หลังทานข้าวเย็นเสร็จ
พีชชวนไปนั่งเล่นที่ห้อง แน่นอนว่าฉันตอบตกลงเพราะอยู่ห้องคนเดียวก็เหงาอยู่ดี
บางคนอาจจะคิดว่าสนิทกันง่ายเกินไปรึเปล่า ยังไงดีล่ะ... เราสองคนรู้โดยสัญชาติญาณว่าคนนี้แหละสามารถเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจ ยิ่งได้คุย ได้แลกเปลี่ยนความเห็น ยิ่งรู้เลยว่าทัศนคติและนิสัยของเราคล้ายกันมาก แถมยังมาจากภาคเหนือเหมือนกัน เรียนเอกเดียวกัน อยู่หอเดียวกันอีก มันเลยง่ายที่จะคบกันยังไงเล่า!
ฉันนั่งเล่นที่ห้องพีชจนเกือบสองทุ่มก็ขอตัวกลับ พอถึงห้องคุณแม่วีดีโอคอลมาพอดีว่าถึงบ้านแล้ว ระหว่างที่เราสองแม่ลูกคุยกัน คุณพ่อก็มาร่วมแจมเป็นครั้งคราว แล้วเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอฉันเล่าให้ฟังว่าได้เพื่อนใหม่มาจากแพร่ เรียนเอกเดียวกัน อยู่หอเดียวกันและเพิ่งไปทานข้าวด้วยกันมา... คุณแม่ทั้งตื่นเต้นและหายห่วงไปเยอะเลยที่ลูกสาวคนนี้ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ฮ่าๆๆ
พอวางสายฉันก็อาบน้ำสระผมอะไรไป เมื่อเป่าผมแห้งสนิทก็อยากเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ เลยเปิดตู้เลือกกระเป๋าว่าจะเอาใบไหนไป ม. จากนั้นก็หยิบกระดุมโลหะออกมาเพื่อจะนำมาใส่เสื้อนักศึกษา และตอนนี้เองเพิ่งนึกออกว่าส่งชุดไว้ที่ร้านซักรีด
หมับ! ฉันคว้าหน้าจอมือถือขึ้นมาดูเวลา สามทุ่มครึ่งละ ถ้าลงไปเอาตอนนี้ยังทันอยู่เพราะร้านปิดสี่ทุ่ม แต่ถ้าเป็นพรุ่งนี้ไม่ได้ถามรายละเอียดด้วยไงว่าร้านเปิดกี่โมง เกิดเปิดแปดโมงเช้านี่ตายเลยนะ ต้องขึ้นหอประชุมใหญ่ตอนแปดโมงด้วย ลงไปเอาเลยดีกว่า เตรียมพร้อมไว้ก่อนดีที่สุด ไม่ต้องมาเสี่ยงดวงรอถึงพรุ่งนี้หรอก เกิดร้านเปิดช้าล่ะแย่เลย!
พอตัดสินใจได้คนขี้ลืมอย่างฉันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากหอเพียงลำพัง จะชวนพีชมาด้วยก็กระไรอยู่... แบบว่าเกรงใจอ่ะ ขอสารภาพตามตรงฉันไม่เคยออกไปไหนเวลานี้คนเดียวมาก่อน ปกติตอนอยู่เชียงใหม่สองทุ่มนี่คืออยู่ในบ้านละ ถ้าจำเป็นต้องออกข้างนอกก็มีคนคอยไปส่งตลอด แอบรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันแต่คงไม่เป็นไรหรอก แม้ผู้คนจะบางตากว่าตอนหัวค่ำก็ยังพอมีอยู่ ไฟก็สว่างโร่ ร้านรวงก็ยังเปิด ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก!
ฉันรีบสาวเท้าไปร้านซักรีดแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง
พรึ่บ! ดันมีใครบางคนโผล่พรวดเข้ามาตรงหน้าทำเอาหยุดเท้าแทบไม่ทัน
“พี่ขอไลน์น้องคนสวยได้มั้ยครับ”
ขวับ! ฉันเงยหน้ามองคนพูด ก็ว่าอยู่ได้กลิ่นละมุดหึ่ง ตางี้เยิ้มเชียว... ไม่บอกก็รู้ ดื่มมาแน่
“โทษทีค่ะ พอดีแฟนไม่ชอบให้ไลน์คนแปลกหน้า ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันบอกปัดเสียงเรียบแต่ดันมีเสียงหัวเราะเหมือนสะใจขึ้นมา พอเหลือบตามองก็เห็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายกลุ่มใหญ่อยู่ห่างไปไม่ถึงเมตรกำลังมองมาด้วยสายตาขบขัน ดูจากการแต่งตัวแล้ว...น่าจะไปเที่ยวกลางคืนรึเปล่า
“แห้วแดกมั้ยล่ะมึง” หนึ่งในกลุ่มนั้นตะโกนถามแถมยังโห่ร้องกันโครมใหญ่
“เสือก!” ผู้ชายที่เข้ามาขอเบอร์ฉันหันไปชูนิ้วกลางใส่ แสดงว่ารู้จักกัน ต้องรีบไปละ...ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร
ฉันถือโอกาสที่ผู้ชายตรงหน้าหันไปหาเพื่อน รีบเดินมาทางขวา หมับ! แต่ไอ้บ้านี่ดันจับข้อมือฉันอย่างไว นี่มันอุกอาจเกินไปแล้วนะ!
“อย่าเพิ่งไปครับสิคนสวย”
“ปล่อย!” ฉันใช้เสียงแข็งพลางสลัดข้อมือขึ้นลงแต่ไอ้บ้าตรงหน้าดันยิ้มกว้างเหมือนชอบใจที่โดนเหวี่ยงใส่... โรคจิตชะ มัด!
“กูแนะนำว่าถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว ปล่อยมือเดี๋ยวนี้! อย่ายุ่งกับแฟนกู!” น้ำเสียงดุดันของใครบางคนทำให้ฉันหันซ้ายหันขวา... ใครกันที่อ้างตัวเป็นแฟนฉัน?
พะ! พี่หล่อโลกละลายคณะวิศวะปี 2 ที่เจอเมื่อเย็นนี่นา! พี่เค้ากำลังใช้สายตาเกรี้ยวกราดมองไอ้บ้าโรคจิตที่จับมือฉันอยู่
“พี่คะ!” ฉันเรียกพี่หล่อโลกละลายอย่างไว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร รู้แค่พี่เค้ายื่นมือมาช่วยฉันแล้ว
“ไอ้เหี้ยท็อป มึงปล่อยมือน้องเค้าเว้ย!” หนึ่งในเพื่อนของไอ้โรคจิตตะโกนสั่งแถมวิ่งเข้ามาบีบข้อมือไอ้บ้านี่ด้วยความไวแสง ในที่สุดข้อมือของฉันก็เป็นอิสระ ฉันรีบวิ่งมาหลบหลังพี่หล่อโลกละลายทันที
“ทำไมวะ มึงกลัวไร” ไอ้โรคจิตถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“กลัวตีนกูไงไม่น่าถาม!” พี่หล่อโลกละลายโพล่งเสียงเข้ม
“มึงหุบปากไอ้ท็อป! โทษที เพื่อนกูไม่รู้ว่าน้องคนนี้เป็นเด็กมึง” พอสั่งเพื่อนโรคจิตของตัวเองแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็รีบขอโทษขอโพยร่างสูงใหญ่ที่เข้ามาช่วยฉันเป็นการใหญ่
“กูบอกไปแล้วว่านี่แฟนกู ไม่ใช่เด็ก เรียกให้ถูกด้วย” เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังช่วยฉันอยู่ใช้น้ำเสียงข่ม พอชะเง้อคอมองหน้าฉันก็เห็นอีกฝ่ายถึงกับทำหน้าลนลาน
“โทษที กูพูดผิดเอง แฟนก็แฟน”
“กูหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบวันนี้ขึ้นอีก” พี่หล่อโลกละลายพูดเสียงเข้ม
“ไม่มีแล้ว พวกกูรู้ละว่าน้องเค้าเป็นแฟนมึง จะไม่มีใครกล้ายุ่งกับน้องเค้าอีก กูขอตัว” ว่าแล้วผู้ชายคนนั้นก็ลากเพื่อนโรคจิตของตัวเองไปรวมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ จากนั้นก็ซุบซิบกันด้วยสีหน้าร้อนรน ก่อนที่กลุ่มนั้นจะมองมาทางนี้อย่างเกรงๆ และเดินจากไปทั้งแกงค์อย่างรวดเร็ว
ฟู่ว! ฉันเป่าลมจากปากอย่างโล่งอก เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ แค่ลงมาเอาเสื้อผ้าแป๊บเดียวเอง ดันโดนลวนลามจนได้... ต่อไปดึกๆ ดื่นๆ ไม่กล้าลงมาคนเดียวแล้ว ฮือ!
“น้องเป็นไรมั้ยครับ” พี่หล่อโลกละลายหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มหูต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
“ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าก่อนจะยกมือไหว้พี่เค้าอย่างสำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่ได้พี่เค้าเข้ามาช่วย...ไม่รู้ป่านนี้ตัวเองจะเป็นยังไง ฮือ! คิดแล้วยังกลัวไม่หาย “ขอบคุณพี่มากเลยนะคะที่ช่วยหนูไว้ ขอบคุณจริงๆ”
“พี่ไม่ได้ชื่อมากครับ พี่ชื่อเดย์” ว่าแล้วคนตรงหน้าก็คลี่ยิ้มสว่างไสวทำเอาฉันเผลอหัวเราะออกมาเมื่อโดนคนหล่อตบมุกใส่ จากที่เมื่อกี้ยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์อุกอาจ ความรู้สึกนั้นค่อยๆ มลายหายไปจากใจเพราะพี่เดย์เลย พี่เค้าทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“โอเคค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่เดย์ ขอบคุณจากใจของหนูเลย” ฉันค้อมหัวขอบคุณอีกรอบก่อนจะเงยหน้าสบตากับเจ้าของดวงตาคู่หวานระยับ
“เปลี่ยนคำขอบคุณ เป็นให้พี่รู้จักน้องได้มั้ยครับ” ฉันงงกับคำพูดของพี่เดย์ในตอนแรก ก่อนจะ เก็ทในเวลาต่อมา เลยแนะนำตัวเองบ้าง
“หนูชื่อฝันหวานค่ะ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่เดย์เข้ามาช่วยรึเปล่า ฉันเลยกล้าบอกชื่อด้วยความสบายใจและกล้าคุยกับพี่เดย์อย่างสนิทใจ
“ชื่อน่ารักสมตัว เป็นอันว่าเราสองคนรู้จักกันแล้วเนอะ” พี่เดย์ยักคิ้วด้วยสีหน้ากวนๆ
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าพลางส่งยิ้มหวานให้คนหล่อ
“แล้วน้องฝันหวานมาทำไรแถวนี้คนเดียวครับ” จริงสิ! ฉันต้องเอาเสื้อผ้านี่นา มัวแต่เสียเวลากับเรื่องตกใจจนแอบหลอน หวังว่าร้านคงยังไม่ปิดนะ!
“หนูลงมาเอาเสื้อผ้าที่ร้านซักรีดค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง เป็นผู้หญิงเดินคนเดียวมันอันตราย” ตอนแรกฉันจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่พอได้ฟังเหตุผลของพี่เค้าก็เห็นว่าจริง เพราะงั้นเลยบอกขอบคุณออกไปแทน
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่พี่เดย์มาทำอะไรแถวนี้เหรอคะ” ฉันถามอย่างนึกได้ เอ๊ะ! หรือว่าพี่เค้าอยู่หอแถวนี้เหมือนกัน
“พี่ก็มาเอาเสื้อที่ร้านซักรีดครับ เพิ่งคิดได้ตอนใกล้ถึงคอนโดเลยวนรถกลับมา พรุ่งนี้ต้องใส่เข้าคณะแต่เช้า” พี่เดย์บอกอย่างง่ายๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เชื่อมั้ยว่าแค่คำพูดไม่กี่ประโยคของพี่เค้าทำให้ฉันหายเกร็งไปเยอะเลย
“งั้นเป็นโชคดีของหนูสิคะที่พี่กลับมาเอาเสื้อ ไม่งั้นหนูคงแย่แน่เลย” ฉันว่าพลางหยีตาเมื่อคิด ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แถมเป็นเวลาเดียวกับที่เราสองคนถึงหน้าร้านพอดี สรุปมาเอาเสื้อผ้าร้านเดียวกันซะงั้น
“มา... พี่ถือให้ครับ” พี่เดย์บอกอย่างใจดีพลางเอื้อมมือไปรับเสื้อ 5 ตัว กระโปรงอีก 2 ตัวจากเจ้าของร้านแทนฉัน รวมกับเสื้อช็อปของพี่เค้าแล้ว... เป็น 8 ตัวที่อยู่ในมือใหญ่
“ขอบคุณค่ะ แต่หนูว่าหนูถือเองดีกว่าค่ะ” ฉันบอกอย่างเกรงใจแต่พี่เดย์ยังยืนคำเดิม
“พี่ว่าน้องฝันหวานถือคนเดียวไม่น่าไหว ตัวเล็กแค่นี้เอง น้องถือกระโปรงที่เหลือดีกว่า ขืนหอบไปเองจะยับเปล่าๆ” ก็จริงของพี่เดย์... ตอนส่งรีดฉันใส่ถุงกระดาษมาไง ตอนกลับจะให้ใส่ถุงเหมือนเดิมก็ไม่ได้อีก เพราะงั้นมีคนช่วยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“หนูต้องรบกวนพี่เดย์แล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยหนูอีกครั้ง” ฉันบอกอย่างเกรงใจเมื่อออกมานอกร้าน ในมือมีแค่กระโปรงสามตัว แล้วดูพี่เดย์สิ... ไม้แขวนเต็มสองมือเลย
“เล็กน้อยครับ พี่ยินดีช่วยคนน่ารักอย่างน้องฝันหวานเสมอ” ว่าแล้วก็ขยิบตาขวาให้กันแถมยังส่งยิ้มละลายใจมาอีก
ตึกตัก! ตึกตัก! ฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงมากแต่ต้องทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
“หอหนูอยู่ตรงนี้แหละค่ะ” ฉันบอกพี่เดย์เมื่อเราสองคนเดินมาถึงหน้าหอแล้ว
“ให้พี่ขึ้นไปส่งมั้ย น้องฝันหวานถือขึ้นคนเดียวคงไม่ไหว” พี่เดย์ว่าพลางมองไม้แขวนในมือตัวเองทำให้ฉันมองตาม
“อย่าดีกว่าค่ะ หนูเกรงใจ” ฉันรีบปฏิเสธทันทีเพราะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักสดๆ ร้อนๆ หอบหิ้วของขึ้นไปส่งถึงหน้าห้อง ถึงพี่เค้าจะเคยช่วยฉันเอาไว้แต่ยังไงมันก็ไม่ควรอยู่ดี “แต่ถ้าไม่รบกวนมากจนเกินไป พี่เดย์รอหนูแป๊บได้มั้ยคะ เดี๋ยวหนูเอาขึ้นไปเก็บรอบนึง ค่อยลงมาเอาอีกรอบ”
“ได้สิครับ งั้นพี่ยืนรอตรงนี้ละกัน” พี่เดย์บอกด้วยรอยยิ้ม
“เข้าไปนั่งรอที่โซฟาด้านในดีกว่าค่ะ สบายกว่าเยอะเลย” ฉันบอกพลางผลักประตูกระจกหน้าหอและเชื้อเชิญพี่เดย์ให้เข้ามาด้านใน ร่างสูงยอมเข้ามาแต่โดยดีพร้อมกับนั่งรอที่โซฟาด้านล่าง พอฉันเอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บรอบนึง ก็รีบลงมาอีกครั้งเพราะกลัวพี่เดย์จะเสียเวลารอนาน
“ขอบคุณพี่เดย์มากเลยนะคะที่วันนี้ช่วยหนูไว้หลายอย่างเลย แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พี่เสียเวลารอ” ประโยคแรกฉันบอกอย่างสำนึกในบุญคุณ ประโยคถัดมาบอกอย่างเกรงใจ
“แค่นี้เล็กน้อยครับ อย่าคิดมาก” พี่เดย์ยิ้มอย่างใจดี
“เล็กน้อยที่ไหนกันคะ หนูว่าเยอะมากเลยแหละ ถ้าพี่เดย์อยากให้หนูช่วยอะไรบอกได้เลยนะคะ หนูยินดีทุกอย่าง” ฉันบอกความรู้สึกจากใจออกไปเพราะอยากตอบแทนพี่เค้าจริงๆ
“ถ้างั้นว่างๆ ไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อดีมั้ย”
“หา!” ฉันตาโตอ้าปากหวอ ตกใจกับคำพูดของร่างสูงตรงหน้า
“ยังไงเดี๋ยวพี่นัดเวลาอีกที กู้ดไนท์ครับ พี่กลับละ” พี่เดย์ยักคิ้วพลางส่งยิ้มหวาน แถมยังผลักประตูกระจกออกไปทิ้งให้ฉันยืนเอ๋ออยู่ที่เดิม
อะไรคือไปทานข้าวด้วยกัน? แล้วดูสิ...ฉันยังไม่ทันปฏิเสธ พี่เค้าก็ไปซะแล้ว
โลกนี้มีงี้ด้วย ตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการไปทานข้าว... ใช่เหรอ!!