เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังกึกก้องไปทั่วถนนสายหลักหน้าจวนตระกูลเซี่ย ขบวนรถม้าหรูหราที่ประดับด้วยตรามังกรเงินเคลื่อนตัวมาหยุดที่หน้าประตูใหญ่ ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของชาวบ้านร้านตลาดที่พากันมุงดูอยู่ห่างๆ
"นะ... นั่นรถม้าของวังหลวง!"
"องค์ชายจวิ้นอี่เสด็จมาด้วยพระองค์เองจริงหรือ? นี่พระองค์ไม่กลัวอาถรรพ์ดวงกินผัวของนายน้อยเซี่ยเลยหรือไร?"
เสียงซุบซิบดังก้อง แต่องค์ชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ ร่างสูงสง่าในชุดลำลองสีครามเข้มก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าผ่าเผย ใบหน้าคมคายเรียบสนิทดุจรูปสลักน้ำแข็ง แต่แววตากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น
บ่าวไพร่ตระกูลเซี่ยที่เฝ้าประตูหน้าซีดเผือด รีบวิ่งเข้าไปรายงานนายท่านอย่างลนลาน ไม่นานนัก เซี่ยจง บิดาของเหยียนอวี่ ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยท่าทีประหม่า เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายเต็มหน้าผาก
"ถวายบังคมฝ่าบาท... กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงมิได้เตรียมการต้อนรับ ขอพระราชทานอภัยพะย่ะค่ะ" เซี่ยจงคุกเข่าลงโขกศีรษะ
"ลุกขึ้นเถิดใต้เท้าเซี่ย" จวิ้นอี่โบกมืออย่างไม่ถือสา "ข้ามาแบบส่วนตัว ไม่ต้องการพิธีรีตอง... ได้ยินข่าวว่าบุตรชายของท่านป่วยหนัก ข้าในฐานะผู้จัดงานคัดเลือกจึงนำหมอหลวงและยาบำรุงมาเยี่ยมเยียน"
เซี่ยจงกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ เขาเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องลูกชายเป็นตัวกาลกิณีจนเครียดจัด ไม่นึกว่าองค์ชายจะกล้าฝ่ากระแสข่าวลือมาถึงที่นี่ "เอ่อ... เหยียนอวี่พักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังเรือนพะย่ะค่ะ แต่ว่า..."
"แต่อะไร?"
"ร่างกายเขาอ่อนแอมาก และ... เกรงว่าธาตุในกายจะไม่ถูกโฉลกกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่..." เซี่ยจงพยายามบ่ายเบี่ยงตามที่ลูกชายเคยเตือนไว้
จวิ้นอี่แค่นหัวเราะในลำคอ "ธาตุไม่ถูกโฉลก? หรืออาถรรพ์ดวงกินผัวที่เขาลือกัน? ใต้เท้าเซี่ย ท่านเป็นถึงขุนนางราชสำนัก ไยจึงเชื่อเรื่องงมงายพรรค์นี้... นำทางข้าไปเดี๋ยวนี้!"
น้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำให้เซี่ยจงไม่กล้าขัดขืน จำต้องเดินนำองค์ชายมุ่งหน้าสู่สวนหลังเรือน
…
…
...
บรรยากาศในสวนริมน้ำของตระกูลเซี่ยเงียบสงบจนวังเวง สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดกรรโชกแรงจนกิ่งหลิวลู่ลม ใบไม้แห้งปลิวว่อนราวกับกำลังเต้นระบำไว้อาลัย
เซี่ยเหยียนอวี่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งไม้ไผ่ในศาลา สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวสะอาดตาที่ตัดกับผมดำขลับซึ่งปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งผาก ดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
แต่ทว่า... ดวงตาคู่สวยนั้นกลับนิ่งสงบ ไร้ระลอกคลื่นแห่งความหวาดกลัว
เขารู้อยู่แล้วว่าจวิ้นอี่ต้องมา
"นายน้อย... องค์ชายเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ" ลู่ชิงกระซิบเสียงสั่น นางยืนตัวลีบอยู่ข้างเสา
เหยียนอวี่พยักหน้าเบาๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแล้วไอโขลกเบาๆ สองสามที เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของจวิ้นอี่ก้าวขึ้นมาบนศาลา
"ถวายบังคม..." เหยียนอวี่ทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ แต่จวิ้นอี่ยกมือห้ามไว้ทันควัน
"ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายิ่งไม่สบายอยู่" จวิ้นอี่กล่าวเสียงเข้ม เขาเดินเข้ามาประชิดตั่งไม้ไผ่ สายตาคมกริบกวาดสำรวจร่างบางตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
สภาพของเหยียนอวี่ดูย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้มาก... ใบหน้าที่เคยงดงามหมดจดบัดนี้ซูบตอบลง รังสีความป่วยไข้แผ่ออกมารอบตัวจนน่าใจหาย
ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขมับแล่นจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพซ้อนทับของเหยียนอวี่ที่นอนจมกองเลือดในความฝันผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง จวิ้นอี่สะบัดหน้าไล่ภาพนั้นออกไป พยายามข่มความรู้สึกปั่นป่วนในใจ
"ได้ยินว่าเจ้าป่วย... ข้าพาหมอหลวงมาด้วย" จวิ้นอี่พยักหน้าไปทางด้านหลัง ไป๋เหวินเจี๋ยที่ปลอมตัวเนียนมาในขบวนผู้ติดตามรีบก้าวออกมาพร้อมล่วมยา
เหยียนอวี่สบตาไป๋เหวินเจี๋ยแวบหนึ่ง เป็นสัญญาณรู้กัน
"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา" เหยียนอวี่เอ่ยเสียงแหบพร่า "แต่โรคของกระหม่อม... หมอเทวดาที่ไหนก็รักษาไม่หายหรอกพะย่ะค่ะ"
"ทำไมจะรักษาไม่หาย?" จวิ้นอี่ขมวดคิ้ว "เจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?"
เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นสบตาองค์ชายช้าๆ แววตาของเขาว่างเปล่าและเย็นชา
"โรคกรรมพะย่ะค่ะ" เขาตอบ "กระหม่อมเกิดมาพร้อมดวงชะตาที่อาภัพ ใครที่อยู่ใกล้กระหม่อมมักจะมีเรื่องเดือดร้อน... เหมือนกับที่เขาลือกันว่ากระหม่อมเป็นตัวกาลกิณี"
"เหลวไหล!" จวิ้นอี่ตวาดเสียงดังจนลู่ชิงสะดุ้ง "ข้าไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาบ้าบอนั่น! มันเป็นแค่ข่าวลือที่คนอิจฉาริษยาสร้างขึ้นมาทำลายเจ้า!"
"แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงเล่า?" เหยียนอวี่ย้อนถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่เชือดเฉือน "ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่พระองค์สัมผัสตัวกระหม่อมในสวนหิน พระองค์ทรงมีอาการอย่างไร? ปวดเศียร? หน้ามืด? หรือรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง?"
จวิ้นอี่ชะงักงัน
เขาจำความรู้สึกนั้นได้แม่นยำ... ความเจ็บปวดที่เหมือนหัวสมองจะระเบิด และภาพนิมิตที่ชวนสยดสยอง
"นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ" จวิ้นอี่เถียงข้างๆ คูๆ แต่ในใจกลับเริ่มหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะกลัวอาถรรพ์ แต่เพราะกลัวความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ของตัวเอง
"บังเอิญหรือไม่... พระองค์ลองพิสูจน์ดูอีกครั้งไหมล่ะพะย่ะค่ะ?"
เหยียนอวี่ท้าทาย เขายื่นมือขาวซีดออกมาตรงหน้า ฝ่ามือแบออกราวกับเชื้อเชิญ
บรรยากาศในศาลาตึงเครียดจนแทบจะจุดไฟติด หลิวจื้อเฉินที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังองค์ชายกระชับดาบแน่น ส่วนไป๋เหวินเจี๋ยกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึก เขารู้ดีว่าเหยียนอวี่กำลังเล่นกับไฟ เพราะการสัมผัสตัวกันจะทำให้อาการวิญญาณไม่เสถียรกำเริบหนักขึ้น
จวิ้นอี่มองมือนั้นนิ่ง... มือที่ดูบอบบางและเย็นเยียบ
ศักดิ์ศรีของมังกรไม่ยอมให้เขาถอยหลัง องค์ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเหยียนอวี่เต็มแรง!
เปรี้ยง!
ทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน กระแสความเจ็บปวดรุนแรงกว่าครั้งก่อนนับร้อยเท่าแล่นพล่านเข้าสู่ระบบประสาทของทั้งคู่!
"อึก!"
จวิ้นอี่คำรามในลำคอ เขาทรุดฮวบลงคุกเข่าข้างหนึ่ง มืออีกข้างกุมขมับแน่น ภาพนิมิตไหลทะลักเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก
ภาพงานมงคลสมรสสีแดงฉาน...
ภาพเหยียนอวี่ในชุดเจ้าสาวกราบไหว้ฟ้าดินเคียงข้างเขา...
ภาพรอยยิ้มหวานหยดย้อยที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญ...
ภาพตัวเขาเองที่สั่งขังคนรักในตำหนักเย็น...
และภาพสุดท้าย... ศพที่ไร้วิญญาณ
"ไม่..." จวิ้นอี่พึมพำ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความสยดสยอง "นี่มัน... ภาพบ้าอะไรกัน..."
ในขณะเดียวกัน เหยียนอวี่เองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ริมฝีปากเม้มแน่นจนห่อเลือด เขารู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกกระชากออกจากร่างอย่างรุนแรง
"ปล่อย..." เหยียนอวี่เค้นเสียง "ปล่อยข้า..."
แต่จวิ้นอี่กลับไม่ยอมปล่อย ยิ่งเจ็บปวด เขายิ่งกำข้อมือนั้นแน่นขึ้น ราวกับว่าถ้าปล่อยมือนี้ไป เขาจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไปตลอดกาล
"ข้า... ไม่ปล่อย!" จวิ้นอี่กัดฟันสู้กับความเจ็บปวด นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองเหยียนอวี่ "ต่อให้เจ้าจะเป็นตัวกาลกิณีจริงๆ... ต่อให้จับตัวเจ้าแล้วข้าต้องเจ็บปวดเจียนตาย... ข้าก็จะไม่ปล่อย!"
คำพูดนั้นกระแทกใจเหยียนอวี่อย่างจัง ความทรงจำในชาติก่อนย้อนกลับมา... คำสัญญาที่จวิ้นอี่เคยให้ไว้ว่า 'จะไม่มีวันปล่อยมือเจ้า'
ทำไม... ทำไมต้องมาทำตามสัญญาในตอนที่สายไปแล้ว? ทำไมต้องมาทำดีในชาตินี้?
"ฝ่าบาท! ปล่อยนายน้อยเถอะพะย่ะค่ะ!"
ไป๋เหวินเจี๋ยทนดูไม่ไหว รีบถลันเข้ามาใช้วิชาสกัดจุดจิ้มไปที่ข้อมือของจวิ้นอี่ ทำให้มือขององค์ชายคลายออกโดยอัตโนมัติ
ทันทีที่หลุดจากการสัมผัส ทั้งสองร่างก็หอบหายใจหนักหน่วงราวกับเพิ่งผ่านความเป็นความตาย
จวิ้นอี่พยายามปรับลมหายใจ เขาเงยหน้ามองเหยียนอวี่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนตั่ง ความสงสารและความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกผิด
"ฝ่าบาท..." หลิวจื้อเฉินรีบเข้ามาประคอง "พระพักตร์ซีดมาก กลับวังก่อนเถิดพะย่ะค่ะ"
จวิ้นอี่ส่ายหน้า เขาพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยขาที่ยังสั่นเทา สายตายังคงจับจ้องไปที่เหยียนอวี่ไม่วางตา
"ข้าไม่เป็นไร" จวิ้นอี่เอ่ยเสียงเข้ม "ข้าแค่... ได้คำตอบแล้ว"
"คำตอบ?" เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาพร่ามัว
จวิ้นอี่ก้าวเข้ามาประชิดตัวเหยียนอวี่อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้สัมผัสตัว เพียงแค่โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง
"ข้าไม่รู้ว่าอดีตระหว่างเราคืออะไร... ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงเจ็บปวดเมื่อแตะตัวเจ้า แต่สิ่งที่ข้ารู้แน่ชัดในตอนนี้คือ... ข้าจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาบ้าๆ นี่"
"..."
"ยิ่งเจ้าผลักไสข้า... ข้าจะยิ่งเข้าหา ยิ่งเจ้าบอกว่าเป็นตัวกาลกิณี... ข้าจะยิ่งพิสูจน์ว่าข้าแกร่งพอที่จะอยู่ข้างเจ้า"
จวิ้นอี่ผละออกมา ยืดตัวตรง ประกาศก้องให้ได้ยินทั่วทั้งศาลา
"ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป! นับแต่นี้ ห้ามใครหน้าไหนพูดว่าเซี่ยเหยียนอวี่เป็นตัวกาลกิณีอีก หากข้าได้ยิน... ข้าจะสั่งตัดลิ้นมันซะ! และให้ส่งเทียบเชิญตระกูลเซี่ยเข้าวังหลวงทุกงานอย่าให้ขาด ข้าจะดูแลว่าที่คู่หมั้นของข้าด้วยตัวเอง!"
สิ้นคำประกาศิต จวิ้นอี่ก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป ทิ้งให้ความเงียบงันและความตื่นตะลึงปกคลุมทั่วบริเวณ
เหยียนอวี่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับสายตา หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง
น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกจากหางตา... ไม่ใช่เพราะความซาบซึ้ง แต่เพราะความหวาดกลัว
กลัวว่าหัวใจที่ด้านชาดวงนี้... จะพ่ายแพ้ให้กับความอบอุ่นขององค์ชายจวิ้นอี่อีกครั้ง
"ท่านหมอ..." เหยียนอวี่เรียกไป๋เหวินเจี๋ยเสียงเบาหวิว
"ข้าอยู่นี่ นายน้อย"
"เตรียมยาให้ข้าที..." เหยียนอวี่หลับตาลง "เอายาที่ขมที่สุด... ขมจนข้าลืมความรู้สึกเมื่อครู่นี้ไปให้หมด"
ไป๋เหวินเจี๋ยมองคนไข้ของตนด้วยความเวทนา เขาเข้าใจดีว่ายาขมรักษาโรคกายได้... แต่โรครักที่ฝังรากลึกข้ามภพข้ามชาติ ไม่มียาขนานใดรักษาได้นอกจากใจของคนผู้นั้นเอง