสาวที่บ้างานจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องน่ะสิ ปล่อยให้แม่คิดถึงและเป็นห่วง เลยต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเองว่ายังสบายดีอยู่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร” เจ้าเอยพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นกับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เธอค่อนข้างเป็นห่วงเอลล่าเพราะของงานบริษัทในเครือ อัศวพิภพกุล เกือบทั้งหมดตอนนี้เอลล่าเป็นคนดูแล เพราะลูก ๆ อีกสามคนของเธอยังเรียนไม่จบ โดยเฉพาะสองหนุ่มคู่แฝดที่เรียนแพทย์เฉพาะทางอยู่ต่างประเทศ ทั้งสองหนุ่มนั้นเลือกเดินตามรอยเธอกับสามีที่เป็นหมอทั้งคู่ ส่วนลูกสาวคนเล็กก็ยังเรียนอยู่มหาลัยยังไม่จบเหมือนกัน ดังนั้นภาระทุกอย่างเลยต้องมาตกอยู่ที่ลูกสาวคนโตเอลล่าคนเดียว ซึ่งเรื่องนี้เธอก็เป็นห่วงอยู่ไม่น้อยแต่ก็ทำได้เพียงให้กำลังใจและคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ
"เอลสบายดีค่ะ แค่ช่วงนี้งานเยอะนิดหน่อย เอลอยากเคลียร์งานทุกอย่างให้จบก่อน เพราะกำลังจะเริ่มโปรเจคใหม่เร็วๆ นี้" เอลล่าตอบด้วยรอยยิ้มหวานให้กับความเป็นห่วงเป็นใยที่พ่อแม่มีให้เธอเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ทำแต่งานแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนล่ะลูก??” เจ้าเอยเอ่ยถามเอลล่าด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแต่ก่อนที่เอลล่าจะได้ตอบอะไรน้ำเสียงราบเรียบที่แสดงถึงความหวงลูกสาวของคุณหมอเจบีก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เจ้าเอยต้องหันไปมองคนข้างด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ กับสายตาขบขัน
"เอยครับ!!!"
"อะไรคะ?? อย่าบอกนะว่าเฮียหวงลูก ลูกสาวเฮียอายุไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วด้วย"
“แต่...” เจบีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกเจ้าเอยพูดแย้งขึ้นมาเสียก่อนเลยทำให้เขาหาคำค้านอะไรมาแย้งเธอไม่ได้อีก เพราะมันคือเรื่องจริงแถมตอนนั้นเจ้าเอยยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
"ตอนเฮียจีบเอย ตอนนั้นเอยก็อายุประมาณนี้แหละ อย่าลืมนะคะ" เจ้าเอยพูดยิ้มๆ พร้อมกับหันไปมองหน้าสามีที่ทำหน้าบึ้งใส่เธอที่โดนเธอดักทางเอาไว้ได้ เอลล่าได้แต่นั่งอมยิ้มให้กับการกระทำของพ่อกับแม่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่พ่อเธอก็ไม่เคยชนะแม่ได้สักครั้ง
"ว่าแต่ คุณพ่อคุณแม่มาถึงที่นี่เพื่อมาดูเอลอย่างเดียวเหรอคะ?"
“เปล่าจ้ะ แม่มาชวนเอลไปทานอาหารด้วยกัน”
“อ๋อ... ค่ะ งั้นขอเอลเซ็นเอกสารในแฟ้มนี้ให้เสร็จก่อนนะคะ มันเป็นเอกสารด่วน”
“ได้จ้ะ แม่กับพ่อรอได้” เจ้าเอยพูดกับเอลล่าด้วยรอยยิ้มส่วนเจบีเพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินโอบเอวเจ้าเอยไปนั่งที่โซฟาด้วยกันระหว่างรอเอลล่าเคลียร์งานให้เสร็จ
“ขอบคุณค่ะ” เอลล่าหันกลับมาสนใจเอกสารอย่างเร่งรีบแม้จะมีงานมากมายที่ต้องจัดการ แต่ความรักและความห่วงใยจากครอบครัวก็สำคัญและสำคัญยิ่งกว่างานเสียอีก
ทันทีที่เอลล่าและเจ้าเอยรวมทั้งเจบีเดินเข้ามาในร้านอาหารก็กลายเป็นจุดเด่นสะดุดตาเพราะความสวยความหล่อที่โดดเด่นหรือแม้แต่ท่าทางที่ดูดีไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกสายตาและความสนใจของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทั้งสามคนได้ที่นั่งและสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างที่รออาหารอยู่ทุกคนบนโต๊ะก็พูดคุยกันเบา ๆ เกี่ยวกับเรื่องทั่วไป
“คุณพ่อคุณแม่ เอลขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
“จ้ะ” เจ้าเอยยิ้มตอบขณะพยักหน้าตอบรับ เอลล่าลุกออกจากโต๊ะด้วยท่าทางสง่างามเดินตรงไปยังห้องน้ำ ความสวยของเธอดึงดูดสายตาของผู้คนในร้านโดยเฉพาะผู้ชายให้หันมามองราวกับต้องมนต์สะกด
หลังทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเดินกลับโต๊ะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้เอลล่าต้องก้มลงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย แต่จังหวะที่เธอกำลังหาโทรศัพท์อยู่นั้นบังเอิญเดินชนเข้ากับคนตรงหน้าอย่างจังโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ว้าย!!!” เอลล่าอุทานด้วยความตกใจเกือบจะหงายหลังล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นถ้าไม่มีอ้อมแขนของใครบางคนช่วยโอบกอดเธอไว้
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มและอบอุ่นถามขึ้นด้วยความตกใจที่เจือไปด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันเดินไม่ดูทางจนชนคุณเข้า” เอลล่าเอ่ยขอโทษพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่เธอเดินชนและก็เป็นคนคนเดียวที่ช่วยเธอไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองที่พื้น
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและในจังหวะทั้งคู่สบตากันราวกับสรรพสิ่งรอบตัวหยุดหมุน ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มหวาน ๆ ของเอลล่าก็ทำให้หัวใจเขากระตุกแล้วเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฉันต้องขอโทษและขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ” เอลล่าพูดเสียงเบาเมื่อรู้สึกถึงอาการประหม่ากับสายตาของเขาจนเกิดอาการเขินอายกับใบหน้าที่เริ่มเห่อร้อนจนตัวเธอเองยังรู้สึกได้
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เอลล่าเอ่ยพร้อมกับก้าวถอยหลังห่างจากตัวเขาด้วยความระมัดระวังเพราะกลัวจะเผลอซุ่มซ่ามสะดุดอะไรเข้าอีก
“ครับ” เขาพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ติดอยู่ แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้หัวใจของเอลล่ากระตุกหนักเข้าไปอีกเธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้พ้นจากตรงนั้นโดยเร็ว
เมื่อกลับมาที่โต๊ะอาหาร เอลล่าพยายามข่มอารมณ์และหัวใจที่กำลังสั่นไหวกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญแต่เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของเธอนั้นยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง
“เป็นอะไรลูก ไม่สบายหรือเปล่าทำไมหน้าแดง ๆ” เจ้าเอยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นใบหน้าของเอลล่าขึ้นริ้วแดงไปทั่วใบหน้า
“เปล่าค่ะ เอลไม่ได้เป็นอะไรก็แค่อากาศข้างนอกมันค่อนข้างร้อน” เอลล่าตอบพร้อมรอยยิ้มที่พยายามให้ดูเป็นปกติที่สุดทั้งที่ภายในใจเธอตอนนี้กลับเอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุด
ครูซเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่ติดอยู่บนใบหน้า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจอย่างไม่จางหาย แม้จะพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากความรู้สึกนั้นไปได้
“ว่าแต่มีเรื่องดี ๆ อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ถึงได้ทำให้คุณครูซดูมีความสุขได้ขนาดนี้” กายถามด้วยน้ำเสียงสงสัยพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นมองครูซอย่างจับผิด ปกติครูซจะเป็นคนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ใช่คนอารมณ์ดีหรือเย็นชาตลอดเวลาแต่การที่เขามีท่าทีที่เปลี่ยนไปแสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
“ไม่มีอะไร”
“แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ” กายยังคงไม่ยอมแพ้เพราะเขารู้จักกับครูซมานานพอที่จะสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนออกไปห้องน้ำอารมณ์หนึ่งกลับมาอีกอารมณ์หนึ่ง
“ยุ่ง!!” ครูซพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนตวัดสายตาดุดันมองกายทำให้กายต้องยอมเงียบแต่ก็ไม่สามารถหยุดสายตาสงสัยที่ยังคงจับจ้องมองมาที่ครูซได้เลย
“ครับ ๆ ไม่ถามแล้วก็ได้”