ชีวิตไม่ได้มีความหมายเพราะมีอะไรทำในแต่ละวัน แต่เพราะมีความหวังต่างหาก ชีวิตแต่ละวันจึงมีความหมาย

2720 คำ
เข้าสู่ช่วงเวลาโพล้เพล้ ทุกคนกลับบ้านกันไปหมด เหลือแค่เลนที่นอนเฝ้าโบสถ์อยู่ที่ห้องใต้หลังคาเพียงลำพัง บรรยากาศค่อยๆวังเวงและเยือกเย็นขึ้น เขาพยายามสลัดไล่ทุกภาพจำในหนังผีทุกเรื่องที่เคยดู หลับตาฟังเพลงไปเรื่อยๆกระทั่งหูฟังบลูทูธของเขาแบตหมด เมื่อเสียงเพลงเงียบลง หูเขาแว่วได้ยินเสียงพากษ์ฟุตบอลลอยมาจากบ้านพักหลังเล็กๆข้างโบสถ์ ...ซือ ชายคนที่มีศักดิ์เป็นอาหรือญาติห่างๆของเขาคงจะพักอยู่ที่นั่น เลนลุกขึ้นนั่งบนฟูก หยิบมือถือมาเช็คแล้วพบว่าไม่มีอินเตอร์เน็ต ใจหนึ่งเขานึกดีใจที่จะต้องเผลอไปเห็นข่าวสารวุ่นวายจากโลกภายนอก แต่อีกใจก็ท่วมล้นไปด้วยความเบื่อหน่าย เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าจะลงไปขอยืมมอเตอไซค์จากอาของเขาดีไหม เขารู้สึกไม่ชินกับการต้องไปร้องขออะไรจากใครด้วยตัวเอง หลังจากที่ให้ผู้จัดการคอยสรรหาทุกอย่างให้มาหลายปี ในที่สุด ความเบื่อหน่ายก็ผลักขาทั้งสองของเขาให้ก้าวไปจนถึงหน้าประตูบ้านพักข้างโบสถ์จนได้ เขาเงื้อมือจะเคาะอยู่หลายรอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับ ระหว่างที่เขาเดินออกมาถึงชานบ้าน ตรงที่รถมอเตอไซค์คันเก่าจอดอยู่ เขาก็บังเอิญเห็นว่าในตะกร้าด้านหน้าของมอเตอไซค์มีกุญแจว่งอยู่พร้อมโน้ตแผ่นเล็กๆ 'ถ้าเอาไปใช้ก็เติมน้ำมันให้ด้วยนะ' เลนสะดุดกึก และหันไปมองแสงนีออนที่ส่องผ่านบานประตูอย่างฉงนใจ **************************** มอเตอไซค์เก่าสีแดงรุ่นคุณลุงนิยม แล่นมาตามทางที่ลาดชัน ดวงไฟรูปไม้กางเขนจากยอดโบสถ์บนเนินเขา ค่อยๆลิบไกลออกไปขณะที่มอเตอไซค์ไต่เข้าสู่ตัวเมือง ยังไม่ถึงสองทุ่มด้วยซ้ำ แต่ทั้งเมืองกลับตกอยู่ในความเงียบสงัด เลนพยายามมองหาบริเวณที่สว่างที่สุดในเมือง และก็พบร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งที่ใจกลางเมือง ใกล้ๆกับหอนาฬิกา … เขาผสมเหล้ากับน้ำเปล่าจนเข้มแล้วนั่งจิบอยู่ในมุมอับที่เลือกเฟ้นแล้วว่าหลบเร้นจากสายตาผู้คน แต่ดูเหมือนจะหนีไม่พ้น เมื่อเด็กเสริ์ฟพยายามสบตากับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนจะเดินไปจับกลุ่มซุบซิบกัน เขาเริ่มมีสีหน้าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ คำกำชับของเจ้าของค่ายแล่นเข้ามาในหัว ‘ไปอยู่นั่น ทำตัวดีๆนะเลน สงบๆให้ได้สักสามเดือน เดี๋ยวคนก็ลืม แค่นี้ค่ายก็เสียหายมากแล้ว’ เลนวางแบงค์บนโต๊ะ คว้ากุญแจมอเตอไซค์ แล้วลุกพรวดเดินออกจากร้าน …. ประภาคารส่องแสงเป็นทางยาวสู่ท้องทะเลไกล ไฟเรือประมงส่องแสงยิบๆ ที่ขอบฟ้าสีดำ เลนยืนพ่นบุหรี่และทอดตามองเหม่อ โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หันกลับมามองในเมืองอีกทีก็พบว่าแสงของทั้งเมืองดับมืดลง ช่างเป็นเมืองที่เหงาเหลือเกิน… **************************** “เหงาจัง” เธอพิมพ์คำนี้มาบ่อยมาก แม้แต่ในตอนที่เพิ่งจะฉลองครบรอบเป็นแฟนครบ 2 ปี ไปได้แค่ 3 วัน เขาคิดว่าให้เวลาเธอมากพอแล้ว แต่มันก็ไม่เคยพอสักที เธอเป็นเกิร์ลกรุ๊ปของอีกค่ายหนึ่ง เป็นหน้าตาของวง และเป็นตัวทำเงินของค่าย เขาและเธอเจอกันที่โรงเรียนสอนดนตรี เธอมาเรียนเต้นและร้องเพลง เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน ‘เหงาจัง…’ นั่นเป็นประโยคที่เธอพิมมา ก่อนจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ ‘ถ้าอิงมีแฟนอิงคงจะหายเหงา งั้นเรามาเป็นแฟนกันไหม’ เธอพิมพ์มาทื่อๆแบบนั้นเลย แล้วเขาก็ตกลงเป็นแฟนเธอแบบซื่อๆเหมือนกัน ‘อือ เอาสิ’ ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่ามันเป็นประโยคหากินของเธอ เมื่อรู้ว่าเธอพิมพ์คำว่า ‘เหงาจัง’ ไปหามือกีตาร์ในวงของเขาด้วย ‘มือกีตาร์’ คนนั้น ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมวง แต่พ่วงคำว่าเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กมาด้วย เธอกับมือกีตาร์นัดเจอกันประมาณ 6 ครั้งได้ เขาเริ่มรู้ตั้งแต่ครั้งที่ 5 และอดทนรอจนถึงครั้งที่ 7 ก่อนจะบุกไปที่คอนโดของเธอ เขาไม่อดทนรอให้จับได้คาหนังคาเขาที่ห้องของเธออย่างที่วางแผนไว้ แต่โผล่พรวดไปที่รถของมือกีตาร์ประจำวง แล้วเอากีตาร์ตัวโปรดของเพื่อนฟาดรถจนยับเยิน ลากเพื่อนลงมาจากรถ ก่อนลงมืออย่างบ้าคลั่ง เรื่องมันคงจะจบแค่คดีอุกฉกรรจ์ธรรมดาๆ ถ้าหากว่าเส้นเอ็นบนข้อมือขวาของเพื่อนไม่ได้ขาด จนทำให้มือกีตาร์ผู้ได้รับขนามนามว่ามีพรสวรรค์ชนิดหนึ่งในล้าน เล่นกีตาร์เหมือนเดิมไม่ได้อีกตลอดชีวิต และสร้าง ‘ตราบาป’ ที่ผนึกแน่นเป็นแผลเป็นในใจเขาไว้ตลอดกาล **************************** เลนมาถึงที่นี่ในบ่ายวันศุกร์ แล้วอยู่ต่อมาจนถึงเช้าวันเสาร์ เขาน่าจะตื่นมาอีกทีหลังพ้นเที่ยงวันไปแล้ว แต่กลับสะดุ้งขึ้นมาตั้งแต่สิบโมงเช้า เมื่อเสียงซ้อมดนตรีอันวิปลาสดังมาจากด้านล่าง เลนเป็นคนที่คุ้นชินกับเสียงดนตรีกระหึ่มในคอนเสิร์ตจนไม่รู้สึกหนวกหูได้ง่ายๆ อันที่จริงเขาหลับไปบนรถที่จอดข้างงานคอนเสิร์ตก็หลายครั้ง แต่หนนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าทนฟังต่อไปไม่ได้จริงๆ เขาเดินออกมาจากห้องพักที่ระเบียงด้านในของชั้นสอง และมองลงไปที่โถงด้านล่างโบสถ์ ยังกลุ่มคนที่เล่นดนตรีอยู่ด้วยกัน นั่นไม่เรียกว่าวงเสียด้วยซ้ำ ต่างคนต่างโซโลไปตามโน้ตที่หน้ากระดาษของตัวเอง ค่อมจังหวะ และเล่นทับกันเละเทะจนไม่รู้ว่าท่อนไหนเป็นท่อนไหน มลพิษทางใบหูไม่หยุดแค่ที่เสียงดนตรี เมื่อกลุ่มคน 4 คนข้างล่าง เริ่มแหกปากร้องเพลงโดยแบ่งท่อนร้องอย่างกับศิลปินกลุ่มของเกาหลี “บ้าอะไรกันนี่” เขาเพ่งมองไปทีละคน ที่หลับหูหลับตาเปล่งเสียงออกมาแบบไร้พื้นฐานการร้องโดยสิ้นเชิง มีมี่ มือกลองลุคทอมคนนั้น นอกจากจับจังหวะไม่ได้เรื่องยังควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าร้องเพลงหรือเป่านกหวีด หว่อง พี่ป๊อปแคลอรี่บลาบลาในเวอร์ชั่นที่อ่อนลงสิบปี เล่นเบสโอเค แต่เสียงร้องอย่างกับควายหอนหาคู่ เก้า คนนี้ดูจะเข้าท่าสุด เปิดตัวมาดีมาก เสียงเพราะมีสเน่ห์ คนนี้แหละความหวังของวง เลนเกาะราวชั้นสองแน่น มองเก้าด้วยสีหน้าลุ้น แต่มือก็ต้องหลุดพรวดแทบทรุดลงกับพื้น เมื่ออยู่ๆพอถึงท่อนที่เก้าต้องร้องคีย์สูง เขากลับขึ้นไม่ไหว เสียงเหินร้องเพี้ยนไปในสองโน้ตสุดท้ายแบบน่าเสียดายสุดๆ “ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยเจอวงไหนห่วยขนาดนี้มาก่อนเลย” เขาพึมพำ เมโลดี้สุดมั่วลอยมากระแทกหูเป็นระยะ เขาพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงเปียโนที่ดังแทรกเสียงดนตรีอึกทึกอื่นๆมาแบบแนบเนียน แต่ไม่มีโน้ตตัวไหนเล็ดลอดหูเขาไปได้ เขาชี้พรวดไปที่เธอแล้วเผลอร้องออกมาเสียงดัง “เล่นไม่เป็นนี่หว่า!!!” เงียบกริบ ทุกคนหยุดเล่นแล้วเงยหน้าขึ้นมาบนระเบียงชั้นสอง มองมาที่เขาเป็นตาเดียว เลนอึ้งชะงัก เมื่อรู้ว่าเผลอทำตัวเป็นจุดสนใจไปโดยไม่เจตนา สีหน้าทุกคนข้างล่างนั่น เจื่อนจืดเลิ่กลั่กกันไปหมด เลนเองก็ไม่ต่าง เขาค่อยๆหดมือที่เผลอชี้นักเปียโน ก่อนป้องปากทำเป็นกระแอมไอเสียงดังแล้วเดินกลับเข้าห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น **************************** เสียงซ้อมดนตรีเงียบไปแล้ว ช่วงเที่ยงพวกเขาคงไปหาอะไรกินกัน เลนอาศัยจังหวะนั้น รีบวิ่งลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมด้านล่าง เพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ต้องอาบน้ำโดยใช้ขันตัก แล้วน้ำในบ่อซีเมนต์เย็นเฉียบเสียจนเขาสะดุ้งวาบ เขาอาบแบบนี้ครั้งสุดท้ายตอนไปค่ายลูกเสือ “แม่งเอ๊ย! เย็นชิบ" ไม่มีทางเลือก เขาถอดเสื้อออกจนหมด เหลือบ็อกเซอร์ไว้ตัวเดียวแล้วรีบสาดขันโครมๆๆ แล้วถูสบู่ เร่งให้มันจบๆไป ระหว่างกำลังถูสบู่อยู่นั้น บุคคลที่ไม่ได้รับเชิญก็เดินพรวดเข้ามาในห้องน้ำ "อุ้ย" เธอชะงัก ดูตกใจน้อยเกินไปกับร่างเปลือยของเขา "เฮ้ยยยยย" แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเห็นผี ดึงขันปิดหน้าอก พร้อมกับย่อตัวหลบหลังบ่อ "ขอโทษค่ะ ฉันไม่ตั้งใจ พอดีห้องน้ำหญิงเสียอยู่ เค้าเลยให้ใช้ส้วมในห้องน้ำชายไปก่อน ไม่คิดว่าจะมีคนมาอาบน้ำตอนนี้ ปกติถ้าใครใช้ห้องน้ำ จะต้องล็อคประตูหน้าเอาไว้ เพื่อบอกว่าห้องไม่ว่าง กันไม่ให้ผู้หญิงเข้าน่ะค่ะ" "เอาเถอะๆ คุณจะเข้าห้องน้ำก็รีบเข้า" "ไม่เป็นไรๆ ไว้ค่อยเข้าทีหลัง ต้องขอโทษอีกทีนะคะ" เธอหันหลังเหมือนจะเดินออก แต่เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ก็หันมาใหม่ "เมื่อเช้าตอนซ้อมดนตรีกัน คือ...อยากอธิบายก่อน พอดีนักดนตรีในโบสถ์ย้ายไปอยู่ที่อื่น ตำแหน่งเปียโนไม่มีคนเล่น ฉันเองก็เพิ่งจะมาฝึกไม่ถึงปี เลยยังเล่นไม่ดีเท่าไหร่น่ะค่ะ" "ครับ ผมเข้าใจครับ แต่เรื่องนี้เอาไว้คุยตอนผมอาบน้ำเสร็จก่อนไม่ได้เหรอ" สีหน้าเธอเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะฟังอะไรทั้งสิ้น เธอยิ้มแหะๆเป็นเชิงขอโทษแล้วรีบเดินออกไป "ยัยโรคจิต!" ...เขาพึมพำแล้วรีบล้างสบู่ออกอย่างลุกลน … แค่เจอเธอโผล่พรวดเข้ามาในห้องน้ำก็แย่พอแล้ว นี่เธอยังมายืนรอคุยกับเขาต่อหน้าห้องน้ำอีก ยิ้มแย้มชื่นมื่น เหมือนความกระอักกระอ่วนในการประจันหน้ากับร่างเปลือยของเขาไม่อาจทำอะไรเธอได้ "อ้อ เมื่อกี๊ขอโทษด้วยนะคะ ที่คุยธุระตอนคุณอาบน้ำอยู่ ไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาทหรือฉวยโอกาสจะมองของคุณนะคะ" ใจหายวูบเขาเผลอยกมือปิดส่วนล่างโดยไม่รู้ตัว "ไม่ต้องอายนะคะ ฉันเคยเห็นคนไข้เปลือยมาจนชินแล้วค่ะ" นาทีนั้น เขาเห็นเธอเป็นแบบเดียวกับพวกแฟนคลับสต็อกเกอร์น่ารำคาญที่ชอบไปดักรอวงเขาถึงหน้าห้องน้ำชาย "ครับ แต่ผมไม่ใช่คนไข้ของคุณ" เธอมีอาการชาๆไป เขารู้ว่าทำให้เธอเสียหน้า แต่กลับรู้สึกสะใจ "ผมไปก่อนนะ" เขารีบเดินผ่านหน้าเธอไปเพื่อจะขึ้นห้องตัวเอง "เดี๋ยวก่อน…" จากน้ำเสียงเหมือนเธอพยายามควบคุมอารมณ์โกรธ "ชั้นยังไม่ได้พูดธุระของตัวเองเลย คือเรื่องงานที่คุณต้องทำในช่วงคุมประพฤติ" "เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะคุยกับอาของผมเอง" เขาตัดบทอย่างรวบรัดและเย็นชา เหมือนที่เคยเห็นผู้จัดการของเขาทำกับทีมงานของลูกค้าบ่อยๆ เธอนิ่งไปสักพัก แวบแรกโกรธ แต่ก็มีสีหน้าเหมือนยอมรับได้ และเย็นลงโดยเร็ว เธอยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย "ค่ะ วันนี้วันเสาร์ เขาคงไม่ได้อยู่ที่โบสถ์แต่อยู่ที่บ้านพักนะคะ คุณไปถามเขา แล้วได้เรื่องยังไงแล้วมาบอกฉันด้วยนะคะ" ********************** เรื่องที่เขาได้รับนั้น ผิดคาดไปจากที่คิดโดยสิ้นเชิง "เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผม" ซือกล่าวพร้อมกับตัดเล็บเท้าไปด้วยตรงม้านั่ง บริเวณชานบ้านพักข้างโบสถ์ ท่าทางเหมือนมนุษย์ลุงวัยเกษียณ ทั้งที่อายุเพิ่งเข้าเลข 4 ของฝ่ายตรงข้ามทำให้เลนรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญตา "แต่คุณเป็นผู้ปกครองโบสถ์" "ก็ใช่ แต่คนที่รับผิดชอบคุณโดยตรงคือมีน ...เพราะเค้าทำงานโคกับศาล เค้าต้องเป็นคนเขียนรายงานทางจิตวิทยา พฤติกรรม พัฒนาการด้านศีลธรรม และจะเป็นคนเซ็นต์ประเมินคุณให้ผ่านตอนครบกำหนด 1 ปีด้วยรู้หรือเปล่า" ซือกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะใช้นิ้วเท้าเขี่ยเศษเล็บบนพื้นให้ลอดลงรูแผ่นไม้บนชานบ้าน เขาอึ้งไปและวาบไปถึงกิริยาที่ทำกับเธอหน้าห้องน้ำเมื่อครู่ นึกถึงรอยยิ้มเย็นของเธอและคำกำชับที่บอกว่าหลังจากคุยกับซือแล้วให้ไปแจ้งเรื่องกับเธอ “ถ้าอย่างนั้น…” เลนพึมพำ “ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเธอสินะ เธออยากให้ผมทำอะไร ผมก็ต้องยอมงั้นสิ” "เค้าไม่ต้องการอะไรจากใครนอกจากรักษาให้หายป่วยหรอก” เลนเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนเธอพูดคำว่า 'คนไข้' แต่ตอนนั้นเขาไม่เอะใจสักนิดเดียว “แต่ผมไม่ได้ป่วย” “ก่อนมาทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ มีนเค้าเป็นแพทย์อนาคตไกลในวอร์ดศัลยกรรมของรพ…." เขาพูดชื่อโรงพยาบาลลำดับต้นๆของประเทศ "ตอนเรียนเฉพาะทาง เค้าก็สอบได้คะแนนอันดับ 1 ของชั้น" "ถ้าเก่งขนาดนั้น แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่นี่…" ซือตั้งใจฟังผิดและเจตนาตอบไม่ตรงคำถาม "เขาไม่ได้มาอยู่ที่โบสถ์หรอก เขาเช่าหอพักอยู่ข้างล่าง ใกล้ๆกับมูลนิธิที่เขาทำงาน ก็คือมูลนิธิที่รับเรื่องของคุณไว้นั่นแหละ มิชชันนารีที่นั่นเค้าที่ทำพันธกิจกับสถานพินิจ ซึ่งขอใช้สถานที่โบสถ์เราเป็นที่ฝึกงานเด็กและวัยรุ่นต้องโทษมาตลอด บางคนที่ผ่านการรับรองกลับสู่สังคมแล้ว ก็ยังกลับมาช่วยงานที่โบสถ์อยู่" เลนนึกถึงหน้าสมาชิกโบสถ์ทั้งหมด …นอกจากซือแล้ว ทุกคนดูซื่อ ไม่มีพิษภัย อ่อนต่อโลก เหมือนคนจำพวกที่รู้สึกว่ามีสิ่งศักสิทธิ์จับตามองตลอดเวลา และกลัวบาปเสียจนไม่กล้าทำผิดสักครั้งในชีวิต "ทุกคนเคยทำผิดทั้งนั้นแหละ" ซือลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อม สลัดเศษเล็บที่ติดอยู่ตามตัวออก "ถ้าคุณเริ่มรู้จักทุกคนมากขึ้น ก็จะรู้ว่าการมาทำงานที่โบสถ์ ไม่ได้หมายถึงการมาแสดงว่าเรากลับตัวเป็นคนดีได้แล้วน้า มาบำเพ็ญประโยชน์กันดีกว่า ถือศีลภาวนา ถ่ายรูปลงไอจีสองสามรูป บอกทั้งโลกว่า พร้อมที่จะกลับไปเป็นคนดังในสังคมเหมือนเดิมแล้วนะคร้าบบบ" ...พูดจบชายวัยกลางคนก็ทำท่าถ่ายรูปด้วยการฉีกยิ้มเห็นฟันแล้วชูสองนิ้วเหมือนอยู่หน้ากล้อง "ผมเป็นศิลปินไม่ใช่พวกหิวแสงครับ" ชายหนุ่มหน้าร้อนวาบขึ้นมา ถ้าไม่ถือว่าคนๆนี้เป็นอาของเขาอาจโดนเขาเผลอต่อยไปสักหมด "แต่ก็เป็นจุดประสงค์ของทุกคน...ที่ส่งคุณมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ" "ไม่รู้ ผมตอบไม่ได้เพราะผมไม่ได้คิดแบบนั้น" "ถ้าคุณต้องจมอยู่ที่นี่ไปอีก 1 ปี คุณวางแผนไว้หรือยังว่าจะทำอะไร" "ผมก็รอให้พวกคุณบอกอยู่ว่าจะให้ผมทำอะไร" "คุณน่าจะคิดเองได้น่าาา คุณเป็นศิลปิน ไม่ใช่พวกดาราที่รอให้คนโน้นคนนี้มาสั่งว่าวันนี้ต้องทำอะไรๆหรอกใช่ไหม" คำพูดนั้นแทงใจดำเขาอย่างแรง… "ถ้าคุณยังไม่มีงานอะไรจะสั่งให้ผมทำ ผมก็ขอตัวไปพักผ่อนละกัน" เลนหันหลังให้อย่างไม่สนใจคำว่ามารยาทอีกแล้ว บทสนทนาของวันนั้นจบลงอย่างทื่อๆและคงเหลือไว้ซึ่งความคลุมเครือแสบลึกในใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม