บทที่ 6

1906 คำ
เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังกึกก้องไปทั่วถนนสายหลักหน้าจวนตระกูลเซี่ย ขบวนรถม้าหรูหราที่ประดับด้วยตรามังกรเงินเคลื่อนตัวมาหยุดที่หน้าประตูใหญ่ ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของชาวบ้านร้านตลาดที่พากันมุงดูอยู่ห่างๆ "นะ... นั่นรถม้าของวังหลวง!" "องค์ชายจวิ้นอี่เสด็จมาด้วยพระองค์เองจริงหรือ? นี่พระองค์ไม่กลัวอาถรรพ์ดวงกินผัวของนายน้อยเซี่ยเลยหรือไร?" เสียงซุบซิบดังก้อง แต่องค์ชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ ร่างสูงสง่าในชุดลำลองสีครามเข้มก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าผ่าเผย ใบหน้าคมคายเรียบสนิทดุจรูปสลักน้ำแข็ง แต่แววตากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น บ่าวไพร่ตระกูลเซี่ยที่เฝ้าประตูหน้าซีดเผือด รีบวิ่งเข้าไปรายงานนายท่านอย่างลนลาน ไม่นานนัก เซี่ยจง บิดาของเหยียนอวี่ ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยท่าทีประหม่า เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายเต็มหน้าผาก "ถวายบังคมฝ่าบาท... กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงมิได้เตรียมการต้อนรับ ขอพระราชทานอภัยพะย่ะค่ะ" เซี่ยจงคุกเข่าลงโขกศีรษะ "ลุกขึ้นเถิดใต้เท้าเซี่ย" จวิ้นอี่โบกมืออย่างไม่ถือสา "ข้ามาแบบส่วนตัว ไม่ต้องการพิธีรีตอง... ได้ยินข่าวว่าบุตรชายของท่านป่วยหนัก ข้าในฐานะผู้จัดงานคัดเลือกจึงนำหมอหลวงและยาบำรุงมาเยี่ยมเยียน" เซี่ยจงกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ เขาเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องลูกชายเป็นตัวกาลกิณีจนเครียดจัด ไม่นึกว่าองค์ชายจะกล้าฝ่ากระแสข่าวลือมาถึงที่นี่ "เอ่อ... เหยียนอวี่พักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังเรือนพะย่ะค่ะ แต่ว่า..." "แต่อะไร?" "ร่างกายเขาอ่อนแอมาก และ... เกรงว่าธาตุในกายจะไม่ถูกโฉลกกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่..." เซี่ยจงพยายามบ่ายเบี่ยงตามที่ลูกชายเคยเตือนไว้ จวิ้นอี่แค่นหัวเราะในลำคอ "ธาตุไม่ถูกโฉลก? หรืออาถรรพ์ดวงกินผัวที่เขาลือกัน? ใต้เท้าเซี่ย ท่านเป็นถึงขุนนางราชสำนัก ไยจึงเชื่อเรื่องงมงายพรรค์นี้... นำทางข้าไปเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำให้เซี่ยจงไม่กล้าขัดขืน จำต้องเดินนำองค์ชายมุ่งหน้าสู่สวนหลังเรือน … … ... บรรยากาศในสวนริมน้ำของตระกูลเซี่ยเงียบสงบจนวังเวง สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดกรรโชกแรงจนกิ่งหลิวลู่ลม ใบไม้แห้งปลิวว่อนราวกับกำลังเต้นระบำไว้อาลัย เซี่ยเหยียนอวี่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งไม้ไผ่ในศาลา สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวสะอาดตาที่ตัดกับผมดำขลับซึ่งปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งผาก ดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ แต่ทว่า... ดวงตาคู่สวยนั้นกลับนิ่งสงบ ไร้ระลอกคลื่นแห่งความหวาดกลัว เขารู้อยู่แล้วว่าจวิ้นอี่ต้องมา "นายน้อย... องค์ชายเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ" ลู่ชิงกระซิบเสียงสั่น นางยืนตัวลีบอยู่ข้างเสา เหยียนอวี่พยักหน้าเบาๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแล้วไอโขลกเบาๆ สองสามที เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของจวิ้นอี่ก้าวขึ้นมาบนศาลา "ถวายบังคม..." เหยียนอวี่ทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ แต่จวิ้นอี่ยกมือห้ามไว้ทันควัน "ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายิ่งไม่สบายอยู่" จวิ้นอี่กล่าวเสียงเข้ม เขาเดินเข้ามาประชิดตั่งไม้ไผ่ สายตาคมกริบกวาดสำรวจร่างบางตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพของเหยียนอวี่ดูย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้มาก... ใบหน้าที่เคยงดงามหมดจดบัดนี้ซูบตอบลง รังสีความป่วยไข้แผ่ออกมารอบตัวจนน่าใจหาย ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขมับแล่นจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพซ้อนทับของเหยียนอวี่ที่นอนจมกองเลือดในความฝันผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง จวิ้นอี่สะบัดหน้าไล่ภาพนั้นออกไป พยายามข่มความรู้สึกปั่นป่วนในใจ "ได้ยินว่าเจ้าป่วย... ข้าพาหมอหลวงมาด้วย" จวิ้นอี่พยักหน้าไปทางด้านหลัง ไป๋เหวินเจี๋ยที่ปลอมตัวเนียนมาในขบวนผู้ติดตามรีบก้าวออกมาพร้อมล่วมยา เหยียนอวี่สบตาไป๋เหวินเจี๋ยแวบหนึ่ง เป็นสัญญาณรู้กัน "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา" เหยียนอวี่เอ่ยเสียงแหบพร่า "แต่โรคของกระหม่อม... หมอเทวดาที่ไหนก็รักษาไม่หายหรอกพะย่ะค่ะ" "ทำไมจะรักษาไม่หาย?" จวิ้นอี่ขมวดคิ้ว "เจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?" เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นสบตาองค์ชายช้าๆ แววตาของเขาว่างเปล่าและเย็นชา "โรคกรรมพะย่ะค่ะ" เขาตอบ "กระหม่อมเกิดมาพร้อมดวงชะตาที่อาภัพ ใครที่อยู่ใกล้กระหม่อมมักจะมีเรื่องเดือดร้อน... เหมือนกับที่เขาลือกันว่ากระหม่อมเป็นตัวกาลกิณี" "เหลวไหล!" จวิ้นอี่ตวาดเสียงดังจนลู่ชิงสะดุ้ง "ข้าไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาบ้าบอนั่น! มันเป็นแค่ข่าวลือที่คนอิจฉาริษยาสร้างขึ้นมาทำลายเจ้า!" "แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงเล่า?" เหยียนอวี่ย้อนถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่เชือดเฉือน "ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่พระองค์สัมผัสตัวกระหม่อมในสวนหิน พระองค์ทรงมีอาการอย่างไร? ปวดเศียร? หน้ามืด? หรือรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง?" จวิ้นอี่ชะงักงัน เขาจำความรู้สึกนั้นได้แม่นยำ... ความเจ็บปวดที่เหมือนหัวสมองจะระเบิด และภาพนิมิตที่ชวนสยดสยอง "นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ" จวิ้นอี่เถียงข้างๆ คูๆ แต่ในใจกลับเริ่มหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะกลัวอาถรรพ์ แต่เพราะกลัวความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ของตัวเอง "บังเอิญหรือไม่... พระองค์ลองพิสูจน์ดูอีกครั้งไหมล่ะพะย่ะค่ะ?" เหยียนอวี่ท้าทาย เขายื่นมือขาวซีดออกมาตรงหน้า ฝ่ามือแบออกราวกับเชื้อเชิญ บรรยากาศในศาลาตึงเครียดจนแทบจะจุดไฟติด หลิวจื้อเฉินที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังองค์ชายกระชับดาบแน่น ส่วนไป๋เหวินเจี๋ยกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึก เขารู้ดีว่าเหยียนอวี่กำลังเล่นกับไฟ เพราะการสัมผัสตัวกันจะทำให้อาการวิญญาณไม่เสถียรกำเริบหนักขึ้น จวิ้นอี่มองมือนั้นนิ่ง... มือที่ดูบอบบางและเย็นเยียบ ศักดิ์ศรีของมังกรไม่ยอมให้เขาถอยหลัง องค์ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเหยียนอวี่เต็มแรง! เปรี้ยง! ทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน กระแสความเจ็บปวดรุนแรงกว่าครั้งก่อนนับร้อยเท่าแล่นพล่านเข้าสู่ระบบประสาทของทั้งคู่! "อึก!" จวิ้นอี่คำรามในลำคอ เขาทรุดฮวบลงคุกเข่าข้างหนึ่ง มืออีกข้างกุมขมับแน่น ภาพนิมิตไหลทะลักเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก ภาพงานมงคลสมรสสีแดงฉาน... ภาพเหยียนอวี่ในชุดเจ้าสาวกราบไหว้ฟ้าดินเคียงข้างเขา... ภาพรอยยิ้มหวานหยดย้อยที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญ... ภาพตัวเขาเองที่สั่งขังคนรักในตำหนักเย็น... และภาพสุดท้าย... ศพที่ไร้วิญญาณ "ไม่..." จวิ้นอี่พึมพำ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความสยดสยอง "นี่มัน... ภาพบ้าอะไรกัน..." ในขณะเดียวกัน เหยียนอวี่เองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ริมฝีปากเม้มแน่นจนห่อเลือด เขารู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกกระชากออกจากร่างอย่างรุนแรง "ปล่อย..." เหยียนอวี่เค้นเสียง "ปล่อยข้า..." แต่จวิ้นอี่กลับไม่ยอมปล่อย ยิ่งเจ็บปวด เขายิ่งกำข้อมือนั้นแน่นขึ้น ราวกับว่าถ้าปล่อยมือนี้ไป เขาจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไปตลอดกาล "ข้า... ไม่ปล่อย!" จวิ้นอี่กัดฟันสู้กับความเจ็บปวด นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองเหยียนอวี่ "ต่อให้เจ้าจะเป็นตัวกาลกิณีจริงๆ... ต่อให้จับตัวเจ้าแล้วข้าต้องเจ็บปวดเจียนตาย... ข้าก็จะไม่ปล่อย!" คำพูดนั้นกระแทกใจเหยียนอวี่อย่างจัง ความทรงจำในชาติก่อนย้อนกลับมา... คำสัญญาที่จวิ้นอี่เคยให้ไว้ว่า 'จะไม่มีวันปล่อยมือเจ้า' ทำไม... ทำไมต้องมาทำตามสัญญาในตอนที่สายไปแล้ว? ทำไมต้องมาทำดีในชาตินี้? "ฝ่าบาท! ปล่อยนายน้อยเถอะพะย่ะค่ะ!" ไป๋เหวินเจี๋ยทนดูไม่ไหว รีบถลันเข้ามาใช้วิชาสกัดจุดจิ้มไปที่ข้อมือของจวิ้นอี่ ทำให้มือขององค์ชายคลายออกโดยอัตโนมัติ ทันทีที่หลุดจากการสัมผัส ทั้งสองร่างก็หอบหายใจหนักหน่วงราวกับเพิ่งผ่านความเป็นความตาย จวิ้นอี่พยายามปรับลมหายใจ เขาเงยหน้ามองเหยียนอวี่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนตั่ง ความสงสารและความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกผิด "ฝ่าบาท..." หลิวจื้อเฉินรีบเข้ามาประคอง "พระพักตร์ซีดมาก กลับวังก่อนเถิดพะย่ะค่ะ" จวิ้นอี่ส่ายหน้า เขาพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยขาที่ยังสั่นเทา สายตายังคงจับจ้องไปที่เหยียนอวี่ไม่วางตา "ข้าไม่เป็นไร" จวิ้นอี่เอ่ยเสียงเข้ม "ข้าแค่... ได้คำตอบแล้ว" "คำตอบ?" เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาพร่ามัว จวิ้นอี่ก้าวเข้ามาประชิดตัวเหยียนอวี่อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้สัมผัสตัว เพียงแค่โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง "ข้าไม่รู้ว่าอดีตระหว่างเราคืออะไร... ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงเจ็บปวดเมื่อแตะตัวเจ้า แต่สิ่งที่ข้ารู้แน่ชัดในตอนนี้คือ... ข้าจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาบ้าๆ นี่" "..." "ยิ่งเจ้าผลักไสข้า... ข้าจะยิ่งเข้าหา ยิ่งเจ้าบอกว่าเป็นตัวกาลกิณี... ข้าจะยิ่งพิสูจน์ว่าข้าแกร่งพอที่จะอยู่ข้างเจ้า" จวิ้นอี่ผละออกมา ยืดตัวตรง ประกาศก้องให้ได้ยินทั่วทั้งศาลา "ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป! นับแต่นี้ ห้ามใครหน้าไหนพูดว่าเซี่ยเหยียนอวี่เป็นตัวกาลกิณีอีก หากข้าได้ยิน... ข้าจะสั่งตัดลิ้นมันซะ! และให้ส่งเทียบเชิญตระกูลเซี่ยเข้าวังหลวงทุกงานอย่าให้ขาด ข้าจะดูแลว่าที่คู่หมั้นของข้าด้วยตัวเอง!" สิ้นคำประกาศิต จวิ้นอี่ก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป ทิ้งให้ความเงียบงันและความตื่นตะลึงปกคลุมทั่วบริเวณ เหยียนอวี่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับสายตา หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกจากหางตา... ไม่ใช่เพราะความซาบซึ้ง แต่เพราะความหวาดกลัว กลัวว่าหัวใจที่ด้านชาดวงนี้... จะพ่ายแพ้ให้กับความอบอุ่นขององค์ชายจวิ้นอี่อีกครั้ง "ท่านหมอ..." เหยียนอวี่เรียกไป๋เหวินเจี๋ยเสียงเบาหวิว "ข้าอยู่นี่ นายน้อย" "เตรียมยาให้ข้าที..." เหยียนอวี่หลับตาลง "เอายาที่ขมที่สุด... ขมจนข้าลืมความรู้สึกเมื่อครู่นี้ไปให้หมด" ไป๋เหวินเจี๋ยมองคนไข้ของตนด้วยความเวทนา เขาเข้าใจดีว่ายาขมรักษาโรคกายได้... แต่โรครักที่ฝังรากลึกข้ามภพข้ามชาติ ไม่มียาขนานใดรักษาได้นอกจากใจของคนผู้นั้นเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม