ฉันชะงักนิ่งพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มันทั้งช็อกและรู้สึกเขินลึกๆ กับสิ่งที่พี่องศาพูดออกมา เขายังสติดีอยู่หรือเปล่า ทำไมถึงได้มาเรียกร้องอะไรแบบนี้จากฉัน
“มะ…มีนไม่ได้มีเวลามาเล่นตลกกับพี่นะคะ”
“แล้วใครบอกว่าฉันเล่น?”
“ขอได้มั้ยคะ พี่องศาจะให้มีนทำอะไรก็ได้ แต่มีขอเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว”
“เธอแน่ใจเหรอว่าอะไรก็ได้”
“ค่ะ ถ้ายกเว้นเรื่องแบบนี้ไปได้ มีนก็ไม่มีอะไรจะขัด”
“งั้นเย็นนี้ก็เตรียมตัวไว้ให้ดี ฉันจะมารับ”
“แต่มีนต้องไปติวหนังสือกับเพื่อนนะคะ”
“เพื่อนผู้หญิง?”
“มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายค่ะ” ฉันตอบไปตามความจริง ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอยู่แล้วนิ
“แน่ใจเหรอว่าไปติวหนังสือ ไม่ได้ไป…” พี่องศาลากเสียงยาวแล้วกวาดสายตามองฉันราวกับกำลังสมเพช “…ทำอย่างอื่น”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่าค่ะ” ฉันไม่ได้ฉลาดจนรู้ทันเขาทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“เลิกเรียนแล้วส่งที่อยู่ของเพื่อนเธอที่จะไปติวหนังสือด้วยกันมา”
“ค่ะ มีนไปได้รึยังคะ?”
“เชิญ”
ฉันไม่รอช้าที่จะเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย
ให้ส่งที่อยู่ของเพื่อนไปให้งั้นเหรอ ชิ! ฉันไม่ส่งไปหรอก
เลิกเรียน
คอนโด
“นี่สรุปพวกแกจะมาติวหนังสือหรือจะมาปาร์ตี้กันแน่” ฉันยืนกอดอกถามเพื่อนสนิททั้งสามคนที่กำลังหิ้วของมึนเมาพะรุงพะรังวางลงบนพื้น
จริงๆ แล้วเราคุยกับว่าจะมาที่นี่เพื่อติวหนังสือ แต่ระหว่างทางเพื่อนฉันคนนึงก็ขอแวะซุปเปอร์ใกล้ๆ แล้ววิ่งแจ้นไปซื้ออะไรก็ไม่รู้
ฉันไม่ทันได้สังเกตเพราะมันเก็บของไว้ที่ด้านหลังของรถ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นของมึนเมาพวกนี้
และแน่นอนว่าฉันไม่ได้ส่งที่อยู่ของเพื่อนไปให้พี่องศาตามคำสั่ง เพราะไม่รู้ว่าจะส่งไปทำไม เขาไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตฉันสักหน่อย
อีกอย่างตอนนี้พี่องศาก็คงจะวุ่นอยู่กับงานเพราะเขาต้องรับหน้าที่หลายอย่างแทนพี่นินที่ไปฮันนีมูน ฉันเลยทั้งไม่อยากทักเขาแล้วก็ไม่อยากรบกวนด้วยในเวลาเดียวกัน
“พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แกจะรีบติวไปไหนวะมีน” ฟองเบียร์เพื่อนสาวคนสนิทเป็นคนตอบ นางดูจะหน่ายเซ็งนิดๆ ที่ถูกฉันท้วง
“นั่นสิ หลายวันมานี้เรียนโคตรหนัก มึงจะไม่ให้พวกกูผ่อนคลายหน่อยรึไง” ลอว์เป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเรา เขามักจะติดพูดคำหยาบคายแบบนี้นี่แหละ แต่ลึกๆ แล้วลอว์รักและคอยปกป้องพวกฉันอยู่เสมอ
เมื่อก่อนฉันเคยโดนรุ่นพี่คนนึงตามตื้อจีบไม่เลิก จนสุดท้ายเขาเกือบจะหลอกฉันไปทำมิดีมิร้าย ตอนนั้นก็ได้ลอว์นี่แหละที่เป็นคนช่วยฉันเอาไว้
“แต่ถ้าพวกแกจะดื่มกันก็ควรจะบอกฉันก่อนสิ ฉันจะได้กลับ” ปกติฉันไม่ใช่คนชอบดื่มอยู่แล้ว พวกเพื่อนๆ ก็รู้กันดี
“ฉันขอสารภาพเลยแล้วกันนะ…” เป็นเอิงเอยที่พูดขึ้นเสียงแผ่วพลางเหลือบมองฟองเบียร์และลอว์อย่างกล้าๆ กลัวๆ “…สองคนนี้ตั้งใจจะไม่บอกมีนเพราะอยากให้มีนมากินด้วยกันน่ะ”
เอิงเอยเป็นเพื่อนสนิทของฉันอีกคน เอิงเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม จะไม่ค่อยพูด ดูขี้กลัวไปซะทุกอย่าง ผิดกับฟองที่เป็นผู้หญิงลุยๆ แรงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน
ส่วนฉันก็เป็นแบบที่ทุกคนเห็นนี่แหละ ไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ไม่ได้ฉลาดและกร้านโลกมากขนาดนั้น
มั้ง…
“พวกแกนี่จริงๆ เลยนะ” ฉันถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมกับตั้งท่าจะกลับ “ถ้ายังไม่ติวฉันกลับก่อนแล้วกัน”
ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปถึงประตู ฟองก็รีบวิ่งมาขวางทางฉันไว้
“อย่าเพิ่งกลับสิแก อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะ” ถึงเธอจะทำหน้าอ้อนแต่ฉันก็ไม่ได้ใจอ่อนหรอกนะ
“ฉันไม่ชอบดื่มอะไรพวกนี้แกก็รู้”
“นานๆ ทีไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“นั่นดิ กลัวอะไรวะ พี่ชายไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง” เป็นลอว์ที่สมทบขึ้นมา
“ไม่อยู่แค่คนเดียว แต่อีกคน…ช่างเถอะ” ฉันไม่อยากจะนึกถึงพี่องศาให้ขุ่นใจกว่าเดิมสักเท่าไหร่
“เอาหน่ามีน ไหนๆ ก็มาถึงห้องลอว์แล้ว เราอยู่ด้วยกันก่อนนะ” เอิงเองก็เดินมากุมมือออดอ้อนฉัน
ฉันหันมองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนที่กำลังส่งสายตากดดันขอให้ฉันอยู่ด้วย เฮ้อ…อยู่ก็อยู่ ใครจะไปปฏิเสธเพื่อนลงกันล่ะ
“โอเค งั้นฉันขอโทรบอกพี่ชายก่อนนะว่าวันนี้จะไม่กลับ”
“อื้อ”
ฉันเดินเอากระเป๋าไปวางลงบนโซฟา ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปเตรียมของกินและเครื่องดื่มสำหรับปาร์ตี้เล็กๆ ของเราในค่ำคืนนี้
ฉันออกมาที่ระเบียงพร้อมกับโทรศัพท์เพื่อกดโทรหาพี่ชาย อย่าเข้าใจผิดว่าฉันจะโทรหาพี่องศานะ ไม่มีทาง คนที่ฉันกำลังจะโทรหาคือพี่นินต่างหาก
“ฮัลโหลค่ะพี่นิน ว่างอยู่หรือเปล่าคะ”
(พี่เพิ่งลงจากเครื่อง มีนมีอะไรหรือเปล่า)
“เปล่าค่ะ มีนแค่จะโทรมาบอกว่าวันนี้มีนขอค้างที่ห้องเพื่อนนะคะ พอดีเรามาติวหนังสือกันน่ะค่ะ”
(แล้วนี่โทรบอกองศารึยัง?) คำถามของพี่นินทำเอาฉันรู้สึกเซ็งขึ้นมา
“ไม่ได้โทรค่ะ มีนคิดว่าพี่องศาคงจะงานยุ่งเลยมาบอกพี่นินแทน”
(โอเคไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่บอกองศามันเอง เพราะเดี๋ยวต้องโทรไปถามเรื่องความคืบหน้าโครงการใหม่สักหน่อย)
“โอเคค่ะ เดินทางถึงที่พักปลอดภัยนะคะ”
หลังวางสายจากพี่นินฉันก็เดินกลับเข้ามาและเอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตเพราะแบตใกล้จะหมด จากนั้นก็ไปช่วยเพื่อนเตรียมของ เมื่อเตรียมเสร็จเราก็นั่งล้อมวงกันดื่มกินอย่างสนุก
ส่วนใหญ่ฉันจะกินแต่ของว่าง ส่วนพวกของมึนเมาแค่จิบเบาๆ แบบปลายลิ้นแตะ ฉันไม่ชอบกลิ่นและรสชาติของมันสักเท่าไหร่
เอิงเองก็ไม่ค่อยชอบเช่นกัน ส่วนมากเธอจะดื่มน้ำเปล่าและน้ำอัดลมสลับกันไป
“กินอย่างกับมดดมเมื่อไรจะเมา” ลอว์ถามฉัน
“ก็มีนไม่ได้อยากเมานี่นา” แต่คนที่ตอบแทนก็คือเอิงเอย
“ฉันถามเธอเหรอยัยแว่น” ที่ลอว์เรียกแบบนี้ก็เพราะเอิงเอยเป็นคนสายตาสั้นและเธอมักจะชอบใส่แว่นมากกว่าคอนแทคเลนส์
คำตอบของลอว์ทำให้เอิงก้มหน้าลงราวกับรู้สึกเฟล
“พูดดีๆ ไม่ได้รึไงลอว์” ฉันรีบหันไปตำหนิ แต่ลอว์ก็ไหวไหล่ใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ
Talk องศา
ผมนั่งมองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะด้วยความกังวลอย่างไม่รู้ตัว
“ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับ จะติวเผื่อไปถึงชาติหน้าเลยรึไง” ผมพึมพำอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหายัยเด็กเกเร
รอสายไม่นานก็มีคนกดรับ
“อยู่ไหน”
(มีนอยู่หอเพื่อน แล้วนั่นใคร?) เสียงผู้ชายรับ? ไม่ใช่มีน
ใครวะ!
ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ผมเผลอกำโทรศัพท์ของตัวเองแน่นจนมันสั่น บอกว่าจะไปติวหนังสือที่แท้ก็มัวแต่ขลุกอยู่กับผู้ชาย แถมยังให้มันมารับโทรศัพท์แทน?