ยามค่ำในวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องผ่านกิ่งไม้ลงสู่ทางเดินหินอ่อนของสวนหลวง เงาของต้นสนโบราณทอดยาวราววิญญาณของผีที่กำลังหลบซ่อนอยู่ในความมืด เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวเดินเงียบ ๆ ตามทางเดินแคบที่นำไปสู่ตำหนักหลานหวา เขาแต่งกายในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ปักลายเมฆด้วยด้ายเงิน ผมยาวมัดหลวมด้วยริบบิ้นสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกขาวของเขานิ่งสงบ ดวงตาคู่สวยฉายแววระแวงที่ซ่อนความเฉียบคม เขาได้รับข้อความจากหลิวจื้อเฉินเมื่อบ่ายนี้ เป็นคำเตือนว่าฉินลี่หรงมีการเคลื่อนไหวลับ ๆ และอาจเกี่ยวข้องกับขุนนางบางคนในงานชุมนุมคืนนี้ เหยียนอวี่ตัดสินใจไปด้วยตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะผู้เข้าร่วม แต่ในฐานะสายลับที่คอยสอดแนม
วังหลวงคือสนามรบที่ความจริงมักซ่อนอยู่ภายใต้เงามืด เขานึกถึงความสงสัยของหลิวจื้อเฉิน คำถามที่ว่าเขารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือไม่ และการร่วมมือลับ ๆ กับไป๋เหวินเจี๋ยที่ให้ความรู้ด้านการแพทย์เพื่อต้านแผนร้ายของฉินลี่หรง ทว่าความรู้สึกหนักอึ้งในใจยิ่งทวีเมื่อนึกถึงชาติก่อน ศัตรูเก่าที่เคยทำลายเขา และเครื่องรางหยกของฉินลี่หรงที่อาจเชื่อมโยงกับความลับนั้น เหยียนอวี่รู้ว่าเขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ และคืนนี้ อาจเป็นโอกาสที่ดีของเขา
เขาแอบซ่อนตัวอยู่หลังม่านไม้เลื้อยหนาที่ยื่นออกจากกำแพงด้านนอกของตำหนักหลานหวา เงาของเขากลมกลืนกับความมืด เสียงหัวเราะและดนตรีจากงานชุมนุมลอยออกมาเบา ๆ แต่เหยียนอวี่มิได้สนใจ เขาคอยฟังเสียงฝีเท้าที่แยกออกจากกลุ่ม และไม่นาน เขาก็ได้ยินมัน เสียงฝีเท้าเบา ๆ สองคู่เดินไปยังมุมเงียบของสวนด้านหลังตำหนัก เขาขยับตัวช้า ๆ ติดตามไปโดยไม่ให้เกิดเสียง
ในมุมมืดใต้ร่มเงาของต้นหลิว ฉินลี่หรงยืนอยู่กับชายอีกคน ขุนนางในชุดสีเขียวเข้มที่มีใบหน้าคมแต่แววตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เหยียนอวี่จำเขาได้ทันที เฉินหยาง ขุนนางจากตระกูลเฉินที่ในชาติก่อนเคยเป็นหัวหน้ากบฏที่พยายามโค่นราชสำนัก หัวใจของเหยียนอวี่เต้นเร็วขึ้น ความทรงจำจากชาติก่อนผุดขึ้น เฉินหยางคือหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของเขาและตระกูล และการที่ฉินลี่หรงพบกับชายผู้นี้ในคืนนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ
“ทุกอย่างพร้อมหรือยัง?” ฉินลี่หรงถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงความเย็นชา มือของเขาลูบเครื่องรางหยกที่ห้อยจากสายรัดเอวราวเป็นนิสัย
เฉินหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ “คนของเราอยู่ในตำแหน่งแล้ว” เขากล่าว “แต่เราต้องระวัง ฝ่าบาทเริ่มสงสัย และนายน้อยเซี่ยผู้นั้น... เขาไม่ใช่คนที่จัดการง่ายอย่างที่ท่านคิด”
ฉินลี่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาเข้มขึ้น “เซี่ยเหยียนอวี่...” เขากล่าวช้า ๆ “เขามีเล่ห์กลมากกว่าที่ข้าคาด แต่เขาจะไม่รอดจากสิ่งที่เราวางไว้”
เหยียนอวี่ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดรู้สึกถึงความเย็นที่ไหลลงสันหลัง เขาจะต้องฟังต่อ ทุกคำอาจเป็นกุญแจสู่แผนร้ายของฉินลี่หรง
“เราจะใช้ เงาทมิฬ ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วง” เฉินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง “เมื่อถึงเวลา ทุกสายตาจะจับจ้องที่นายน้อยเซี่ย และไม่มีใครสงสัยเรา”
ฉินลี่หรงพยักหน้า “ดี... แต่จงแน่ใจว่าจะไม่มีร่องรอยของเงาทมิฬหลงเหลือ ทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบ” เขากล่าว “และหากมีสิ่งใดผิดพลาด เฉินหยาง เจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
เฉินหยางยิ้มเย็น “ท่านไม่ต้องกังวล ท่านฉิน ข้าทำงานสะอาดมาโดยตลอด”
เหยียนอวี่จดจำทุกคำ ไม่ว่าจะเป็น ‘เงาทมิฬ’ และ ‘งานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วง’ มันเป็นรหัสลับที่เขายังไม่เข้าใจ แต่ความทรงจำจากชาติก่อนทำให้เขานึกถึงบางอย่าง
เงาทมิฬเคยถูกกล่าวถึงในบันทึกที่เขาอ่านเจอก่อนหน้านี้ มันถูกใช้ในแผนกบฏเพื่อสร้างความโกลาหลให้กับวังหลวงโดยไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่ แต่ในบันทึกนั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจนว่ามันคืออะไร เขาจะต้องหาความหมายของมันให้ได้ และการที่ฉินลี่หรงสมคบกับเฉินหยางยืนยันว่าเขาไม่ใช่เพียงขุนนางที่ทะเยอทะยาน แต่เป็นศัตรูที่เชื่อมโยงกับความล่มสลายในอดีตของเขา
เมื่อทั้งสองแยกจากกัน เหยียนอวี่ถอยกลับเข้าสู่เงามืด รอจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นก่อนจะรีบกลับไปยังตำหนักหย่งชิง หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยทั้งความตื่นเต้นและความกลัว เขาได้ยินบางสิ่งที่อาจเปลี่ยนเกมในวังหลวง แต่เขาจะต้องระวังยิ่งขึ้น เพราะหากฉินลี่หรงรู้ว่าเขาล่วงรู้แผนนี้ ชีวิตของเขาจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย
ในห้องพักของตำหนักหย่งชิง เหยียนอวี่จุดตะเกียงน้ำมัน นั่งลงที่โต๊ะไม้จันทน์แดง เขาเขียนบันทึกในม้วนกระดาษอย่างรวดเร็ว คำว่า “เงาทมิฬ” และ “เฉินหยาง” พร้อมวงกลมรอบชื่อของฉินลี่หรง เขานึกถึงเครื่องรางหยกของฉินลี่หรง ลายเส้นที่เหมือนอักขระโบราณ และความเป็นไปได้ที่ชายผู้นั้นอาจรู้เรื่องชาติก่อนเช่นเดียวกับเขา ความสงสัยนั้นยิ่งทำให้เขาต้องเร่งหาคำตอบ
เขาเขียนจดหมายสั้น ๆ ส่งถึงหลิวจื้อเฉิน ขอให้องครักษ์หนุ่มช่วยสืบเรื่องเฉินหยางอย่างลับ ๆ โดยไม่ระบุรายละเอียดมากเกินไป เขาจะต้องปกป้องหลิวจื้อเฉินจากความจริงที่อาจเป็นอันตราย และเขาจะต้องปรึกษาไป๋เหวินเจี๋ย บางทีหมอหลวงอาจรู้ว่าเงาทมิฬเกี่ยวข้องกับยาพิษหรือสมุนไพรใดหรือไม่
ในอีกมุมหนึ่งของวังหลวง ฉินลี่หรงยืนอยู่ในสวนส่วนตัวของตำหนักจินหลง มือของเขากำเครื่องรางหยกแน่น สายตาคู่คมมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว เขานึกถึงเซี่ยเหยียนอวี่ ไหวพริบที่ทำให้เขาระแวง และความรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่รู้มากเกินไป “เจ้ากำลังซ่อนอะไรไว้ เซี่ยเหยียนอวี่?” เขากระซิบ “ไม่ว่าเจ้าจะฉลาดเพียงใด แต่เงาทมิฬจะเป็นจุดจบของเจ้า”
ยามดึก เหยียนอวี่ยืนที่ระเบียงของตำหนักหย่งชิง มองสระบัวที่สะท้อนแสงจันทร์ เขานึกถึงฉินลี่หรงและเฉินหยาง ศัตรูเก่าที่กลับมาในชาตินี้ และแผนร้ายที่อาจเขย่าราชสำนัก เขานึกถึงหลิวจื้อเฉินที่เริ่มสงสัยเขา และไป๋เหวินเจี๋ยที่อาจช่วยถอดรหัสเงาทมิฬได้
“เจ้าเริ่มแผนใหญ่แล้วสินะ ฉินลี่หรง” เขากระซิบกับสายลม “แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นผู้ชนะเด็ดขาด”