๑๒
อยู่ในสถานะ...เด็กเสี่ย
หลังจากวันที่อธิคมน์ปรากฏตัวหน้าบริษัท กังสดาลตกเป็นหัวข้อนินทาของพนักงานอีกครั้ง เรียกว่าความเดิมไม่ทันหาย ความใหม่เข้ามาเพิ่ม
จากเด็กเส้นธรรมดาในตอนแรก เวลานี้กลายเป็นเด็กเสี่ย ใช้เต้าไต่ วิเคราะห์กันไปต่างๆ นานาว่าเสี่ยที่ว่าอาจเป็นคนรู้จักของคนใหญ่คนโตคนไหนสักคนที่ทำงานอยู่ภายในบริษัทแห่งนี้แน่...
“ทำไมแกไม่ตอบโต้คนพวกนั้นไปบ้าง ปล่อยให้พวกมันนินทาแกอยู่ได้ฮะยัยกั้ง” กุ๊กขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดหลังจากพักเที่ยงแล้ว
“ฟ้องคุณคมน์เลยดีไหม” แอนเสนอทางเลือก
“เออ อันนี้เห็นด้วย” หยาดพยักหน้าหงึกหงักกล่าวเสริม
“ให้คุณคมน์ยกพวกมาดักตีหัว” แอนเสนอบทลงโทษ
“เอาเทียนลนแล้วจับยัดใส่กระสอบถ่วงน้ำ” กุ๊กเห็นดีเห็นงาม
คนฟังถึงกับกลอกตาขึ้นลงแล้วถอนหายใจยาว
“พวกแกเห็นคุณคมน์เป็นอันธพาลไม่พอ นี่ยังเห็นเป็นฆาตกรโรคจิตไปอีก”
กังสดาลมองเพื่อนแต่ละคนด้วยความละเหี่ยใจ ก่อนจะยิ้มเนือยๆ เพราะทั้งสามคนยังไม่รู้ว่าเจ้าของตัวจริงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอธิคมน์คนโปรดคนใหม่ของเพื่อนๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ต่อให้มีคนไม่พอใจจนพยายามหาทางกลั่นแกล้งหรือนินทาหล่อนสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่าที่เห็น
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะ แต่แหม...แกอุตส่าห์มีทีมงานโหดๆ อยู่ในกำมือทั้งกองแบบนี้ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์หน่อยไม่ได้เหรอ” แอนกล่าวพร้อมทำหน้าเสียดาย ทำให้เจ้าของเรื่องถึงกับส่ายหน้า
“เรื่องแค่นี้เล็กน้อยจะตายไป อย่างมากคนพวกนั้นก็ทำได้แค่นินทาลับหลัง ไม่เห็นมีใครกล้ามาพูดต่อหน้าสักคนจริงไหม เพราะฉะนั้นพวกแกอย่าไปสนใจกับพวกไม่แน่จริงที่ดีแต่ปากจะดีกว่า ฉันไม่เสียเวลาใส่ใจคนพวกนี้หรอก งานต่างหากคือสิ่งที่พวกเราต้องให้ความสำคัญ”
ทั้งสามคนเงียบกริบ เมื่อได้ฟังคำตอบจากเพื่อน เพราะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกชโลมด้วยสายน้ำชุ่มฉ่ำอย่างไรอย่างนั้น
“ใจเย็นเกิ๊น” หยาดเปรยพลางส่ายหน้า แอนกับกุ๊กเหลือบตาไปเห็นริสาและพวกเดินเข้ามาพอดี จึงหันกลับมาสบตาเพื่อนยิ้มๆ แท้จริงกังสดาลไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น แต่กำลังพูดให้คนบางพวกรู้สึกสะดุ้งสะเทือนเป็นวัวสันหลังหวะไปตามๆ กันต่างหาก
คนพวกนั้นไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายกังสดาลแม้แต่ริสา เพราะเอาแต่หลบสายตากันจ้าละหวั่น คงร้อนตัวที่เอาเรื่องของกังสดาลไปพูดลับหลังอย่างสนุกปาก ขณะที่คนถูกนินทานั่งทำงานต่ออย่างสบายใจ เวลาเดียวกันใยไหมสังเกตอยู่ห่างๆ คอยรายงานทุกอย่างให้มณีมาศรับรู้
อธิคมน์วางสายจากคนของเขาที่เคเคเอช รับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของหญิงสาว เขาสั่งการบางอย่างลงไปทันที ต่อด้วยการรับสายสำคัญจากคนของตนที่ส่งไปประจำอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน พลางยิ้มให้กับความสำเร็จที่คืบหน้าไปอีกขั้น จากนั้นเขาจึงกดเบอร์โทรศัพท์ไปยังกังสดาลเพื่อบอกให้หล่อนรู้ว่าเย็นนี้เขาจะเข้าไปรับที่หน้าบริษัท
หญิงสาววางสายจากอธิคมน์ ใบหน้าที่ก้มนิดๆ นั้นเจือรอยยิ้มจนเพื่อนยื่นหน้าเข้ามาแซว
“สายสำคัญเหรอจ๊ะ”
นวลแก้มของกังสดาลขึ้นสีเรื่อ ทำให้ถูกเพื่อนหยอกล้อกันยกใหญ่
“เลิกแซวได้แล้วน่า” หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า แต่ริมฝีปากกับยิ้มกริ่ม กุ๊กจึงหัวเราะขันออกมาพลางเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ตกลงโทร.มาว่าไงเหรอ”
“คุณคมน์จะมารับหลังเลิกงาน”
พอได้ยินคำตอบ ทั้งสามสาวก็พร้อมใจทำเสียงล้อเลียนออกมาพร้อมกัน
“ฮู้ววววว”
เสียงฮือฮาที่ดังมาจากเพื่อนของกังสดาล ทำให้กลุ่มของริสาหันไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ เกิดอาการเขม่นกันไปมาอยู่เงียบๆ
“เบาหน่อยพวกแก เดี๋ยวก็ถูกเพ่งเล็งอีกหรอก”
กังสดาลเตือนเพื่อนๆ ทำให้ทั้งสามหันขวับไปยังกลุ่มของริสา คนเหล่านั้นรีบหลบตาทำเป็นสนใจงานตรงหน้าขึ้นมาทันที
“นี่สินะ บรรยากาศในที่ทำงาน” แอนเปรยออกมาเบาๆ
“เฮ้อ ผิดหวัง ไอ้เราก็นึกว่าจะได้เจอรุ่นพี่ที่นิสัยดีโอบอ้อมอารี น่ารักเป็นกันเอง แต่ที่ไหนได้...” หยาดบ่นอุบอิบในลำคอ ทำให้กุ๊กและกังสดาลสบตากันก่อนถอนหายใจยาว
“เอาเถอะน่า ทำงานไป อีกหน่อยพวกพี่เขาคงเบื่อจะจับผิดพวกเราไปเอง ถ้าตราบใดพวกเราไม่ได้ทำงานผิดพลาด” หญิงสาวปลอบใจเพื่อนๆ แต่เมื่อเงยหน้ามองไปทางริสา ฝ่ายนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่อ จึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วตั้งสมาธิให้อยู่แค่งานตรงหน้าเท่านั้น
ถึงเวลาเลิกงาน หญิงสาวและเพื่อนเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านเหมือนทุกวัน เมื่อเดินเข้าไปในลิฟต์ก็ได้พบกับภามพิชญ์โดยบังเอิญเข้าอีกครั้ง หญิงสาวถูกเบียดไปจนชนกับชายหนุ่มที่ท้ายห้องโดยสาร จึงหันไปยิ้มให้เขา อีกฝ่ายยิ้มตอบก็จริงแต่ไม่ได้เอ่ยทักทายเหมือนครั้งก่อนๆ หล่อนคิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องในวันก่อนที่อธิคมน์ปรากฏตัว ทำให้คนข้างๆ รับรู้ถึงสถานะของหล่อนว่าไม่ว่างสำหรับใครอีกต่อไป แต่เมื่อก้าวออกจากลิฟต์ ชายหนุ่มกลับเอ่ยขึ้น
“วันนี้กลับบ้านกับใครหรือครับ”
คนที่กำลังสาวเท้าไปข้างหน้ามีอันชะงักเล็กน้อย
“คุณคมน์ค่ะ”
ทันทีที่ได้รับคำตอบ ใบหน้าคมเข้มติดกระด้างของคนเมื่อวานก็ผ่านวาบเข้ามาในความคิด
วันหยุด กังสดาลตื่นแต่เช้าเพราะอธิคมน์บอกให้หล่อนเตรียมตัวเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ขณะที่กำลังเตรียมตัวอยู่นั้น นพก็เดินเข้ามาพร้อมกับริว
“พร้อมแล้วครับเฮีย”
อธิคมน์พยักหน้า แต่ต้องหรี่ตามองเมื่อนพมีท่าทางเหมือนกับว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับเขา
“มีอะไร”
“คุณนายสุดาติดต่อกลับมาเรื่องบ้านครับ”
คนฟังหรี่ตาแคบก่อนจะหันไปยังด้านหลัง หญิงสาวกำลังก้าวออกมาจากห้องนอน ชายหนุ่มจึงหันมาบอกกับลูกน้องคนสนิท
“เอาไว้ก่อน” พูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟา พอดีกับที่กังสดาลเดินมาถึง
“เรียบร้อยค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มและคนของเขา จากนั้นทั้งหมดก็ก้าวออกจากเพนต์เฮาส์สุดหรู
เรียกได้ว่าตั้งแต่มาอยู่กับอธิคมน์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กังสดาลได้ออกไปกับเขาในวันหยุดพักผ่อน เพราะเกือบตลอดเวลาชายหนุ่มมีงานให้ต้องจัดการแทบจะไม่ได้หยุดหย่อนเลยก็ว่าได้ ทำให้หญิงสาวไม่กล้ารบกวนเขา แม้แต่การออกไปไหนตามลำพังยังไม่อยากทำ เพราะชายหนุ่มออกคำสั่งเด็ดขาดว่าหากหล่อนต้องการออกไปข้างนอก จะต้องให้นพติดตามไปดูแลด้วยเสมอ
หญิงสาวจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ทำให้อธิคมน์และคนสนิทมองด้วยสายตาเอ็นดู เพราะหล่อนทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ไปเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งแรก
“คุณคมน์จะพากั้งไปไหนคะ” เจ้าของเสียงอ่อนหวานหันไปถามคนข้างกายพร้อมกับกอดแขนกำยำพลางช้อนตามองด้วยความอยากรู้เต็มประดา
อธิคมน์ยิ้มกริ่ม นึกอยากแกล้งคนตัวบางขึ้นมา
“พอไปถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ”
คำตอบที่ได้รับทำให้คนอยากรู้ใจจะขาดถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง
“ว้า บอกหน่อยไม่ได้เลยเหรอคะ นะๆ นิดนึงก็ได้” หญิงสาวเขย่าแขนแกร่งของชายหนุ่ม น้ำเสียงที่ใช้ออดอ้อนในที จนนพอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ไม่ต่างจากนายของเขาเท่าใดนัก ฝ่ายนั้นก็ทำหน้ายิ้มกริ่มไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด
“ไม่ได้ อดใจหน่อยน่า ของดีใครเขาบอกกันง่ายๆ ล่ะ” อธิคมน์ไม่พูดเปล่า แต่เขายังรั้งเอวคอดเข้าไปหา แล้วเอ่ยออกมาว่า “นอนหลับก่อนเลยก็ได้ ถึงแล้วจะปลุก”
สิ้นเสียงนุ่มทุ้มของคนหน้าขรึม ริมฝีปากได้รูปก็บรรจงกดลงมาบนหน้าผากนวลเนียน ทำให้คนที่อยากรู้จุดหมายเมื่อครู่ถึงกับพริ้มตาลง แล้วซุกกายเข้าหาร่างอบอุ่นกำยำอย่างว่าง่ายราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง
ชายหนุ่มสบตานพแล้วยิ้มขัน จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจยาว
ทั้งหมดเดินทางมาถึงยังจุดหมายในที่สุด กังสดาลชะเง้อคอมองเข้าไปยังตัวบ้านที่อยู่ภายในรั้วครึ่งปูนครึ่งเหล็กมิดชิด รอเพียงครู่เดียวคนด้านในก็เดินออกมาเปิดรั้วให้ หญิงสาวมองชายวัยกลางคนแล้วมองเลยเข้าไปยังตัวบ้านทรงไทยขนาดใหญ่ที่น่าจะมีอายุไม่น้อย แต่ได้รับการปรับปรุงดูแลจึงอยู่ในสภาพดีมาจนถึงเวลานี้
ทั้งหมดก้าวลงจากรถ ชายคนเดิมที่ทำหน้าที่เปิดและปิดรั้วก็เดินตรงมาหาพร้อมรอยยิ้มเกลื่อนหน้า
“สวัสดีครับคุณคมน์ คราวนี้หายไปนานเลยนะครับ” ตาชูคนดูแลบ้านเปรยออกมา เจ้าของบ้านจึงยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วกวาดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาพอใจ เขาไว้ใจชายวัยกลางคนผู้นี้ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้มาเยือนที่นี่ แต่ตาชูไม่เคยปล่อยให้บ้านของเขาต้องสกปรกรกเรื้อ นอกจากขยันขันแข็ง ตาชูยังเป็นคนซื่อคนหนึ่ง ที่ไว้ใจได้ อดีตเคยมีเมียแต่เมียมาตายจาก ลูกเต้าหายสาบสูญไม่มาดูดำดูดี เขารับรู้จึงให้มาอยู่ดูแลบ้านและจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือน
“ตา ผมซื้อของมาฝาก” เขาบอกกับตาชูคนซื่อ แล้วหันไปทางลูกน้อง คนเหล่านั้นรีบขนข้าวของที่จำเป็นทั้งหมดออกจากรถ ก่อนลำเลียงเข้าไปเก็บเอาไว้ในบ้าน และส่งให้ตาชูอีกหอบเบ้อเร่อ
“โอ้โห ทำไมถึงได้เยอะแยะขนาดนี้ล่ะครับคุณ”
ตาชูเอ่ยถาม สีหน้าที่มองข้าวของแสดงออกถึงความเกรงใจ ก่อนสบตาอธิคมน์ด้วยความซาบซึ้ง โดยไม่ลืมเหลือบตามองสาวน้อยหน้าหวานที่ยืนข้างชายหนุ่ม หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ตาชู
“สวัสดีค่ะคุณตา” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทักทายตาชูพร้อมรอยยิ้ม ฝ่ายนั้นรับไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ดีใจที่คนข้างกายของเจ้านายหนุ่มอ่อนน้อมน่ารักนักหนา
“สวัสดีครับคุณหนู มากันเหนื่อยๆ เชิญข้างในก่อนนะครับ ผมจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มกัน”
ว่าแล้วตาชูก็เดินหิ้วข้าวของนำเข้าบ้าน ขณะที่หญิงสาวเลิกคิ้วสูงเมื่อสบตาคนตัวโต
“ที่นี่บ้านคุณเหรอคะ” ถามพลางชะเง้อมองเลยร่างของคนเหล่านั้นออกไป จึงได้เห็นแม่น้ำสายใหญ่ตัดผ่านหลังบ้านของเขา บริเวณโดยรอบกว้างขวางและร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด