สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านระเบียงยาวของวังหลวง หอบเอาใบไม้แห้งสีน้ำตาลปลิวว่อนไปทั่วลานหิน แม้ความวุ่นวายจากการกบฏของฉินลี่หรงจะจบลงแล้ว แต่บรรยากาศในราชสำนักกลับยังคงตึงเครียดราวกับคลื่นใต้น้ำที่รอเวลาระเบิด
การกวาดล้างขุนนางฝ่ายตระกูลฉินดำเนินไปอย่างเข้มข้น ตำแหน่งสำคัญในราชสำนักว่างลงหลายตำแหน่ง ทำให้เกิดสูญญากาศทางอำนาจที่เหล่าขุนนางเฒ่าจ้องจะตะครุบ
ณ ห้องทรงอักษร
องค์ชายจวิ้นอี่ทรงงานหนักติดต่อกันมาหลายวัน กองฎีกาตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะราวกับกำแพงเมือง พระพักตร์คมคายฉายแววเหนื่อยล้า แต่แววตายังคงเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง
"ฝ่าบาท..." หลิวจื้อเฉินก้าวเข้ามาพร้อมถาดน้ำชา "พักผ่อนบ้างเถิดพะย่ะค่ะ พระองค์แทบไม่ได้บรรทมมาสามคืนแล้ว"
"ข้าพักไม่ได้ จื้อเฉิน" จวิ้นอี่ตอบโดยไม่เงยหน้าจากเอกสาร "ตอนนี้รากฐานของราชสำนักกำลังสั่นคลอน หากข้าไม่รีบจัดการวางคนของข้าลงไปแทนที่คนของฉินลี่หรง พวกขุนนางตระกูลเก่าจะฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซง... และนั่นจะเป็นอันตรายต่อเหยียนอวี่"
ทุกการกระทำของพระองค์... ล้วนมีเป้าหมายเดียว คือความปลอดภัยของคนรัก
"พูดถึงนายน้อยเซี่ย..." จื้อเฉินลังเลเล็กน้อย "วันนี้ท่านหมอไป๋รายงานมาว่า นายน้อยมีอาการหน้ามืดบ่อยครั้ง และมักจะตัวเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง"
มือที่ถือพู่กันชะงักกึก จวิ้นอี่เงยหน้าขวับ "ทำไมเพิ่งมาบอกข้า!?"
"นายน้อยสั่งห้ามไว้พะย่ะค่ะ ท่านไม่อยากให้ฝ่าบาททรงกังวลในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้"
"เด็กโง่..." จวิ้นอี่พึมพำเสียงเครียด พระองค์ทิ้งพู่กันลงทันที "เตรียมรถม้า ข้าจะไปตำหนักหย่งชิงเดี๋ยวนี้!"
"ช้าก่อนพะย่ะค่ะ!" จื้อเฉินรีบขวาง "ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือ วันนี้ทรงนัดหมายให้ องค์ชายหลงอวี่ เข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานการศึกษา... พระองค์รออยู่ที่หน้าห้องแล้ว"
จวิ้นอี่ชะงัก พระองค์หลับตาลง สูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความร้อนรนในใจ
องค์ชายหลงอวี่... หลานชายเพียงคนเดียวของเขา บุตรชายของอดีตรัชทายาทผู้ล่วงลับ
เด็กคนนี้คือหมากตัวสำคัญที่สุดในแผนการอนาคตที่เขาวางไว้
"ให้เข้ามา" จวิ้นอี่สั่งเสียงเรียบ กลับไปนั่งประทับที่เดิม ปรับสีหน้าให้ดูสุขุมนุ่มลึกดังเดิม
ประตูเปิดออก เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีในชุดรัดกุมสีเหลืองอ่อนก้าวเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม ใบหน้าของหลงอวี่ดูคล้ายคลึงกับจวิ้นอี่อยู่หลายส่วน แต่แววตายังมีความอ่อนเยาว์และใสซื่อเจือปนอยู่
"ถวายบังคมเสด็จอา" หลงอวี่คุกเข่าลงทำความเคารพอย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผน
"ลุกขึ้นเถิด หลงอวี่" จวิ้นอี่ผายมือ "ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าชมเปาะว่าช่วงนี้เจ้าสนใจศึกษายุทธพิชัยสงครามและการปกครองเป็นพิเศษ?"
"พะย่ะค่ะ" หลงอวี่ตอบเสียงฉะฉาน "หลานเห็นเสด็จอาเหน็ดเหนื่อยกับการปราบกบฏ หลานอยากแบ่งเบาภาระ จึงพยายามศึกษาให้มาก เพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นกำลังให้เสด็จอาได้"
จวิ้นอี่มองหลานชายด้วยสายตาพิจารณา เด็กคนนี้มีจิตใจดี กตัญญู และมีความมุ่งมั่น ขาดก็แต่ประสบการณ์และความเขี้ยวลากดินที่จะเอาตัวรอดในดงเสือสิงห์กระทิงแรดแห่งนี้
"หลงอวี่..." จวิ้นอี่เอ่ยเรียก "เจ้าเคยคิดไหมว่า... หากวันหนึ่ง ข้าไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?"
หลงอวี่เบิกตากว้าง "เสด็จอาตรัสอะไรเช่นนั้น! พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน แผ่นดินนี้ขาดพระองค์ไม่ได้!"
"ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า หลงอวี่" จวิ้นอี่ลุกขึ้นเดินไปตบไหล่หลานชาย "บัลลังก์มังกรไม่ได้ต้องการคนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่ต้องการคนที่รู้จักเสียสละมากที่สุด... เจ้าพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อแผ่นดินหรือไม่?"
หลงอวี่นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าสบตาผู้เป็นอา "หลานพร้อมพะย่ะค่ะ!"
"ดี" จวิ้นอี่ยิ้มมุมปาก "นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าต้องย้ายมาฝึกงานที่ห้องทรงอักษรกับข้าทุกวัน ข้าจะสอนทุกอย่างที่ข้ารู้ให้เจ้า... เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น"
…
…
...
ณ ตำหนักหย่งชิง
บรรยากาศภายในห้องนอนของเซี่ยเหยียนอวี่เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรร้อนแรง ไป๋เหวินเจี๋ยกำลังใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตามแขนขาของคนไข้ที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
"หนาว..." เหยียนอวี่ครางเสียงแผ่ว ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ ทั้งที่ในห้องจุดเตาผิงจนร้อนอบอ้าว
"อดทนหน่อยนายน้อย" ไป๋เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล "พิษเย็นจากอาการวิญญาณไม่เสถียรกำลังกำเริบ... ยาเทียบเดิมเริ่มเอาไม่อยู่แล้ว ข้าต้องเพิ่มปริมาณหญ้าเพลิงเข้าไปอีก แต่มันจะทำให้ท่านปวดแสบปวดร้อนภายใน"
"ทำเลย..." เหยียนอวี่กัดฟัน "ขอแค่ข้ามีแรงลุกขึ้นเดินได้... ข้าทนได้"
ไป๋เหวินเจี๋ยป้อนยาถ้วยใหม่ให้ ยารสเผ็ดร้อนไหลลงคอ เหยียนอวี่สะดุ้งเฮือก ร่างกายกระตุกเกร็งด้วยความทรมาน แต่ความหนาวเหน็บก็ค่อยๆ จางหายไป
เมื่ออาการสงบลง เหยียนอวี่นอนหอบหายใจ มองเพดานด้วยสายตาเลื่อนลอย
"พี่ไป๋... ข้าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?"
คำถามนั้นทำให้มือของหมอหนุ่มชะงัก
"อย่าพูดเรื่องเวลา" ไป๋เหวินเจี๋ยดุเสียงเข้ม "ตราบใดที่ข้ายังเป็นหมอ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอะไรไป... ข้ากำลังค้นคว้าตำราโบราณของบรรพบุรุษ มีบันทึกเกี่ยวกับพิธีกรรมผสานจิตที่อาจช่วยท่านได้"
"แต่ท่านอ๋อง..."
"ห้ามบอกพระองค์" เหยียนอวี่สวนทันควัน "ตอนนี้ราชสำนักกำลังวุ่นวาย พระองค์แบกรับภาระหนักอึ้งพอแล้ว... หากทรงรู้ว่าข้ากำลังจะตาย พระองค์จะเสียสมาธิ และศัตรูจะฉวยโอกาสเล่นงาน"
"แต่ท่านปิดบังพระองค์ไม่ได้ตลอดไป!"
"แค่ช่วงนี้..." เหยียนอวี่ขอร้อง แววตาเว้าวอน "ขอให้ข้าแข็งแรงพอที่จะช่วยพระองค์วางรากฐานอำนาจให้มั่นคงก่อน... หลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิด ข้าก็พร้อมยอมรับ"
ประตูห้องถูกเปิดออก เหยียนอวี่รีบปรับสีหน้าให้ดูสดใสขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างสูงของจวิ้นอี่เดินเข้ามา
"ฝ่าบาท..."
จวิ้นอี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พระองค์เดินตรงเข้ามานั่งลงข้างเตียง สวมกอดเหยียนอวี่ไว้แน่น ซึมซับไออุ่นที่มีเพียงน้อยนิดจากร่างบาง
"ข้าขอโทษที่มาช้า" จวิ้นอี่กระซิบลงบนเรือนผม "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จื้อเฉินบอกว่าเจ้าไม่สบาย"
“แค่... ไข้หวัดธรรมดาพะย่ะค่ะ" เหยียนอวี่พยายามเล่นมุกกลบเกลื่อน "ท่านหมอไป๋ให้ยาแล้ว ดีขึ้นมาก"
จวิ้นอี่ผละออกมามองหน้าคนรัก พระองค์ไม่เชื่อคำโกหกนั้น แต่ก็เลือกที่จะไม่คาดคั้นในตอนนี้ เพราะรู้ดีว่าเหยียนอวี่ดื้อรั้นเพียงใด
"เหยียนอวี่..." จวิ้นอี่เอ่ยเสียงจริงจัง "วันนี้ข้าเรียกหลงอวี่มาพบ... ข้าเริ่มสอนงานเขาแล้ว"
เหยียนอวี่เข้าใจความหมายนั้นทันที ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย
"พระองค์... ตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือ?"
"แน่วแน่ยิ่งกว่าสิ่งใด" จวิ้นอี่จับมือเหยียนอวี่มาทาบแก้มตัวเอง "บัลลังก์มังกรอาจเป็นความฝันของบุรุษทั่วหล้า... แต่สำหรับข้า มันคือกรงขังที่พรากเวลาที่ข้าควรจะได้อยู่กับเจ้า ข้าไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวไปกับการแย่งชิงอำนาจอีกแล้ว"
"แต่หลงอวี่ยังเด็ก..."
"เขาเด็ก แต่เขามีหัวใจที่ดี และเขามีเรา... ข้าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในราชสำนัก สร้างเกราะกำบังที่แข็งแกร่งให้เขา และเมื่อเขาพร้อม... ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่"
จวิ้นอี่ยิ้ม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝันถึงอนาคต
"เราจะไปปลูกบ้านริมเขาเลี้ยงปลา ปลูกผัก... เจ้าชอบไหม?"
เหยียนอวี่น้ำตาซึม พยักหน้าช้าๆ "ชอบพะย่ะค่ะ... ชอบที่สุด"
เขากอดตอบจวิ้นอี่แน่น ซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลไว้กับไหล่กว้าง
ข้าก็อยากไปกับท่าน... จวิ้นอี่
แต่ข้ากลัวเหลือเกิน... ว่าเวลาของข้า จะเดินไปไม่ถึงวันนั้น