บทที่ 2

1794 คำ
บทที่ 2 แสงตะวันยามสายสาดส่องลงมากระทบยอดหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียวมรกตของวังหลวง สะท้อนประกายระยิบระยับจับตา วันนี้เป็นวันมงคลที่ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรอคอย วันคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่ ผู้เป็นดั่งเทพสงครามแห่งราชวงศ์และบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า รถม้าหรูหรานับสิบๆ คันจอดเรียงรายอยู่หน้าประตูวัง บุตรหลานขุนนางตระกูลใหญ่ต่างทยอยลงจากรถด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ละคนสวมใส่อาภรณ์สีสันสดใส ทั้งสีแดงมงคล สีม่วงสูงศักดิ์ และสีทองอร่าม ปักลวดลายมังกรหงส์วิจิตรบรรจง เพื่อหวังจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของเชื้อพระวงศ์ เสียงพูดคุยจอแจเงียบลงทันที เมื่อรถม้าคันหนึ่งของตระกูลเซี่ยเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่า รถม้านั้นดูเรียบง่าย ไม่ได้ประดับประดาหรูหราเท่าตระกูลอื่น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คน สิ่งที่ทำให้ทุกคนกลั้นหายใจ คือร่างโปร่งบางที่ก้าวลงมาจากรถ เซี่ยเหยียนอวี่ เขาสวมชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ตลอดทั้งตัว ไร้ลวดลายปักดิ้นเงินดิ้นทอง มีเพียงผ้าคาดเอวสีฟ้าอ่อนจางๆ ที่ช่วยขับเน้นเอวบางร่างน้อยให้ดูโดดเด่น เส้นผมดำขลับถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นหยกขาวเรียบๆ เพียงชิ้นเดียว ใบหน้างดงามราวหยกสลักนั้นเรียบเฉย ปราศจากรอยยิ้มหรือความตื่นเต้นยินดีใดๆ ท่ามกลางดงบุปผาหลากสีที่แข่งกันชูช่อ เหยียนอวี่เปรียบเสมือนดอกบัวหิมะเดียวดายที่บานอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ งดงาม สูงส่ง แต่ก็ดูโศกเศร้าจับใจ "นั่นนายน้อยเซี่ยไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาจึงแต่งกายเช่นนั้น?" "ชุดขาวล้วน... นี่มันงานมงคลนะ เขาคิดจะมาไว้ทุกข์ให้ใครกัน?" "ช่างอัปมงคลยิ่งนัก! ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเซี่ยช่วงนี้ดวงตก หรือว่าเขาจะรู้ตัวว่าไม่มีหวัง เลยแต่งตัวมาประชด?" เสียงซุบซิบดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ลู่ชิงที่เดินตามหลังมาด้วยความประหม่าก้มหน้างุด นางรู้สึกกดดันแทนเจ้านายที่กลายเป็นเป้าสายตา แต่เหยียนอวี่กลับเดินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาสงบนิ่งดุจผิวน้ำในบ่อลึก ไม่สะทกสะท้านต่อคำครหาเหล่านั้น เขาตั้งใจ... ในชาติก่อน เขาพยายามแต่งกายให้งดงามที่สุดเพื่อเอาใจคนอื่น แต่ผลลัพธ์คือความตาย ในชาตินี้ เขาจึงเลือกสวมชุดสีขาว สีแห่งการไว้อาลัย ไว้อาลัยให้ความรักที่ตายจากไป และไว้อาลัยให้วิญญาณบริสุทธิ์ของตัวเองที่ถูกฆ่าตายในวังหลวงแห่งนี้ "นายน้อยเซี่ย ช่างกล้าหาญยิ่งนักที่สร้างความโดดเด่นด้วยวิธีนี้" เสียงทุ้มลึกที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงนั้นฟังดูสุภาพนุ่มนวลราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ แต่สำหรับเหยียนอวี่ มันคือเสียงกระซิบของอสรพิษ ร่างกายของเหยียนอวี่แข็งทื่อไปชั่วขณะ ความเจ็บปวดที่หน้าอกแล่นปราดขึ้นมาอีกครั้งจนเขาต้องกำมือแน่นภายใต้แขนเสื้อกว้าง เขาค่อยๆ หันกลับไปช้าๆ เบื้องหน้าคือชายหนุ่มรูปงามในชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้ม ปักลายเมฆมงคล ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ มือข้างหนึ่งถือพัดจีบโบกเบาๆ อย่างมีจริต ฉินลี่หรง ศัตรูที่เขาอยากจะกระชากเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ในช่วงเวลานี้ ฉินลี่หรงยังเป็นเพียงขุนนางหนุ่มอนาคตไกล เป็นสหายที่ดูเหมือนจะหวังดีกับทุกคน แต่เหยียนอวี่รู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น ซ่อนมีดอาบยาพิษเอากี่เล่ม "ใต้เท้าฉิน" เหยียนอวี่เอ่ยทักทายเสียงเรียบ ไม่ได้ย่อกายคำนับหรือแสดงท่าทีนอบน้อมเหมือนในอดีต "ข้าไม่ได้ต้องการความโดดเด่น เพียงแต่ข้าชอบความเรียบง่าย... ผิดกับบางคนที่ชอบฉาบหน้าด้วยสีสันฉูดฉาดเพื่อปกปิดเนื้อแท้ข้างใน" รอยยิ้มบนหน้าฉินลี่หรงกระตุกไปวูบหนึ่ง แววตาฉายประกายประหลาดใจ เขาไม่คุ้นเคยกับวาจาเชือดเฉือนเช่นนี้จากปากของเหยียนอวี่ นายน้อยผู้หัวอ่อนและว่านอนสอนง่ายคนนั้น "ฮ่าๆ นายน้อยเซี่ยช่างมีอารมณ์ขัน" ฉินลี่หรงหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ กระซิบด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน "แต่การสวมชุดขาวในงานคัดเลือกคู่หมั้น เกรงว่าฝ่าบาทอาจจะไม่โปรด... หรือเจ้าตั้งใจจะแช่งงานนี้ให้ล่มกันแน่?" นี่คือหลุมพรางแรก... การกล่าวหาว่าเขามีเจตนาร้ายต่อราชวงศ์ เหยียนอวี่เหยียดยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่สวยจ้องลึกเข้าไปในตาของฉินลี่หรงอย่างไม่เกรงกลัว "สีขาวคือความบริสุทธิ์ คือความจริงใจที่ไร้สิ่งเจือปน ข้ามาที่นี่ด้วยใจที่สัตย์ซื่อ หาได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง... ต่างจากคนที่ปากบอกว่ายินดี แต่ในใจอาจกำลังริษยา หรือวางแผนสกปรกบางอย่างอยู่ก็ได้ ใครจะรู้?" ฉินลี่หรงหุบยิ้มทันที รังสีอำมหิตแผ่ออกมาชั่ววูบก่อนจะเลือนหายไป เขาจ้องมองเหยียนอวี่ด้วยความระแวง เด็กคนนี้... เปลี่ยนไป ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ เสียงกลองศึกก็ดังกังวานขึ้นสามครั้ง สัญญาณแห่งการมาถึงของเจ้าของวัง "องค์ชายจวิ้นอี่ เสด็จ!" ขันทีประกาศเสียงดังสนั่น เหล่าขุนนางและผู้เข้าร่วมคัดเลือกต่างรีบจัดแถวและคุกเข่าลงถวายความเคารพ เหยียนอวี่คุกเข่าลงตามธรรมเนียม แต่เขาก้มหน้าต่ำ พยายามซ่อนความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในอก หัวใจของเขาเต้นแรงจนเจ็บร้าว ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เพราะความกลัว... กลัวว่าความรักและความแค้นที่ตีกันยุ่งเหยิงจะทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ ฝีเท้าหนักแน่นของรองเท้าบูทหนังเดินผ่านแถวผู้คนเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมเย็นๆ ของไม้กฤษณาอันเป็นเอกลักษณ์ลอยมาแตะจมูก องค์ชายจวิ้นอี่เดินเข้ามาในลานพิธี รัศมีแห่งอำนาจบารมีแผ่กระจายออกมาจากร่างสูงสง่า ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักเทพเจ้าดูเย็นชาและเคร่งขรึม สายตาคมกริบกวาดมองเหล่าผู้คัดเลือกที่ก้มหน้าสงบเสงี่ยม ทว่า... เมื่อสายตานั้นปะทะเข้ากับร่างในชุดสีขาวที่หมอบอยู่ ฝีเท้าขององค์ชายหยุดชะงัก จวิ้นอี่รู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางศีรษะ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นปราดเข้ามาที่ขมับ พร้อมกับภาพบางอย่างที่วาบเข้ามาในหัว... ภาพของแผ่นหลังบอบบางในชุดสีขาวที่เดินหันหลังให้เขา ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ความรู้สึกนี้มันคืออะไร? ความคุ้นเคยที่น่าประหลาด... ความโหยหาที่ไร้ที่มา... และความเจ็บปวดที่เหมือนทำของสำคัญหายไป "เงยหน้าขึ้น" เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยสั่ง ทุกคนในบริเวณนั้นกลั้นหายใจ คิดว่าองค์ชายคงไม่พอพระทัยที่เห็นคนสวมชุดขาวในงานมงคล เหยียนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขบกรามแน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทาของร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับบุรุษผู้ยืนอยู่เหนือหัว วินาทีที่สายตาสองคู่ประสานกัน โลกทั้งใบดูเหมือนจะหยุดหมุน นัยน์ตาของจวิ้นอี่ไหวระริก เขาจ้องมองใบหน้างดงามนั้นราวกับต้องมนต์สะกด ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าเขา รู้จัก คนคนนี้... รู้จักดีกว่าใครๆ แต่ในทางตรงกันข้าม แววตาของเหยียนอวี่กลับว่างเปล่า... เย็นชา... และห่างเหินจนน่าใจหาย "ถวายบังคมฝ่าบาท" เหยียนอวี่เอ่ยเสียงเรียบ ไร้ซึ่งความขัดเขินหรือความพยายามจะโปรยเสน่ห์ จวิ้นอี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคาดหวังว่าจะเห็นแววตาชื่นชมหรือเขินอายเหมือนคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็น "เจ้า... ชื่ออะไร?" จวิ้นอี่ถามเสียงแผ่ว ทั้งที่ปกติต้องให้ขันทีเป็นคนขานชื่อ "กระหม่อม เซี่ยเหยียนอวี่ จากตระกูลเซี่ย พะย่ะค่ะ" เซี่ยเหยียนอวี่... ชื่อนี้วนเวียนอยู่ในหัวของจวิ้นอี่ราวกับบทเพลงเศร้า เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นแววตาเย็นชานั้น ฉินลี่หรงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เขารีบก้าวออกมาแทรก "ฝ่าบาท นายน้อยเซี่ยผู้นี้คงไม่รู้ธรรมเนียม จึงแต่งกายด้วยชุดขาวมาในงานมงคล ช่างเป็นการเสียมารยาทยิ่งนัก ขอฝ่าบาททรงลงโทษ..." "ใครบอกว่าเขาเสียมารยาท?" จวิ้นอี่ตวัดสายตาดุๆ ไปมองฉินลี่หรงจนอีกฝ่ายสะดุ้ง "ท่ามกลางดอกไม้หลากสีที่ฉูดฉาดบาดตา มีเพียงดอกบัวขาวดอกเดียวที่ดูสะอาดตาและสงบนิ่ง... ข้ากลับมองว่า นี่คือความงามที่แท้จริง" คำพูดนั้นทำเอาคนทั้งลานเงียบกริบ ฉินลี่หรงหน้าชาเหมือนถูกตบ ส่วนเหยียนอวี่เบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ ในชาติก่อน... จวิ้นอี่ไม่เคยพูดปกป้องเขาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ "ลุกขึ้นเถิด" จวิ้นอี่กล่าวกับเหยียนอวี่ น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน "วันนี้ข้าจะรอดู... ว่าดอกบัวขาวดอกนี้ จะมีความสามารถสมกับความงามหรือไม่" เหยียนอวี่ลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ "กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง... หรือบางที อาจจะทำให้ท่านประหลาดใจเสียมากกว่า" เขาตอบกลับด้วยวาจาสองแง่สองง่าม จวิ้นอี่มองเขานิ่งๆ อีกครั้ง พยายามค้นหาความหมายในดวงตาคู่นั้น แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไป เหยียนอวี่ผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียด ขาของเขาอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลง แต่เขาฝืนยืนไว้ เขาเปลี่ยนไป... เหยียนอวี่คิดในใจ หรือเป็นเพราะข้าเปลี่ยนไป เขาจึงมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไป? แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สายตาของเหยียนอวี่เหลือบไปเห็นฉินลี่หรงที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาอาฆาตแค้น และไป๋เหวินเจี๋ย... หมอหลวงหนุ่มที่ยืนปะปนอยู่กับข้าราชบริพาร ซึ่งกำลังมองมาที่เขาด้วยความสนใจในอาการหน้าซีดผิดปกติของเขา เกมกระดานนี้เพิ่งจะเริ่มต้น... และหมากตัวแรกที่เขาต้องเดิน ไม่ใช่การคว้าหัวใจท่านอ๋อง แต่คือการหาพันธมิตรที่จะช่วยรักษาชีวิต และวิญญาณของเขาไว้ให้ได้ เหยียนอวี่ยกมือกุมหน้าอกที่ยังเต้นผิดจังหวะ ก่อนจะหันไปสบตากับหมอหลวงหนุ่มผู้นั้น และส่งสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างไปให้ ท่านหมอไป๋... ข้าต้องการท่าน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม