กานต์โยนแฟ้มเอกสารที่เพิ่งเคลียร์ข้อมูลเสร็จเข้าในตู้แล้วเตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อกลับบ้าน แต่ไม่ทันที่จะได้เดินออกจากสตูดิโอก็ถูกเสียงของอาโปร้องทักขัดขึ้นเสียก่อนที่จะได้ก้าวเท้าเสียอีก
“กานต์”
“ครับ?”
“จะกลับละเหรอ”
“ใช่พี่ มีอะไรเปล่าครับ”
“พี่มีเรื่องจะรบกวนหน่อยอะ” อาโปขยับเท้าก้าวเดินเข้ามาใกล้
“ได้เลยพี่”
“ไปหาร้านนั่งชิลๆ คุยกันดีกว่าเนอะ”
“เดี๋ยวพี่ มีปัญหาอะไรปะเนี่ย ทำไมดูจริงจัง” กานต์พูดพลางแสดงสีหน้าสงสัย คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันจนแน่น
“เห้ย! ไม่มีๆ” อาโปตอบพลางยกมือขึ้นส่ายไปมาก่อนจะพูดต่อ “ไปกันเถอะ”
“ไม่ใช่ว่าจะไล่ผมออกหรอกนะ” กานต์เอ่ยพูดพลางขำน้อยๆ ออกมาเพื่อให้ดูติดตลกกลบความกังวลในจิตใจของตัวเอง
“จะบ้าเหรอ แกทำงานกับพี่มาตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ไล่แกออกง่ายๆ หรอกน่า”
“โอเค้!!”
หลังจบบทสนทนาอาโปก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไปโดยมีกานต์ตามไปแบบไม่ห่าง สองคนเดินมายังคาเฟ่ร้านที่อยู่ใกล้ๆ สตูฯ กาแฟและเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดาถูกสั่งอย่างรวดเร็วที่บริเวณเคาน์เตอร์ ไม่นานเมนูที่ทั้งคู่สั่งเอาไว้ก็ถูกนำออกมาเสิร์ฟ อาโปและกานต์รับเครื่องดื่มของตัวเองแล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่ยังว่างอยู่
“พร้อมนะ” อาโปเอ่ยถามขึ้นเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว
“ครับ” กานต์พยักหน้ารับ
“คือ พี่ว่าช่วงนี้จะไม่ให้แกมาช่วยงานพี่ละนะ”
“ฮะ!! ทำไมอะพี่ ผมทำไรผิด” สีหน้าตกใจของกานต์ฉายชัดตามสไตล์คนชอบเล่นใหญ่ทำเอาอาโปเกือบจะหลุดขำออกมา
“เปล่าๆ พี่แกล้งเล่น”
“โถ่ ตกใจหมด”
“จริงๆ คือซีรีส์เอ็มมันใกล้จะเปิดกล้องแล้ว ก็เลยว่าจะให้แกช่วยไปดูแลน้องมันที่กองหน่อย”
“อ่อ... ได้ดิพี่”
“เออ แค่นั้นแหละ ไม่ได้มีเรื่องอะไรใหญ่โตหรอก” อาโปเอ่ยพูดต่อแล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบ
“แล้วใครจะคอยช่วยพี่อะ วันที่ผมต้องไปออกกองกับเอ็มอะ”
“ก็ศิลาอาสาจะมาช่วยงานพี่แทนตำแหน่งแกอะ”
“โอ้โห แฟนดีเด่นจัดๆ” กานต์ยิ้มแซวแล้วก้มลงดูดน้ำจากแก้วที่ตัวเองสั่งมา
“นั่นแหละ เพราะงั้นก็เลยไม่ต้องห่วงพี่เลย แกไปทำหน้าที่ดูแลน้องเอ็มให้เต็มที่ก็พอ”
“ได้พี่”
พอพูดคุยตกลงกันถึงเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานของกานต์ที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต จากเดิมที่เป็นฝ่ายดูแลและพัฒนาศิลปิน ที่ต้องทำหน้าที่ช่วยอาโปสอดส่องหาเด็กที่มีแววมาปั้นเพื่อให้กลายเป็นศิลปินของสตูฯ เพียงอย่างเดียว กลับต้องเปลี่ยนผันไปรับบทเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเอ็มแล้วนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยกันถึงตารางการทำงานที่จะต้องออกกองของเอ็มอีกนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป
--------- The Story of Water and Stone 2 ---------
ใครมันจะไปรู้ว่าการอาสาช่วยงานอาโปแทนกานต์จะทำให้ชีวิตของศิลานั้นวุ่นวายมากขึ้นไปกว่าเดิม จากปกติที่ต้องคอยเตรียมอาหารเช้า เป็นพนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์สตูฯ คอยทำบัญชี แถมต้องดูแลความสะดวกให้ผู้ปกครองกับเด็กๆ ที่มาเรียน ตอนนี้ก็ยังจะต้องมาเพิ่มงานการเป็นผู้ช่วยของอาโปที่ต้องคอยประสานงาน นัดคิว ดูแลเรื่องเอกสารมากมายก่ายกองที่มันมากกว่าที่ศิลาคิดไว้
แต่ก็นะเต็มใจจะช่วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ศิลาเลยไม่อยากบ่นอะไร
อย่างน้อยการได้ช่วยเหลืออาโปอย่างเต็มใจก็เป็นสิ่งที่เขาควรกระทำอยู่แล้ว
แฟนทั้งคน... ถ้าไม่ดูแลให้ดีแล้วจะให้ไปดูแลใคร
“พี่โปมีประชุมตอนบ่ายสามนะครับ กับโปรดิวเซอร์” ศิลาอ่านตารางงานในไอแพด ก่อนจะเอ่ยบอกอาโปที่กำลังเคลียร์งานที่ค้างมาจากเมื่อวาน
“โอเคครับ ที่ไหนนะ”
“ผ่านซูมครับ”
“ขอบคุณครับ”
อาโปยิ้มตอบแล้วหันกลับไปมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองอีกครั้ง เสียงถอนหายใจหลุดออกมาเบาๆ จากฝั่งของศิลาแต่เพราะอาโปกำลังโฟกัสกับสิ่งอื่นอยู่ทำให้เขาไม่ทันได้ยิน ศิลาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานของอาโปแบบเงียบๆ เพราะไม่อยากจะทำลายสมาธิในการงานของอีกฝ่าย
หลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่กานต์ไปช่วยดูแลเอ็มที่ต้องออกกองถ่ายซีรีส์กับเตชินท์ก็ทำให้ศิลาและอาโปแทบจะไม่ได้พูดคุยด้วยโมเมนท์งุ้งงิ้งแบบที่แฟนควรจะคุยกันนอกไปเสียจากเรื่องงานเลย แม้จะมีช่วงเวลาที่คนน้องรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่เขาก็พยายามจะทำความเข้าใจว่านี่คือช่วงที่ควรจะโฟกัสเรื่องงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว เพราะเป็นเวลาที่น้ำกำลังขึ้นก็ควรที่จะรีบตักตวงเอาไว้ให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ก็ควรจะต้องเข้าใจด้วยว่ามันก็เป็นเวลาที่อาโปเหนื่อยมากเช่นกัน ดังนั้นการทำตัวงี่เง่าก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีสักเท่าไหร่หากต้องการเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย
พอจบวันศิลาก็นั่งรออีกฝ่ายอยู่ที่ด้านล่างจนอาโปเดินลงมา พอสายตาเห็นว่าอาโปลงมาปุ๊บ ศิลาก็คว้ากระเป๋าแล้วลุกยืนขึ้นปั๊บ คนพี่เดินยิ้มเข้ามาใกล้ก่อนจะเอื้อมมือคว้าเข้าที่เอวบางของคนน้องแล้วเดินไปขึ้นรถพร้อมกัน
“เหนื่อยมั้ยครับวันนี้” ศิลาเอ่ยถามขึ้นในขณะที่อาโปกำลังขับรถอยู่
“ก็นิดหน่อยครับ”
“...”
“มีอะไรเหรอ” อาโปถามพลางเหลือบต่อมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองถนนต่อ
“เปล่าครับ ผมกลัวพี่โปเหนื่อยเฉยๆ”
“แค่มีหนูอยู่ข้างๆ พี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ”
“จริงเหรอครับ”
“อื้ม พี่ไม่เหนื่อยหรอก เพราะสิ่งที่พี่กำลังทำมันคือการสร้างความสำเร็จให้กับเราทั้งสองคน”
“...”
“พี่รู้ว่าระหว่างทางเรื่องของเรามันต้องลำบากและต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากกว่าจะไปถึงปลายทางที่เราคิดไว้ แต่พี่จะไม่ยอมแพ้หรอก เหนื่อยแค่นี้พี่ทนได้ครับ ถ้ามันจะทำให้อนาคตของเราทั้งคู่ดีขึ้น”
อาโปเอ่ยพูดยาวเหมือนได้ระบายความในใจออกมา ความจริงเขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะต้องมานั่งพูดอธิบายเรื่องอะไรแบบนี้ในเวลานี้ แต่เพราะสีหน้าและแววตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มันแสดงออกถึงความกังวลใจและความเป็นห่วง ในวินาทีที่เขาได้สบสายตานั้นในใจพลันก็นึกอยากจะพูดขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
“แต่ถ้าช่วงไหนไม่ไหวจริงๆ พี่โปบอกผมนะ”
“ค้าบบ” อาโปตอบพลางยิ้มกว้าง
“จะพักบ้างก็ได้ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“...”
“ถึงจะสำเร็จช้าลงอีกนิดหน่อย แต่สุขภาพของพี่มันก็สำคัญกว่านะครับ ปีนี้อายุก็เยอะขึ้นแล้ว ผมอยากให้พี่โปโฟกัสเรื่องสุขภาพตัวเองด้วย ไม่อยากให้ทุ่มเทกับงานมากจนเกินไปครับ”
“พี่จะพยายามดูแลตัวเองมากขึ้นนะครับ”
“ครับ”
“เราเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ” อาโปเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ครับพี่โป”
“เราเองก็ไม่ได้ต่างจากพี่เท่าไหร่ ช่วงนี้ต้องมาช่วยงานพี่หลายอย่างแทนที่กานต์ พี่รู้ว่ามันยากและเหนื่อยสำหรับหนู แต่ถ้าไม่ไหวหนูบอกพี่นะ พี่จะได้หาคนมาช่วย”
“ได้ครับ ตอนนี้ผมยังไหว ถ้าเหนื่อยมากเมื่อไหร่จะรีบบอกเลยครับ”
เสียงเครื่องยนต์ของรถดับลงเมื่อรถจอดลงในพื้นที่จอดรถ อาโปและศิลาเดินกระเตาะกระแตะเข้าไปภายในบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้สภาวะจิตใจจะยังทนต่อความเหน็ดเหนื่อยไหว แต่ร่างกายของคนทั้งคู่ก็เริ่มจะฟ้องออกมาว่ามันต้องการพักผ่อนบ้างแล้ว โดยเฉพาะศิลาที่เข้ามาถึงภายในบ้านปุ๊บเพียงแค่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเขาก็เผลอหลับไปได้อย่างง่ายดาย
อาโปที่เดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็นมาดื่มเดินมาเห็นแบบนั้นก็คิดเพียงแต่ว่าศิลาคงอ่อนเพลียจากการทำงานหนัก เลยปล่อยให้คนน้องได้พักผ่อนไปก่อนจนกว่าที่เขาจะอาบน้ำเสร็จ
เสียงน้ำไหลที่ดังแว่วๆ ออกมาจากในห้องน้ำราวกับเสียง ASMR ดูเหมือนจะทำให้ศิลานั้นหลับลึกลงไปมากกว่าเดิม อาโปที่มีเพียงผ้าขนหนูพันรอบเอวปกปิดส่วนล่างโชว์ร่างกายท่อนบนที่ประดับไปด้วยกล้ามเนื้อขาวเนียนทั้งบริเวณหน้าอกและหน้าท้องเดินตรงเข้ามายังโซฟาที่คนน้องกำลังหลับอยู่แบบนิ่งสนิท
“ศิลาครับ” อาโปเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ
แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด
“หนู ตื่นได้แล้ว”
“...”
“ศิลา ไปอาบน้ำครับ” น้ำเสียงนุ่มของอาโปเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยระยะที่ใกล้มากกว่าเดิม มือหนาแตะที่ใบหน้าแล้วสัมผัสแผ่วเบา
“อะ...อื้อ” ศิลาสะดุ้งเบาๆ แล้วครางเสียงตอบรับออกมาก่อนจะขยับใบหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้น
“ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปนอน”
“ครับ” คนน้องค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งนิ่งกับโซฟาอยู่ครู่หนึ่งจนอาโปที่ยืนมองอยู่ต้องเอ่ย
“เป็นไรเปล่า”
“เปล่าครับ มึนๆ นิดหน่อย”
“ให้พี่ช่วยอาบให้มั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ คงเพลียๆ ได้นอนจริงจังคงดีขึ้น”
“งั้นก็ไปรีบอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะตื่นสายหน่อยก็ได้นะ”
“แล้วใครจะเตรียมมื้อเช้าให้พี่โปล่ะครับ” น้ำเสียงเป็นกังวลเอ่ยถามออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แวะซื้อเอา หนูจะได้นอนเยอะขึ้นไง”
“ก็ได้ครับ” ศิลายันตัวเองลุกขึ้นยืน “งั้นผมรีบอาบน้ำดีกว่า”
“ค่อยๆ เดินนะ” อาโปบอกขณะที่มองตามคนน้องเดินเข้าห้องน้ำไป
เสียงน้ำไหลเริ่มดังขึ้นหลังจากศิลาเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน อาโปถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปเปลี่ยนจากผ้าขนหนูที่พันเอวเป็นชุดนอนที่ใส่อยู่ประจำบ่อยๆ เขาทาสกินแคร์ลงบนใบหน้าอยู่หลายตัว ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาไดร์เป่าผมที่เก็บไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้งออกมาเสียบปลั๊กแล้วเริ่มเป่าจนเส้นผมที่เปียกแฉะเริ่มแห้ง
อาโปเดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงหลังจากเสร็จธุระจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมตัวไว้ก่อนจะค่อยหลับตาลง เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบลงในขณะที่อาโปกำลังสะลึมสะลือ
เตียงยุบตัวลงเมื่อศิลาทิ้งตัวลงนอนเป็นเหตุให้อาโปสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา เขาพลิกตัวหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายแล้วโอบกอดไว้หลวมๆ ก่อนจะนอนหลับต่อ สายตาของศิลามองจ้องใบหน้าขาวเนียนของคนพี่อยู่ครู่ใหญ่ เขาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นในวันนี้ว่าผิวหน้าของอาโปดูโทรมลงไม่เปล่งปลั่งดังแต่ก่อน อาจเพราะทำงานอย่างหนักจนไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงแม้อาโปจะทุ่มเทให้กับการทาครีมก่อนนอนมากแค่ไหนก็ตาม แขนยาวของศิลาเลื่อนขึ้นมาโอบกอดตอบอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามายังห้องนอนสะกิดให้เปลือกตาของอาโปต้องค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างเสียมิได้แม้ร่างกายของเขาจะยังรู้สึกอ่อนเพลีย เสียงกึกกักจากในครัวดังลอยมาให้ได้ยินดังเช่นทุกที อาโปยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปยังบริเวณห้องครัว เพราะตอนนี้ท้องของเขาเริ่มที่จะเรียกร้องให้มีอาหารลงไปเพื่อลดอาการหิวแล้ว
“หอมจัง วันนี้มีอะไรกินเหรอ”
“ผมทำต้มจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับครับ” ศิลาใช้กระบวยตักต้มจืดที่เสร็จแล้วใส่ชามแล้วถือเดินไปวางบนโต๊ะอาหาร
อาโปเดินตามหลังศิลาไปต้อยๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้แล้วหย่อนตัวเองลงนั่ง “น่ากินจัง”
“หมายถึงผมหรอ” ศิลาถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่หมายถึงต้มจืดเหอะ” คนพี่ตอบพลางยิ้มมุมปากก่อนจะพูดต่อ “อย่ามาทำเป็นเล่นนะ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”
“พี่โปทะลึ่ง!”
“หนูเป็นคนเริ่มเหอะ”
“ก็หยอกเล่นเฉยๆ เดี๋ยวผมไปเอาข้าวมาให้นะครับ” ศิลาตอบก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัว
อาโปหยิบมือถือที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นอินสตาแกรมเพื่อที่จะถ่ายอาหารเช้าของวันนี้ลงในสตอรี่สักหน่อย นิ้วโป้งกดลงที่ปุ่มบันทึกเพื่อถ่ายรูปก่อนจะพิมพ์แคปชั่นแล้วเลือกสติ๊กเกอร์น่ารักๆ เพื่อแสดงแทนความรู้สึกของตัวเอง
เพล้งงง!
เสียงจานตกแตกทำเอาอาโปสะดุ้งโหยงลุกขึ้นยืนมองด้วยความตกใจ ก่อนที่สองเท้าจะก้าวเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็วกว่าที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก
“ศิลา!!!” อาโปตะโกนลั่นเมื่อเห็นร่างของศิลานอนกองอยู่ที่พื้นที่เต็มไปด้วยเศษจานที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กับเม็ดข้าวที่กระจายไปทั่วทั้งพื้น เขารีบวิ่งเข้าไปหาคนน้องทันทีแล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายแบบอยู่หลายครั้ง
เมื่อเห็นว่าร่างที่หลับอยู่ไม่ตอบสนองต่อสัมผัสใดๆ ที่ตัวเองกระทำ อาโปที่เพิ่งได้สติจึงรีบกดเบอร์ฉุกเฉินในมือถือแล้วโทรออกทันที ไม่นานเสียงหวอของรถพยาบาลก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วรับตัวศิลาไปโดยมีอาโปกระโดดตามขึ้นไปด้วย
อาโปนั่งเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอยู่พักใหญ่เพราะเป็นกังวลว่าศิลาจะเป็นอะไรหนัก แต่ก็โล่งใจเมื่อคุณหมอเดินออกมาบอกว่าคนน้องไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่อ่อนเพลียจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อยเท่านั้น ให้แอดมิดดูอาการสักวันสองวันก็น่าจะดีขึ้นจนกลับบ้านได้
“เป็นไงบ้าง” อาโปเอ่ยถามเมื่อเห็นศิลาลืมตาขึ้นมาหลังจากย้ายมาห้องพิเศษได้พักใหญ่
“ผมมาอยู่นี่ได้ไงครับ” ศิลาเอ่ยถามพลางหันมองไปรอบๆ
“หนูวูบไป คุณหมอบอกว่าเพราะพักผ่อนน้อย”
“อ่อ...ครับ”
“พักผ่อนต่อเถอะ พี่ไม่ชวนคุยดีกว่า”
“แล้วพี่โปไม่ไปสตูฯ เหรอครับ”
“อืม พี่ฝากให้กานต์ดูแลแทนให้หมดละ พี่เป็นห่วงหนู”
“ผมไม่ได้เป็นไรมากแล้วครับ”
“ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วครับ เพราะพี่เองก็อยากให้หนูหายไวๆ”
วันนี้ทั้งวันอาโปก็เลยหมดเวลาไปกับการจัดการเรื่องของศิลาที่โรงพยาบาล แม้เขาจะดูยิ้มแย้มตอนที่อยู่เฝ้าคนน้อง แต่พอหลบออกมาเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเพราะคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ศิลาต้องป่วยแบบนี้
มื้อเย็นของโรงพยาบาลถูกนำมาเสิร์ฟให้แต่ศิลาไม่ค่อยเอ็นจอยเท่าไหร่นักด้วยรสชาติที่จืดชืดตามสไตล์อาหารของโรงพยาบาล อาโปจึงต้องออกไปซื้ออาหารข้างนอกเข้ามาให้คนน้องกินแทน
“มาแล้ว” อาโปเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วเดินเอาข้าวกล่องที่ซื้อมาวางลงบนโต๊ะแทนอาหารของโรงพยาบาล
“ซื้ออะไรมาบ้างครับ”
“มีข้าวขาหมู กับขนมอีกนิดหน่อย”
“พี่โปไม่กินเหรอครับ ซื้อมาแค่กล่องเดียว” ศิลาบอกในขณะที่เปิดถุงพลาสติกออกดู
“เดี๋ยวพี่กินของโรงบาลเอาครับ เสียดายอะ”
“แต่...”
“ไม่เป็นไรหนูกินเลย เดี๋ยวพี่เคลียร์อันนี้เอง ไหนๆ ก็ต้องจ่ายเงินให้โรงบาลอยู่ละ กินๆ ซะให้หมด” อาโปเอ่ยบอกพลางเปิดอาหารโรงพยาบาลกิน สีหน้าแอบกระตุกเล็กน้อยเมื่ออาหารเข้าปากเพราะรสชาติมันไม่ได้เรื่อง แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมากกว่านี้ได้เนื่องจากต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองตามที่ได้บอกไว้
ศิลาพยักหน้ารับหลังจากที่อาโปเอ่ยบอกก่อนจะเริ่มเปิดกล่องข้าวขาหมูขึ้นมากินพร้อมเปิดทีวีในห้องดูไปด้วย “คืนนี้พี่โปกลับไปนอนบ้านก็ได้นะพี่ จะได้หลับสบาย พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานอีก”
“เดี๋ยวพี่นอนเป็นเพื่อน ไม่อยากให้หนูอยู่คนเดียว”
“แต่นอนโซฟามันจะทำให้พี่ปวดหลังนะครับ”
“แค่นี้เองสบายมาก พี่จะอยู่กับหนูจนกว่าจะออกจากโรงบาลเลย”
“แต่พี่โปครับ แล้วใครจะดูแลสตูฯ” ศิลาเสียงแข็งขึ้นมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดื้อดึง
“ก็เหมือนที่พี่บอกไง ว่าพี่ฝากเรื่องให้กานต์ทำหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย”
“ผมไม่คุยกับพี่ละ...”
“อ่าว ทำไมอะ”
“...”
“งอนเหรอ” อาโปเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ
“ก็พี่โปดื้ออะ”
“พี่ดื้อยังไงครับ หืม” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่อีกฝ่ายฟังแล้วก็แอบใจสั่นอยู่ไม่น้อย
“ก็ผมอยู่คนเดียวได้ บอกให้พี่กลับไปทำงานพี่ก็ไม่ฟังอะ”
“ก็พี่เป็นห่วงหนูนี่ครับ ขอโทษที่ดื้อน้า...” อาโปลอบถอนหายใจก่อนจะเอ่ยพูดแล้วลุกยืนแขนทั้งสองข้างคว้าเอาร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น
“ไม่ต้องมาพูดเลย”
“ขอโทษน้าที่รัก”
“...”
“ยังไม่หายงอนหรอ งั้นมาให้พี่หอมแก้มหน่อย” อาโปใช้สองมือคว้าหมับเข้าที่ข้างแก้มของศิลาก่อนจะค่อยๆ ก้มลงกดริมฝีปากลงบนผิวแก้มทั้งสองข้างของคนน้องวนซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด เสียงหัวเราะคิกคักของศิลาก็ดังออกมาไม่หยุดเช่นกัน
แกร๊ก!
“เชี่ย!” เสียงอุทานของกานต์และเตชินท์ดังลั่น เมื่อพวกเขาเดินถือกระเช้าผลไม้เข้ามาเห็นภาพสวีทหวานตรงหน้า
“เอ้า! มาละเหรอ เข้ามาเลยๆ” อาโปสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองคนทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง
“ขะ...ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะนะครับ”
“อย่าแซว!!!”
“เป็นไงมั่งมึง” กานต์ถามหลังจากวางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“ดีขึ้นละพี่”
“ดีละ วันหลังก็พักผ่อนบ้าง ไม่ใช่ทำงานจนลืมดูแลตัวเอง” เตชินท์เอ่ยเสริม
“คร้าบ”
“เออ ไงก็รีบหายไวๆ ละกัน พี่อาโปแกจะได้กลับไปทำงาน นี่แค่วันเดียวพี่ก็หัวหมุนแทบแย่” กานต์บ่นพลางมองค้อนไปทางอาโป
“ให้มันน้อยๆ หน่อยกานต์ เดี๋ยวไล่ออกเลย” อาโปแซวเสียงดุ
“ขอโทษค้าบบบ”
เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของกานต์ที่ดูเลิ่กลั่กกว่าปกติ แต่ต่างคนต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นการดุที่จริงจังสักเท่าไหร่นะ เพียงแต่เป็นการคุยเล่นกันตามประสาคนสนิทเท่านั้น