ผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายของคนทั้งสองที่กำลังนอนกอดกันกลมหลังจากผ่านการซุกไซ้กันอย่างหนักหน่วงมาเมื่อคืนนี้ ความอุ่นจากผ้านวมและอ้อมกอดทำให้คนทั้งคู่หลับสบายแม้อากาศจากแอร์จะเย็นยะเยือกสักเพียงไหนก็ตาม
“อื้อ...” ศิลาครางในลำคอเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของอาโปที่กำลังเคลื่อนตัวเพื่อเปลี่ยนท่านอน
“ขอโทษครับ พี่ทำหนูตื่นรึเปล่า” อาโปเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียง
ศิลาส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบ
จุ๊บ~
“มอร์นิ่งคิสครับ” อาโปยื่นหน้าเข้ามาบรรจงกดริมฝีปากของตัวเองลงบนแก้มของศิลาด้วยความทะนุถนอม
“ตื่นไวจังครับวันนี้ สตูฯ ปิดไม่ใช่เหรอครับ” ศิลาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ใช่ครับ” อาโปอมยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นลูบปอยผมที่ตกมาปรกหน้าผากของอีกฝ่าย “แต่วันนี้พี่อยากทำอาหารให้หนูกินนี่นา”
“น่ารักจัง”
“นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่ทำเสร็จแล้วจะขึ้นมาเรียกนะครับ” อาโปเอ่ยบอกก่อนจะขโมยหอมแก้มไปอีกครั้งแล้วลุกออกจากเตียง ตรงออกไปยังห้องครัวทันที
ศิลาพยายามจะหลับตาลงเพื่อนอนต่อ แต่พอแสงสว่างได้กระทบกับกระจกตาเข้าแล้วก็ไม่อาจทำให้เขาข่มตาหลับลงได้อีก เขาพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็แล้ว นอนคว่ำก็แล้ว นอนหงายก็แล้ว แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับต่อไปได้
มือขวาที่ว่างอยู่เอื้อมไปคว้ามือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงบริเวณใต้โคมไฟ แสงจากหน้าจอส่องสว่างขึ้นทันทีที่ศิลาปลดล็อกจอ การแจ้งเตือนแสดงผลอยู่เต็มไปหมด เขากดเปิดดูทุกแอพพลิเคชั่นที่ปรากฏตัวเลขสีแดง แล้วไล่ตอบจนหมด ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป
ร่างบางของศิลาเดินมายังห้องนั่งเล่นพร้อมกลิ่นกายหอมฉุยจากครีมอาบน้ำและโลชั่นทาผิวกาย ความสดชื่นปรากฏเด่นชัดหลังจากที่เขาได้อาบน้ำ นิ้วเรียวกดเปิดทีวีเพื่อหาอะไรดูรอเวลาที่อาโปจะทำอาหารเสร็จ เสียงเครื่องครัวดังแว่วออกมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เป็นสัญญาณว่าอาหารกำลังถูกคนพี่สร้างสรรค์อยู่
“มาแล้วววว” อาโปในชุดเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขายาวใส่ผ้ากันเปื้อนถือชามอาหารเดินมาวางไว้ตรงหน้าศิลา
“ข้าวต้มหมูเห็ดหอมหรอครับ” ศิลาถามทันทีที่เห็นหน้าตาของเมนูในชาม
“ช่ายยย”
“น่ากินมากเลยพี่โป”
“หมายถึงพี่หรือข้าวต้มครับ” อาโปยิ้มถามอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าวต้มสิครับ” ศิลายิ้มล้อเลียน
“โถ่ เสียใจนะเนี่ย” อาโปแสร้งทำหน้างอนพองแก้มตุ่ย
“แบร่!” ศิลาแลบลิ้นใส่ก่อนจะคว้าเอาช้อนมาจ้วงตักข้าวต้มขึ้นมากิน
“ระวังร้อนนะหนู” อาโปเอ่ยเตือน เพราะข้าวต้มชามนี้เพิ่งจะตักขึ้นมาจากหม้อร้อนๆ เมื่อครู่
“ครับ”
กริ๊งงงง~
เสียงริงโทนจากมือถือของอาโปดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูหน้าจอแสดงรายชื่อว่าเป็นสายเข้าจากเตชินท์ เขาจึงขอตัวลุกออกจากตรงบริเวณห้องนั่งเล่นแล้วเดินไปหามุมเงียบๆ เพื่อกดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่าย
“ว่าไงน้อง” อาโปเอ่ยทัก
(ฮัลโหลพี่ ว่างคุยป้ะ)
“ได้ๆ”
(เออ ผมไปคุยกับทีมมาละนะ สรุปว่าน่าจะเอาน้องเอ็มนี่แหละเป็นพระเอก)
“จริงปะเนี่ย! ขอบใจมากน้อง” สีหน้าของอาโปแสดงความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าลำพังเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับน้องเอ็มสักเท่าไหร่
(เห้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เด็กมันมีของ)
“นั่นแหละๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้โอกาสเด็กมัน”
(แต่ก็ยังต้องฝึกเพิ่มอีกหน่อยแหละพี่)
“อ่า เข้าใจได้”
(นั่นแหละ ผมบอกไอ้ศิลาไปละ มันบอกเดี๋ยวซัพพอร์ตเอง)
“หืม? ขนาดนั้นเลยหรอ” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
(ช่ายพี่ มันบอกเดี๋ยวสตูฯ ดูแลเอง จะเป็นสปอนเซอร์ให้น้องเอ็มงี้)
“อ่อ...” อาโปตอบแล้วเงียบไป
(มีอะไรปะพี่) เตชินท์ถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” อาโปรีบบอกปฏิเสธเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก
(เคพี่ ไว้คุยกัน ผมไปทำงานต่อก่อน)
“เคๆ”
อาโปกดวางสายหลังจากพูดจบ ความหงุดหงิดเริ่มปะทุขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ภายในใจ ด้วยสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินจากคำบอกเล่าของเตชินท์ ทำให้เขาค่อนข้างไม่พอใจที่ศิลาแอบตัดสินใจอะไรที่ไม่ปรึกษากันก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยต่อว่าอะไรในเรื่องงานเลย เพราะน้องก็ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เขาคิดว่ามันออกจะด่วนตัดสินใจไปสักหน่อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือสตูฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพียงเพื่อเด็กแค่คนเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะสามารถต่อยอดแล้วทำรายได้กลับคืนมาได้คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน มันควรจะต้องได้คุยกันก่อนจะตัดสินใจออกปากไปแบบนั้นกับคนอื่น เพราะนี่มันคือโลกของการทำธุรกิจ
จะบอกว่าอาโปใจแคบเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนักหรอก...
และถ้าจะบอกว่าเขาอคติกับเอ็มมากเกินไป เขาก็ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพราะความจริงก็เป็นอย่างนั้น
แต่เขาก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวจนไปขัดขวางอนาคตของเด็กหรอกนะ เพียงแต่การทำธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับหลายๆ ฝ่ายมันควรจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบเสียก่อน
อาโปเดินหน้าตึงกลับเข้ามาหาศิลาในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้กินข้าวเสร็จจนอิ่มแปล้แล้วนอนตีพุงดูทีวีอยู่
“ใครโทรมาเหรอครับ” ศิลาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับหนังที่กำลังฉายอยู่ในทีวี
“...”
ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย
“พี่โป” ศิลาเอ่ยเรียกแล้วหันขวับมามองก็เห็นสีหน้าบึ้งตึงของคนพี่จนทำเอาเขาเองอดที่จะแปลกใจไม่ได้ “พี่โปเป็นอะไรครับ”
“เรามีอะไรจะบอกพี่มั้ย” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น สายตาที่ตวัดมามองทำเอาศิลาขนหัวลุกซู่
“หืม? อะไรครับ”
“เรื่องสตูฯ ที่จะสปอนให้เอ็ม” อาโปพูดออกมาตรงๆ เพราะไม่อยากอ้อมค้อม
“อ่อ”
“ทำไมไม่ปรึกษาพี่ก่อน...”
“ก็ผมเห็นว่าเราไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” ศิลาน้ำเสียงอ่อนลงทันที
อาโปเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา เพราะเขารู้ว่าคนน้องตัดสินใจทำแบบนั้นไปก็เพราะมีเจตนาที่ดี เพียงแต่ว่ามันอาจจะลัดขั้นตอนไปเสียหน่อย แล้วอีกอย่างไอ้สายตาออดอ้อนที่ซ่อนแววเศร้าสร้อยไว้แบบนั้น ก็ทำเอาอาโปใจอ่อนไม่กล้าดุคนตรงหน้าต่อไปได้อีก
“พี่เข้าใจ แต่วันหลังมีอะไรก็บอกพี่ก่อนนะครับ”
“ครับ...”
“เพราะถ้าเกิดมันมีปัญหาอะไรขึ้นมา สตูฯ เราจะเสียประโยชน์ได้นะ เราทำธุรกิจไม่ใช่องค์กรการกุศล พี่รู้ว่าหนูใจดีเลยยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนหลอกใช้ความใจดีตรงนี้มาเอาเปรียบเราทีหลังมั้ย พี่เป็นห่วงเฉยๆ”
“แต่พี่เตก็สนิทกันมาตั้งนานแล้วนี่ครับ มีแต่คนกันเองทั้งนั้น” ศิลาเอ่ยเสริม
“แต่มันก็มีคนอื่นด้วยไงครับ”
“พี่โปหมายถึง...น้องเอ็มหรอครับ”
อาโปไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น
“ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบน้องมันที่มาวอแวกับผม แต่น้องมันเป็นเด็กดีนะพี่ เชื่อใจได้” ศิลาเอ่ยพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นขึ้น ทำเอาอาโปอดเอ็นดูไม่ได้
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แค่เตือนไว้เฉยๆ”
“งั้นน... เราทำสัญญากับเอ็มไว้ดีมั้ยครับ พี่โปจะได้สบายใจ อีกอย่างน้องเอ็มมันจะได้ไม่กล้านอกลู่นอกทางด้วย” ศิลาเสนอทางออกที่จะทำให้คนพี่รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
“ก็ดีนะ”
“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ พี่โปสบายใจได้”
“ขอบคุณครับ” มือหนาของอาโปยกขึ้นบีบแก้มยุ้ยๆ ของศิลาก่อนจะพูดต่อ “แฟนใครเนี่ยเก่งจัง”
“ก็แฟนพี่นั่นแหละ”
จุ๊บ~
ศิลาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีลอบหอมแก้มอาโปเพราะอดไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะออกมาบางๆ จนแมวเหมียวอย่างเจ้าน้องที่นอนจุ้มปุ๊กอยู่หน้าทีวีต้องหันมามอง
“เอ้อ พี่โป เดี๋ยวออกไปซื้อของเข้าบ้านกันนะครับ”
“โอเค รอพี่อาบน้ำแป๊บนะ”
“ครับผมม”
--------- The Story of Water and Stone 2 ---------
เสียงรถเข็นที่ถูกลากไปตามทางเดินดังแกรกๆ อยู่เป็นระยะ ศิลาคว้าเอาของกินนู่นนี่ที่ตัวเองและอาโปชอบลงในรถเข็น ไม่ว่าจะของสด ของแห้ง ขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งของใช้อื่นๆ หลังจากคบกันมาตั้ง 5 ปี ตอนนี้ไม่ว่าจะซื้อของอะไรพวกเขาต่างก็รู้ใจอีกฝ่ายไปซะหมด
ภาพอาโปเข็นรถและศิลาเป็นคนคอยหยิบของ เกิดขึ้นแบบนี้เสมอในทุกครั้งที่ทั้งสองคนออกมาซูเปอร์มาร์เก็ต
“พี่ศิลา!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเรียกจนทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปมอง
“เอ้า! ไอ้เอ็ม!” ศิลาเอ่ยทักเมื่อหันไปเห็นใบหน้าคุ้นเคยของน้องที่รู้จัก
“โลกกลมไปปะเนี่ย...” อาโปบ่นขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ ทำเอาศิลาที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องแอบตีไหล่ไปเบาๆ
“ไม่เอาหน่าพี่โป”
“หวัดดีครับพี่อาโป” เอ็มยกมือขึ้นไหว้ทักทายคนที่โตกว่าด้วยอาการเกร็งๆ อาโปรับไหว้ด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่
“แล้วแกมาทำไรแถวนี้อะ” ศิลาถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่รู้บ้านไอ้น้องเอ็มก็อยู่ห่างออกไปแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละฝั่งจากบ้านเขา
“มาทำธุระแถวนี้อะพี่ พี่อยู่แถวนี้หรอ”
“ช่าย” ศิลาตอบไปแทบจะทันควัน
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดังมาจากอาโปทำเอาทั้งศิลาและเอ็มต้องหันมอง
“แล้วมาซื้อของเข้าบ้านกันหรอครับ” เอ็มถามต่ออย่างระแวง
“ช่าย ปกติก็มาวีคละครั้งแหละ” ศิลาตอบพลางเดินต่อโดยมีเอ็มเดินตาม แต่สายตาของคนตัวบางก็ยังไม่วายหันไปมองคนพี่ที่เข็นรถเดินตามหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าอาโปไม่ถูกชะตากับเอ็มสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าเขาเป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับทั้งสองฝ่าย การที่จะให้เขาต้องมาตั้งกำแพงเพื่อหลีกหนีจากเอ็มก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเท่าใดนัก ทางเดียวที่จะทำได้ดีในเวลานี้ก็คงต้องหาวิธีแก้ไขให้ได้ล่ะมั้ง
“แล้วนี่ไม่ต้องไปทำธุระเหรอ มาเดินตามพี่ต้อยๆ แบบนี้” ศิลาถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนข้างกายเริ่มไม่ยินดีกับการมีอยู่ของเด็กน้อยคนนี้
“นั่นสิ” เสียงเย็นของอาโปดังขึ้น
“อ่อ... กำลังรอเพื่อนโทรมาอยู่ครับ”
“อ๋อ งั้นพี่ขอตัวก่อนดีกว่า พอดีซื้อเสร็จละ เดี๋ยวต้องไปธุระต่ออีก” ร่างบางบอกปัดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เอ็มเบาๆ “เจอกันนะน้อง”
“โอเคครับ” เอ็มยิ้มตอบ แต่สายตาแอบระแวงเหลือบมองอาโปด้วยความหวาดหวั่น แล้วจึงยกมือบ๊ายบายเมื่อคนทั้งคู่เดินผ่านไป
ศิลาพาอาโปเดินเอาของในรถเข็นไปคิดเงินด้วยสายตาสงสัยของอีกฝ่าย เพราะอาโปไล่มองตามลิสต์ที่จดมาแล้วยังได้ของไม่ครบนี่นา แล้วทำไมถึงมาคิดเงินซะแล้ว
“เรายังซื้อไม่ครบเลยนะ” อาโปยื่นลิสต์สินค้าในมือถือให้คนน้องดู
“เราไปซื้อที่อื่นก็ได้ครับ”
“ทำไมอะ ก็ซื้อให้มันเสร็จๆ ไปเลย จะได้กลับบ้านไงครับ”
“โห พี่ ก็บอกไอ้น้องเอ็มไปว่าจะไปทำธุระต่อ พี่ก็ได้ยินหนิ เราจะมาเดินซื้อต่อที่นี่ได้ไงล่ะ” ศิลาเอ่ยพูดแต่มือก็ยังหยิบของส่งให้แคชเชียร์อย่างต่อเนื่อง
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่...” คนพี่เอ่ยเสียงอ่อน
“ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ หน้าพี่ตอนเจอไอ้เอ็มงี้บูดเป็นตูดเลย ผมก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศไง เลยคิดว่าเราไปซื้อที่อื่นก็ได้เนอะ” ศิลาพูดพลางยิ้มแป้น เพราะเขาเองก็แคร์ความรู้สึกอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับน้องเอ็มก็จริง แต่การที่เขาต้องเห็นคนรักของเขาไม่สบายใจก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปล่อยไปได้ ศิลาจึงตัดสินใจเลือกทางนี้เพราะจะได้รักษาน้ำใจของอาโปเอาไว้ด้วย
ถึงแม้มันอาจจะดูเกินไปสำหรับสายตาคนอื่นๆ ก็เถอะ
--------- The Story of Water and Stone 2 ---------
ข้าวของที่ทั้งคู่ซื้อมาในวันนี้ถูกวางกองไว้เต็มเคาน์เตอร์ในครัว ก่อนที่ศิลาจะค่อยๆ หยิบออกมาจัดเรียงให้เข้าที่เข้าทาง ของแห้งจับเรียงใส่ตู้ ส่วนของที่ต้องแช่เย็นคนตัวเล็กก็จับวางเรียงใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ
กริ๊งงง~!
เสียงมือถือของอาโปดังขึ้น แต่เจ้าของโทรศัพท์ดันกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ศิลาที่กำลังจัดข้าวของที่เพิ่งซื้อมาให้เข้าที่เลยวางมือจากตรงนั้นแล้ววิ่งมาดู ก็ได้เห็นหน้าจอมือถือของคนพี่ขึ้นโชว์รายชื่อผู้ที่โทรเข้ามาว่าเป็นสายจากเตชินท์ รุ่นพี่คนสนิท
“ฮัลโหลพี่เต” ศิลากดรับสาย
(เอ้า พี่อาโปล่ะ)
“เข้าห้องน้ำอยู่อะพี่ มีธุระอะไรมั้ยครับ”
(อ่อ ไม่มีไรๆ จะโทรมาบอกว่า เดี๋ยวแวะไปหาที่บ้านนะ พอดีไปต่างจังหวัดมาเลยซื้อขนมมาฝาก)
“อ่อ ได้พี่ มาถึงละบอกนะ เดี๋ยวลงไปรับค้าบ”
(เคน้อง)
ศิลากดวางสายในขณะเดียวกันกับที่อาโปเดินออกจากห้องน้ำมาพอดี
“ใครโทรมาหรอ”
“พี่เตอะ เขาบอกว่าเดี๋ยวแวะเข้ามาหา ซื้อของมาฝากจากต่างจังหวัด”
“อ๋อ”
พอวางสายได้ไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมงสายเรียกเข้าจากเตชินท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงที่แจ้งบอกปลายสายว่ามาถึงแล้ว กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ รุ่นน้องอย่างศิลาก็รีบวิ่งแจ้นกดลิฟท์ลงไปรับทันที
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยไอ้เต” อาโปเอ่ยทักทันทีที่เตชินท์และศิลาเดินเข้ามาภายใน
“พอดีแวะไปเหนือมา ก็เลยซื้อไส้อั่ว แคปหมู แล้วก็น้ำพริกหนุ่มมาฝากอะ” เตชินท์วางถุงของฝากลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง
“เอาน้ำไรมั้ยพี่ มีน้ำส้มกับน้ำมะพร้าว” ศิลาเอ่ยถามขึ้น
“น้ำเปล่าละกัน”
“เคครับ” ศิลาตอบรับก่อนจะเดินหายเข้าครัวไป
“อะ มีอะไรก็ว่ามา” อาโปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เตชินท์ ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่เขารู้อยู่แล้วถึงจุดประสงค์ของเตชินท์ที่อุตส่าห์หอบสังขารมาถึงบ้านเขา ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเหนือแท้ๆ
“ก็เรื่องสปอนเซอร์อะแหละ”
“ศิลาว่าไง พี่ก็ว่าตามนั้นแหละ เต็มที่” อาโปเอ่ยยิ้มๆ
“นั่นแหละ ผมก็เลยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาศิลามาเล่นซีรีส์ด้วยเลยมั้ยพี่” เตชินท์กระซิบเสนอ เพราะกลัวศิลาได้ยินแล้วจะปฏิเสธไปซะก่อน
“อืมม... ก็น่าสนใจแหละ แต่เอาที่เหมาะสมดีกว่า”
“ผมไงก็ได้พี่ หาบทลงให้น้องมันได้อยู่ละ คนกันเองทั้งนั้น ให้เขียนบทใหม่เพิ่มให้ยังได้เล้ยย” เตชินท์พูดพลางหัวเราะ
“งั้นตามใจแกเลย แต่ลองถามความสมัครใจเจ้าตัวดูก่อนละกันนะ” อาโปพูดพลางหันไปมองหน้าศิลาที่กำลังเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เตชินท์
“อะไรเหรอครับ” ศิลาถามด้วยสีหน้าสงสัยขณะวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้าแขกรุ่นพี่
“ไปเล่นซีรีส์กับกูมั้ย” เตชินท์เอ่ยถามศิลาออกไปตรงๆ
“ได้หรอพี่”
“ได้ดิวะ คนกันเอง เดี๋ยวหาบทลงให้ จะได้คุ้มเงินไง”
“เงินไรวะพี่” ศิลาถามต่อ
“เอ้า! ไอ้ห่านี่ วันก่อนบอกเองว่าจะให้สตูฯ เป็นสปอนเซอร์ซีรีส์อยู่เลย”
“อ๋อ เออ ผมลืมๆ ฮ่าๆ”
“นั่นแหละ จะได้คุ้มเงินลงทุนของสตูฯ ไง”
“ไม่ดีกว่าพี่เต ผมเบื่อๆ แล้วอะ” ศิลาส่ายหัวยิกๆ เพราะพอห่างจากงานเบื้องหน้ามาสักพัก ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยถูกจริตกับงานในวงการบันเทิงสักเท่าไหร่แล้ว
“อ่าว ทำไมวะ” เตชินท์สงสัย
“ไม่รู้ดิพี่ ก็แค่รู้สึกงั้นอะ อยากอยู่เบื้องหลังมากกว่าอะ จะได้ช่วยงานพี่โปด้วย” ศิลาเอ่ยพูดพลางเอื้อมมือไปกุมมือหนาของอาโปที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกครับ เอาตามใจเราดีกว่านะ” อาโปเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่ม
“ผมตัดสินใจแล้วครับพี่โป”
“อะๆๆ เอางี้ อย่าเพิ่งรีบให้คำตอบ มึงลองเก็บเอาไปคิดดูก่อนก็ได้ กูไม่รีบหรอก ไว้สนใจเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก กูพร้อมเสียบบทให้มึงเสมอ” เตชินท์พูดแล้วยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“เคพี่ แต่ทำใจไว้เลยนะว่าผมอาจปฏิเสธ ฮ่าๆ” ศิลาพูดไปยิ้มไป ใจอยากปฏิเสธทันทีตรงนี้ แต่ก็ยังอยากรักษาน้ำใจของรุ่นพี่เลยเลือกที่จะพูดแบบทีเล่นทีจริงซะมากกว่า
“เออๆ แล้วแต่มึงเลย” เตชินท์เอ่ยตอบรุ่นน้องตรงหน้าก่อนจะหันไปหาอาโป “งั้นผมกลับก่อนนะพี่”
“เออ กลับดีๆ น้อง มีอะไรไว้คุยกันอีกที”
ศิลาอาสาลงไปส่งเตชินท์ที่ด้านล่าง อีกฝ่ายก็พูดตื๊อตลอดเวลาว่าให้ไปเล่นซีรีส์ที่เขากำกับ เพราะเตชินท์คิดว่าศิลาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดคนดูให้เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระแสคู่อาโปและศิลาที่มีมาอย่างเนิ่นนานหลายปี ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ออกสื่อ แต่พื้นที่ในโซเชียลออนไลน์ก็ยังไม่เคยหยุดพูดถึงทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย
วันรุ่งขึ้นศิลายอมแบกแคปหมู ไส้อั่วและน้ำพริกหนุ่มไปสตูฯ เพราะจะได้เอาไปแบ่งให้ป้าพรและกานต์ได้ลองชิมด้วย เขาไปถึงก็รีบเดินบึ่งเข้าไปในครัวของสตูฯ ทันที แล้วรีบจัดแจงไส้อั่ว น้ำพริกและแคปหมูใส่จานซะสวยงามจนอาโปที่เดินเข้ามาเห็นก็แอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
“โอ้โหห จัดจานซะสวยเลยครับ”
“นิดนึงครับ คนกินจะได้กินอาหารตาไปด้วยไงครับพี่โป”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องครัวที่ถูกเปิดทิ้งไว้ดังขึ้น
“คุณอาโปกับคุณศิลามาทำอะไรในครัวแต่เช้าคะ” ป้าพรเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสประจำตัว
“เอ้า! ป้าพรหวัดดีครับ พอดีเมื่อวานได้ไส้อั่วมาเยอะเลยครับ เลยเอามาแบ่งกันทานฮะ” ร่างบางเดินถือจานมาที่จัดอาหารไว้สวยงามมายื่นให้ป้าพรดู
“น่าทานจังเลยนะคะ”
“ป้าพรกินด้วยกันสิครับ ลองชิมดูเลยครับ”
“เดี๋ยวป้าเอาจานมาแบ่งไว้ดีกว่าค่ะ เพิ่งทานข้าวเช้ามา” ป้าพรเดินไปหยิบจานในครัวมาแบ่งไส้อั่วกับน้ำพริกเอาไว้ “ขอบคุณมากนะคะ”
“ครับป้า” ศิลากับอาโปยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป
จานไส้อั่วกับถ้วยน้ำพริกหนุ่มถูกวางไว้ตรงโต๊ะที่อยู่หลังเคาน์เตอร์โดยมีถุงแคปหมูวางอยู่ข้างๆ ด้วย ศิลาและอาโปหยิบส้อมจิ้มกินกันคนละคำสองคำด้วยสีหน้าที่รับรู้ถึงความอร่อยนั้น ไม่นานเสียงประตูของสตูฯ ก็ดังขึ้นพร้อมกับกานต์ที่เดินถือถุงอาหารเต็มไม้เต็มมือแบบที่เคยเป็นอยู่ประจำ
“พี่กานต์มากินไส้อั่วกัน” ศิลาร้องเรียกพลางกวักมือ
“ฮะ!” กานต์ชะงักหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คนน้องเอ่ยบอก
“อะไรพี่! ตกใจหมด”
“กูก็เอาไส้อั่วมาเหมือนกัน เมื่อวานไอ้เตมันซื้อมาฝากอะ”
“เอ้า!” ทั้งอาโปและศิลาต่างร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะร่า
“เห้อ... กินกันให้พูดเหนือได้ไปเลย” อาโปเอ่ยแซว
“เก็บไว้ก่อนละกัน ไว้ค่อยๆ ทยอยกิน” กานต์พูดก่อนจะเดินหายไปเข้าในครัวไป
--------- The Story of Water and Stone 2 ---------
วันนี้ที่สตูฯ มีคลาสเรียนช่วงบ่ายเพียงคลาสเดียวเท่านั้นก็เลยทำให้ช่วงเช้าแต่ละคนต่างก็ว่างกันหมด มีเพียงศิลาที่พอจะมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง เพราะมีคนโทรมาสอบถามรายละเอียดของแต่ละคอร์สอยู่เรื่อยๆ
พอเข้าใกล้เที่ยงวันเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวทุกครั้งที่เขามาถึงที่นี่
“หวัดดีครับพี่ศิลา” เอ็มยิ้มแฉ่งแล้วเดินตรงเข้ามานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าเคาน์เตอร์ของสตูฯ
“มาเร็วอีกละ”
“ก็อยู่บ้านละมันเบื่ออ่า”
“ไม่มาตั้งแต่เช้าเลยล่ะ” ศิลาประชด
“ก็ถ้าตื่นเร็วคงมาแต่เช้าแหละ นี่กว่าจะตื่นก็ 11 โมงละ” เอ็มพูดพลางเปิดกระเป๋าเอาขนมปังที่แวะซื้อในเซเว่นเมื่อกี้ออกมากินรองท้องก่อนจะเข้าเรียนในตอนบ่าย
“เอาอีกละ ทำไมไม่รู้จักกินข้าวกินปลามาก่อนจะมาเรียนฮะ” ศิลาเอ็ดเบาๆ แล้วส่ายหัว
“ก็ที่บ้านไม่มีไรกินอะพี่”
“เห้ออ แกนี่น้า” ศิลาเดินหายเข้าไปในครัวแล้วยกเอาไส้อั่วที่ป้าพรเพิ่งหั่นใส่จานออกมาวางที่เคาน์เตอร์ “อะ ไส้อั่ว กินเป็นปะเนี่ย”
“ของโปรดเลยพี่” เอ็มคว้ามับเข้าที่จานก่อนจะเอาอีกมือที่ว่างหยิบส้อมมาจิ้มกินทันที
“อดอยากมาจากไหนฮะไอ้เอ็ม” กานต์ที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นเข้าก็อดที่จะแซวไม่ได้
“ก็คนมันหิวนี่พี่” เอ็มหันไปตอบแล้วหันกลับมาจดจ่อกับไส้อั่วที่อยู่ตรงหน้าต่อ
กานต์แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของเอ็มก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาศิลาที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “ไงมึง เห็นไอ้เตมาเล่าให้ฟังว่าจะเอามึงไปเล่นซีรีส์ด้วย”
“ใช่พี่”
“ละเอาไงอะ ไหนบอกว่าไม่อยากรับงานในวงการแล้ว”
“ก็ปฏิเสธไปแล้วแหละ แต่พี่เตดิบอกว่าไม่ต้องรีบ ให้ไปคิดดูดีๆ ก่อน” ศิลาพูดก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไอ้เตมันบังคับมึงไม่ได้หรอก บอกมันดีๆ มันก็ไม่เซ้าซี้แล้ว” กานต์เอ่ยพูดขึ้นตามความรู้สึกของตัวเอง
“คงอีก 2-3 วันแหละ ค่อยทักไปบอก”
“พี่ศิลาจะได้เล่นซีรีส์หรอ เอาดิๆๆ” เอ็มที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยินคนที่โตกว่าสองคนคุยกันก็รีบเคี้ยวไส้อั่วในปากลงคอทันทีก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป
“นี่แกไม่ได้ฟังเลยรึไง ว่าพี่ไม่สนใจ” ศิลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเล็กน้อย
“โด่ววว ก็อยากให้พี่รับเล่นอะ เผื่อได้ทำงานด้วยกันไง ผมอยากทำงานกับพี่อะ นะๆๆๆ” เอ็มพยายามเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนก่อนจะวิ่งข้ามเคาน์เตอร์เข้ามากอดศิลาแน่น
“พี่อึดอัด ปล่อยยยย” ศิลาพยายามจะดันอีกฝ่ายออกด้วยเพราะอึดอัดจริงตามที่พูด แต่อีกนัยหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อาโปลงมาเห็น เพราะเขารู้ว่าร่างหนาขี้หึงและขี้หวงขนาดไหน
“ไม่ปล่อย จนกว่าพี่จะยอมตอบตกลงว่าจะรับเล่นซีรีส์ นะค้าบบบบ นะๆๆๆๆๆ” เอ็มกอดแน่นกว่าเดิมพลางซุกหน้าลงบริเวณหน้าอกของศิลา
“ไอ้เอ็มมม พี่อึดอัด!”
พลั่ก!
“เชี่ย!” เอ็มร้องตะโกนเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงที่กระชากเขาออกจากตัวของศิลา
“พี่โป!!” ศิลาเอ่ยเรียกชื่อคนกระชากเสียงดังลั่น
“ทำอะไร ไม่ได้ยินหรอว่าพี่ศิลาเขาบอกว่าอึดอัดอะ” อาโปเอ่ยเสียงเย็นพร้อมดวงตาแข็งกร้าวมองจ้องมาที่เอ็ม มือหนากำแขนเอ็มแน่น
“ขะ...ขอโทษครับ” เอ็มเอ่ยพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะความตกใจ ไม่เคยเห็นอาโปโกรธขนาดนี้มาก่อน
“อย่าให้เห็นว่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นพี่นี่แหละที่จะเป็นคนตัดโอกาสในวงการของน้องเอง” อาโปขยับหน้าเข้าไปใกล้เอ็มก่อนจะเอ่ยพูด
เอ็มตัวสั่นกึกๆ ส่วนหนึ่งเพราะความเจ็บที่โดนกระชากแขนเมื่อครู่ อีกส่วนก็เพราะกำลังกลัวอาโปที่กำลังแผ่พลังด้านมืดออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พี่โป ผมว่าพี่พูดแรงไปแล้วนะครับ ก็แค่เล่นๆ กันเอง” ศิลาพยายามพูดเพื่อให้คนพี่ใจเย็นลง
“แต่น้องเอ็มมันรังแกเราอยู่นะศิลา” อาโปเอ่ยแย้ง
“แค่แกล้งกันเล่นๆ จริงๆ พี่ ผมเป็นพยานได้” กานต์ช่วยพูดเสริมเมื่อเห็นว่าท่าทีไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แล้วก็สงสารเอ็มด้วยที่ต้องมาโดนงี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจทำอะไรเกินเลย แค่เล่นกันเฉยๆ
“ผมแค่แกล้งเล่นกันขำๆ กับพี่ศิลาเองครับ” เอ็มพูดพร้อมน้ำตาที่เริ่มคลออยู่ที่เปลือกตา
“ปล่อยน้องก่อนนะครับ” ศิลาพยายามแกะมือของอาโปออกจากแขนเอ็ม “มีสติหน่อยพี่โป เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะมาหึงอะไรกับเด็กตัวแค่นี้ มันไม่เข้าเรื่อง”
พอศิลาพูดจบกานต์ก็ยื่นมือมาดึงเอ็มหลบออกไปเพื่อให้คนทั้งสองคนได้คุยกันเอาเอง
“พี่ขอโทษครับ” อาโปเอ่ยบอกเสียงเบาเมื่อโดนคนน้องดุ
“เป็นอะไรไปพี่ ปกติไม่เคยเป็นงี้” ศิลาถามเพราะสงสัย ปกติคนพี่จะต้องควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้สิ
“ขอโทษครับ พี่คงเครียดไปหน่อย พอดีเพิ่งประชุมเสร็จ มันมีปัญหานิดหน่อยครับ”
“แต่แบบนี้ไม่ถูกนะครับ พี่เครียดเรื่องงานแต่มาระเบิดลงที่น้องเอ็มเนี่ยนะ” ศิลาคิ้วขมวดเพราะเริ่มรู้สึกไม่โอเค แต่ก็ยังพยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด
“พี่...” อาโปถอนหายใจ
“ทำไมครับ”
“พี่ขอโทษนะครับ”
“ผมไม่โกรธพี่โปหรอก แต่คนที่พี่ควรขอโทษคือน้องเอ็มที่ยืนอยู่ตรงนั้นมากกว่านะครับ” ศิลาเอ่ยพูดพลางหันหน้าไปมองเอ็มที่ยืนอยู่กับกานต์ด้วยความหวาดกลัว
อาโปถอนหายใจก่อนจะหันหน้าแล้วเดินเข้าไปหาเอ็ม “พี่ขอโทษนะ เมื่อกี้เป็นความผิดพี่เอง พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“คะ...ครับ” เอ็มตอบด้วยความหวั่นใจ
“ใกล้เรียนแล้วหนิ ขึ้นไปเตรียมตัวเหอะ” อาโปตบไหล่เอ็มเบาๆ นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็งและกลัวคนตรงหน้าเพิ่มอีกร้อยเท่า
เอ็มพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปเพื่อเตรียมตัวเรียนการแสดง โดยมีกานต์เดินตามขึ้นไปและมีศิลามองตามอย่างเป็นห่วง
“เมื่อกี้ไม่น่ารักเลยนะครับพี่โป ดีนะที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ด้วย มีแต่คนกันเอง” ศิลาเอ่ยปรามอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองกระทำผิด
“พี่ขอโทษนะ มันจะไม่มีแบบนี้อีก พี่ขาดสติไปหน่อยครับ” อาโปเอ่ยพูดพลางขยับเข้ามาสวมกอดร่างบางแน่น
“ครับ ถ้ามีคราวหน้าผมเองก็จะไม่ใจเย็นแบบนี้เหมือนกันนะครับ พี่จะได้เห็นไปเลยว่าตอนที่โมโหร้ายมันทำร้ายคนอื่นยังไงบ้าง”
“ค้าบบบ” อาโปรับคำด้วยน้ำเสียงหวาน
“แต่เจองี้ไป ไอ้น้องเอ็มคงไม่กล้าเกาะแกะผมไปอีกนานเลยนะครับ ก็ถือซะว่าเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเหตุการณ์เมื่อกี้แล้วกันนะครับ” ศิลายิ้มตอบก่อนจะโดนอาโปขโมยจุ๊บที่ปากเบาๆ ไปทีหนึ่งแบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว