“อยากรู้ว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นใครก็ถามฉันสิ จะโทรหาไอ้เวรนั่นทำไม”
“นายรู้เหรอว่าใครเป็นคนพาตัวน้องฉันไป?!” เสือพยัคฆ์เบี่ยงความสนใจฉันสำเร็จ ตอนนี้ฉันเลิกสนใจจะเอาโทรศัพท์คืนแล้ว ขอแค่รู้ว่าจะไปช่วยสายซอได้ที่ไหน จะรู้จากใครฉันก็ไม่เกี่ยง
“…” เสือพยัคฆ์ไม่ตอบแต่กลับเดินผ่านหน้าฉันไปทางลานจอดรถ ฉันเดินตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้ กระทั่งมาถึงรถหรูของเขา ประตูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับสายตากึ่งบังคับ “ขึ้นรถ”
ฉันลังเลชั่วครู่ ถึงวันนี้เขาจะฉวยโอกาสและทำหยาบคายกับฉันมาหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องที่เขาพาฉันมาหาน้องที่สนามแข่งนั้นเขาไม่ได้โกหก เรื่องครั้งนี้ก็คงจะไม่โกหกเหมือนกัน
ก็ได้… ฉันจะลองเชื่อใจเขาอีกสักครั้งเพื่อสายซอ!
.
.
.
S Condo
ที่นี่มัน… คอนโดเขานี่?!
“พาฉันมาที่นี่ทำไม ไหนนายบอกว่าจะพาฉันไปหาน้องไง?” ทันทีที่ก้าวลงจากรถฉันก็โวยวายเสียงดัง เสือพยัคฆ์พาฉันกลับมาที่คอนโดของเขา ฉันไม่น่าเชื่อใจเขาเลย!
“หยุดโวยวายก่อนได้ไหม นู้น!” เขากดล็อครถแล้วเดินอ้อมมาฝั่งที่ฉันยืนอยู่ ใบหน้าติดจะหงุดหงิดนิด ๆ พยักพะเยิดไปอีกฝั่งของลานจอดรถ ฉันมองตามก่อนจะชะงักนิ่ง
“นั่นมัน… รถคันนั้น!”
ใช่แล้ว รถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรถของเสือพยัคฆ์คือรถคันเดียวกับที่สายซอนั่งไป ฉันจำป้ายทะเบียนได้ดี แสดงว่าสายซออยู่ที่นี่งั้นสินะ ไม่รอช้าให้เสียเวลา ฉันรีบพุ่งตัวเข้าไปด้านในคอนโดแต่ถูกมือหนารั้งแขนเอาไว้อีกแล้ว
“เดี๋ยว… เธอใจเย็นก่อนได้ปะวะ พอเป็นเรื่องน้องเธอทีไร เธอมักจะขาดสติแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” เสือพยัคฆ์เป็นฝ่ายดึงฉันให้เดินตามเข้ามาด้านในเอง เขาใช้คีย์การ์ดเปิดประตูลิฟต์ก่อนหันมองฉัน “คิดว่าถ้าไม่มีคีย์การ์ดนี่เธอจะเข้ามาในนี้ได้ไหม? แล้วรู้เหรอว่าน้องเธออยู่ชั้นไหน? ห้องไหน?”
ไม่รู้… ฉันตอบในใจ
โอเค ฉันยอมรับว่าฉันเป็นห่วงสายซอมาก ๆ และทุกครั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสายซอฉันมักจะขาดสติเสมอ นั่นเป็นเพราะว่าฉันกลัว… กลัวว่าสายซอจะเจอเรื่องบัดซบเหมือนฉันเมื่อสองปีก่อน ฉันไม่อยากให้ชีวิตของน้องต้องพังเหมือนฉัน ไม่อยากให้สายซอต้องเผชิญกับความรู้สึกอยากตายมากกว่าอยากจะอยู่ ฉันไม่อยากให้น้องรู้สึกแบบนั้น เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก…
ติ๊ง…
ประตูลิฟต์เปิดออกเรียกสติฉันให้กลับมา เสือพยัคฆ์ดึงฉันออกจากลิฟต์ สายตาทันได้มองเลขชั้นและพบว่ามันคือชั้นยี่สิบ
“นี่มันชั้นของนายไม่ใช่เหรอ? ทำไมพาฉันขึ้นมาชั้นนี้?” ฉันจำได้ว่าชั้นนี้เป็นชั้นของห้องที่เสือพยัคฆ์พักอยู่ ห้องเขาอยู่ด้านซ้ายมือนั่นไง แล้วเขาพาฉันขึ้นมาทำไมกัน
“ถ้าจำได้ว่าฉันอยู่ชั้นนี้ งั้นก็น่าจะจำได้ว่านอกจากฉันยังมีใครอยู่อีก” พอเขาพูดแบบนั้นฉันมองไปที่ประตูห้องด้านขวาทันที
“สิงห์คำราม…” ฉันพึมพำเรียกชื่อผู้ชายอีกคนแผ่วเบา ในหัวเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนมากขึ้น “รถคันนั้น… เป็นของ…”
“ใช่ เป็นรถมันนั่นแหละ” ฉันเงยหน้ามองเสือพยัคฆ์ด้วยความตกใจทันที
“ถ้างั้นสายซอ… ยัยนั่นถูกสิงห์คำรามพาตัวมางั้นเหรอ?!” หัวใจฉันดิ่งลงพื้น ขอให้สิ่งที่คิดไม่ใช่ความจริง ขอให้คนที่พาน้องฉันมาไม่ใช่สิงห์คำราม เพราะถ้าเป็นแบบนั้น… ฉันกลัวประวัติมันจะซ้ำรอยจริง ๆ
“ไม่รู้สิ น้องเธออาจจะถูกไอ้เฮียพามาหรือไม่ก็ตามไอ้เฮียมาเอง มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างอะนะ”
“หมายความว่ายังไง? น้องฉันไม่มีทางตามสิงห์คำรามมาเด็ดขาด!” ฉันค้อนใส่เขาด้วยความไม่พอใจ สายซอไม่มีทางทำเรื่องอันตรายแบบนั้นหรอก สิงห์คำรามอันตรายแค่ไหนยัยนั่นก็น่าจะรู้ดี ครั้งก่อนฉันเตือนยัยนั่นไปแล้วนี่นา ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องรีบเข้าไปช่วยน้องออกมาจากกรงสิงห์ให้เร็วที่สุด
“เฮ้ย ๆ ใจเย็นก่อน เธอคิดจะทำอะไร?” เป็นเสือพยัคฆ์อีกแล้วที่รั้งฉันไว้ คราวนี้เขาไม่ได้แค่จับแขนหรือมือฉัน แต่ยังเอาตัวสูงใหญ่มาขวางทางฉันด้วย ฉันเงยหน้าจ้องตาเขาอย่างเย็นชา
“หลบไป”
“เหอะ พอรู้ว่าน้องตัวเองอยู่ไหนก็กลับมาเย็นชาใส่ฉันเลยนะ ทีเมื่อกี้ยังสติแตกอยู่เลย”
เขามีสิทธิ์อะไรมาแซะฉัน? ให้ตายเหอะผู้ชายคนนี้!
“ฉันบอกให้หลบไปไง!” ฉันผลักไหล่เขาแรง ๆ แต่ไม่ได้สะเทือนเขาเลยสักนิด
“ใจเย็นดิวะขิม ไอ้เฮียมันไม่ใช่คนที่เธอจะเดินไปเคาะประตูเฉย ๆ แล้วมันจะเปิดให้หรอกนะ” เขาเรียกฉันว่าขิมอีกแล้ว นี่เราสนิทกันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
“แต่ครั้งก่อนเขาก็เปิดให้ฉันนี่” ฉันแย้ง ตอนนั้นฉันมารับสายซอที่นี่ สิงห์คำรามก็ยอมเปิดประตูให้ง่าย ๆ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน
“ปกติไอ้เฮียไม่เคยพาผู้หญิงเข้าห้อง ยิ่งเข้าครั้งที่สองนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ น้องสาวเธอคงจะไม่ธรรมดาแล้วว่ะขิม” เสือพยัคฆ์มองไปทางประตูห้องของสิงห์คำราม สีหน้าเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งฉันไม่เข้าใจ และไม่อยากจะสนใจแล้วด้วย ฉันมาเพื่อช่วยน้องสาวฉัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาสายซอกลับบ้านด้วยให้ได้!
“เฮียของนายจะคิดยังไงก็ช่าง ฉันไม่มีทางปล่อยให้สายซออยู่ในกรงของสัตว์ป่าอย่างพวกนายแน่!”