Key & Primrose - 7 รับน้อง
วันรับน้อง…
“มะตูมม ฉันเสร็จแล้วว”
“ให้ไวเลยยัยโรสส!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นกลางลานจอดรถของห้างแห่งหนึ่ง จริงๆ วันนี้พวกเราควรจะรีบไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อร่วมกิจกรรมรับน้องแต่ก็ดันเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเสียก่อนเพราะระหว่างที่ฉันกำลังมาจู่ๆ รองเท้าคู่โปรดแสนรักของฉันก็มาถึงวันเกษียณ เพราะน้องขาดจนใส่ไม่ได้นั่นจึงทำให้มะตูมยอมขับรถมุ่งไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ฉันแทน
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของฉันดังขึ้น ส่วนมะตูมวิ่งนำไปที่รถเรียบร้อยโดยที่เรายังคงตะโกนคุยกันวุ่นวายไปหมด
“ยัยโรส เร๊วๆ” เสียงของเพื่อนฉันดึงขึ้นมาอีกเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจ
ส่วนฉันที่กำลังวิ่งตามก็ได้แค่ตะโกนกลับไปว่ากำลังรีบอยู่
“โอ๊ยย ฉันสับเท้าจะแตกแล้วว”
ปึก!
ในที่สุดฉันก็วิ่งมาถึงที่รถ ฉันพักหายใจหอบเหมือนคนหนีตายมา วางมือลงที่รถของมะตูมเพื่อหาที่จับเหมือนคนกำลังจะตาย
“แฮ่ก ๆ ! แกว่า.. แฮ่ก! เราจะสายมั้ย?” ฉันพยายามคุยกับมะตูม ในขณะกำลังหอบไปดวย ส่วนมะตูมก็หันหน้ากลับมาด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ขาดหายไปบางช่วงเพราะความเหนื่อยไม่ต่างจากฉันเช่นกัน
“ถ้าเรา แฮ่ก! ขับรถไวพอนะ แฮ่ก!”
“งั้นไปกันเถอะ แฮ่ก! แก”
จบประโยคของฉัน มะตูมก็พยักหน้าแล้วรีบเปิดประตูรถก่อนจะส่งตัวเองเข้าไปแล้วบิดกุยแจเพื่อสตาร์ทรถ ฉันจึงรีบเปิดประตูแล้วส่งตัวเองเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับด้วยเช่นกัน
ใช้เวลาไม่นานทั้งฉันกับมะตูมก็มาถึงมหาวิทยาลัย แต่ว่ากิจกรรมรับน้องมันก็ได้เริ่มไปแล้วนั่นทำให้ฉันต้องรีบเร่งรีบมากขึ้นไปอีก พอรถจอดนิ่งสนิทปุ๊ปฉันก็รีบกระโจนลงจากรถแทบจะทันที ส่วนมะตูมเองก็ไม่ต่างกัน
“อิโรสส ว๊าย!”
มะตูมกรี๊ดเสียงดังลั่นก่อนจะดึงแขนฉันไว้จนตัวของฉันเซไปข้างหลังในจังที่ฉันกำลังจะข้ามถนน
“โอ๊ย แก จับฉันทำไมเนี่ย?”
“รถจะชน! อยากตายก่อนเรียนจบรึไง?”
บรื้นน!
สิ้นเสียงของมะตูมรถยนต์ก็วิ่งผ่านหน้าไปด้วยความเร็วจนผมของฉันปลิวไหวไปตามแรงลม ทำเอาฉันรู้สึกเหวอจนได้แต่เงียบก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“เกือบไปแล้ว” พอรถไปมะตูมถึงจะพูดคำนั้นออกมา
“ขอบใจมากนะมะตูม” ฉันพูดเสียงอ่อยเพราะรู้สึกใจแป้วขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อยเลย มานี่” มะตูมเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้ฉันวิ่งนำหน้าไปอีกคนที่ไม่มีเรดาห์มองทางอย่างฉันก็อาจจะได้ถึงโรงพยาบาลก่อนจะเป็นที่หมายก่อนแน่ๆ มะตูมเลยตัดสินใจคว้ามือฉันไว้แทนแล้วเดินนำหน้าฉับ ๆ
ในที่สุดพวกเราจะมาถึงจุดรายงานตัว โชคดีที่แถวนั้นมีอาจารย์แนะแนวเดินอยู่พอดี พวกเราก็เลยวิ่งเข้าไปหาแล้วขอร้องให้ท่านช่วยพาเราเข้าไปในงาน ส่วนอาจารย์ท่านนั้นก็ให้ความช่วยเหลือพวกเราด้วยความยินดี
พอมาถึงลานกิจกรรมก็มีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเดินมาหาเรา พวกพี่เขามีกันประมาณสี่คนโดยคนที่ดูจะเป็นคนนำน่าจะชื่อเฟิร์ส เพราะพี่เขาทั้งสี่คนมีป้ายชื่อติดไว้ที่ตัวเหมือนกัน โดยพี่เฟิร์สเป็นผู้ชายแต่มีลักษณะตุ้งติ้งนิดหน่อยฉันก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่มีจิตใจแบบผู้หญิงเหมือนมะตูม
“ทำไมถึงเพิ่งมาคะน้อง?” พี่เฟิร์สที่เห็นพวกเราก็รับรู้ได้ทันทีว่ามีคนมาสาย เพราะที่คอของพวกเรามีป้ายชื่อห้อยไว้อยู่ คนที่จะมีป้ายชื่อห้อยไว้ที่คอก็จะมีแต่พวกน้องใหม่อย่างฉันและมะตูม มันก็เลยมองออกได้ไม่ยาก
“คือพอดีว่ารถเสียน่ะค่ะพี่ ก็เลยมาช้า”
มะตูมโกหกไป ส่วนฉันทำได้แค่ยืนจ้องตาทำหน้าอึกอัก เหงื่อไหลซึมเต็มหลัง ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยแต่เพราะว่าสายตาของรุ่นพี่แต่ละคนที่ยืนจ้องพวกเราอยู่ต่างหาก
พี่เฟิรส์มองหน้าพวกเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ไม่ต่างจากรุ่นพี่อีกสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง มีคนหนึ่งมองมาที่ฉันก่อนจะทำหน้าเบะปากให้แล้วก็หันไปกระซิบกับเพื่อนที่อยูข้างๆ
การกระทำแบบนั้นทำเอาฉันรู้สึกหน้าชาไปเลย
“ข้ออ้าง” พี่เฟิร์สตอบกลับมะตูมไป ส่วนมะตูมที่เป็นคนไม่ยอมคนก็ถึงกับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้ทำกิริยากระด้างกระเดื่องออกไป
“ไม่ได้อ้างค่ะพี่ พวกเรารถเสียกันจริงๆ”
“ได้ ครั้งแรกพี่จะไม่ว่าอะไรนะคะน้อง แต่น้องจะโดนทำโทษ”
พูดจบที่เฟิร์สก็หันหน้าไปหาอีกสามคนที่อยู่ข้างหลัง ก่อนที่จะมีคนหนึ่งวิ่งออกไปหากลุ่มผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น สักพักกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้นก็มองมาทางเราแล้วเดินดุ่มๆ มาด้วยท่าทางที่น่ากลัว
ทำเอาฉันต้องแอบยื่นมือไปเกาะแขนมะตูมเอาไว้ทันที
ตอนนี้ฉันรู้สึกใจสั่นไปหมด ก่อนที่พี่คนนั้นจะเดินมาถึงแล้วจ้องหน้าเราเขม็ง
“ทุกคน หยุด!” ผู้ชายคนนั้นตะโกนขึ้น ฉันกับมะตูมถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่ทุกอย่างในนั้นจะหยุดนิ่งแล้วหันมามองที่พวกเรากันเป็นตาเดียว
“แก..” ฉันพูดกับมะตูมเบาๆ ส่วนมะตูมก็ยังทำเป็นใจดีสู้เสือ ยังคงยืนสู้สายตากับพวกรุ่นพี่โดยไม่มีอาการอะไรออกมา
“ทุกคนฟังพี่” เขาเอ่ยกับทุกคนแล้วหันมามองที่พวกเรา ส่วนฉันรู้สึกใจเต้นเร็วจนขาสั่นไปหมดแล้ว
“น้องๆ ทั้งสองคนนี้มาสาย… พี่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับพวกเราที่เหลือเป็นอย่างมาก เพราะสองคนนี้เป็นสาเหตุให้กิจกรรมนับน้องของเราต้องมาโดนขัดจังหวะ” เขาพูด ส่วนทุกคนที่มองมาที่พวกเราก็เบือนสายตามามองที่มะตูมกับฉันจนรู้สึกอึดอัด
“แต่พี่ก็เข้าใจ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร” เขาพูดต่อ
“แต่พวกเรามาช้าเพราะรถเสียนะพี่ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น” มะตูมแย้งจนพี่ว้ากคนนั้นหันมามองที่มะตูมสายตาเอาเรื่อง
“มะตูม…” ฉันรีบห้ามมะตูมทันทีเพราะไม่อยากให้พวกเราต้องโดนหมายหัว
“แก อยู่นิ่งๆ” มะตูมจับฉันไว้ ส่วนฉันที่กลัวว่ามะตูมอาจจะมีปัญหาก็เลยรีบตะโกนออกไป
“หนูขอโทษค่ะพี่ๆ ที่พวกเรามาสาย ครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ!”
“หึ” พี่ว้ากคนนั้นคนหัวเราะในลำคอออกมา ทำฉันขนลุกวาบไปทั้งตัว