เช้าวันทำงานกานต์ธีรานั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะอาหารระหว่างที่รอเพื่อนมานั่งกินข้าวด้วยกัน ตั้งแต่เมื่อคืนแม่ก็ไม่ออกมาจากห้องอีกเลย ตอนไปเรียกท่านก็ไม่พูดด้วย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าท่านกำลังโกรธและกำลังประชดอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่าเกรซทำไมทำหน้าเครียดขนาดนั้นล่ะ” นาราเดินมานั่งที่เก้าอี้แล้วถามเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน
“ก็เรื่องเดิม ๆ เพิ่มเติมคือยอดเงินที่มากขึ้น” กานต์ธีราถอนหายใจแล้วพูดออกมา เธอไม่ต้องบอกนาราก็รู้ว่าคือเรื่องอะไร
“ครั้งนี้เท่าไรล่ะ”
“หนึ่งแสนบาท”
“หนึ่งแสนเลยเหรอ!! แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ จะให้แม่ไหม” นาราร้องอย่างตกใจและอดถามอย่างเป็นไม่ได้ ในใจก็สงสารเพื่อนไม่น้อย เพราะกานต์ธีราเป็นคนประหยัดมากถ้าแม่ไม่เล่นการพนันป่านนี้เพื่อนเธอมีเงินเก็บหลายบาทแล้ว
“ฉันมีสิทธิ์ไม่ให้ด้วยเหรอ ถ้าไม่ให้พวกนักเลงก็มารุมทำร้ายแม่ ฉันก็บาปอีกที่ปล่อยให้แม่โดนทำร้าย” กานต์ธีราพูดอย่างปลง ๆ
“เงินพอหรือเปล่ายืมของฉันก่อนไหม” นารายื่นมือมาช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
“ไม่เอาหรอกฉันไม่อยากเสียเพื่อนเพราะเรื่องเงิน” และก็เหมือนทุกครั้งที่นารายื่นมือมาช่วยเหลือกานต์ธีราจะปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย
นาราถอนหายใจเพราะคิดอยู่แล้วว่าต้องได้คำตอบแบบนี้
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะฉันเต็มใจช่วย”
“ขอบใจมากนะ”
สองสาวเพื่อนซี้นั่งกินอาหารมื้อเช้าก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานหน้าที่ของตัวเอง กานต์ธีราและนารามารู้จักกันที่ทำงานและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วเพราะมีความคิดใกล้เคียงกัน
หลังเลิกงานกานต์ธีรากลับมาที่บ้านก็พบว่าแม่ไม่ได้อยู่บ้านแล้ว ใจหนึ่งนึกเป็นห่วงกลัวว่าท่านจะเป็นอะไรเลยโทรไปหา แต่ไม่ว่าจะโทรกี่ครั้งท่านก็ไม่รับสายเลย และตอนที่เธอกำลังจะคิดไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสัญญาณกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น พอชะเง้อไปมองก็เห็นผู้ชายที่อยู่ในชุดสูทสีดำมายืนอยู่หน้าบ้าน
“หรือจะเป็นพวกทวงหนี้ของแม่” กานต์ธีราพูดคนเดียวและก็ตัดสินใจเดินออกไปดู
“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่ามาหาใครเหรอคะ” เธอถามผู้ชายร่างสูงออกไป
“ผมมาหาคุณญาณีไม่ทราบว่าอยู่ไหมครับ”
“ไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะพอดีฉันเป็นลูกสาวค่ะ”
แขกผู้มาเยือนนิ่งไปนิดก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นฝากคุณช่วยบอกคุณญาณีให้ด้วยนะครับว่าคุณอัคนีมาหา”
“ได้ค่ะเดี๋ยวฉันจะบอกให้” กานต์ธีราตอบรับและอดแปลกใจไม่ได้ว่าแม่ไปรู้จักกับผู้ชายที่ชื่ออัคนีได้ยังไง แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงพูดแล้วมองไปรอบ ๆ บ้านอย่างสังเกตก่อนจะตัดสินใจขึ้นรถที่จอดอยู่ไปทันที
“เฮ้อ แม่ไปก่อเรื่องอีกหรือเปล่านะ” กานต์ธีราบ่นพึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
...
“คุณญาณีไม่อยู่บ้านครับ”
“อยู่สิแปลกนี่คงคิดจะหนีหน้าฉันสินะ แล้วคนเมื่อกี้เป็นใคร”
“เป็นลูกสาวเขาครับ”
“ลูกสาวงั้นเหรอ” ชายหนุ่มคนที่นั่งด้านหลังพูดคนเดียวเบา ๆ ใบหน้าสวยเชิด ผิวสีน้ำผึ้งผ่านเข้ามาในหัว
“นายจะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ” ชายหน้าโหดข้างหน้าถามขึ้นอีกครั้ง
“คอยตามดูไปห่าง ๆ ก่อนเพราะยังเลยกำหนดไม่มาก อีกอย่างเราก็มีของค้ำประกันอยู่”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวนายช่วยสืบเรื่องของคุณญาณีและลูกสาวมาให้ฉันอย่างละเอียดที ฉันอยากรู้ว่านอกจากฉันแล้วเขายังเป็นหนี้ใครอีกบ้าง" เขาไม่คิดว่าญาณีจะเป็นหนี้เขาแค่คนเดียว เพราะคนเป็นหนี้เวลาหาเงินมาใช้คืนไม่ทันก็จะไปยืมที่อื่นมาแทน มันทำให้กลายเป็นบ่วงรัดคอตัวเอง
++++++
ญาณีเดินเข้ามาในบ้านในช่วงกลางดึกเธอเดินช้า ๆ เพราะไม่อยากให้กานต์ธีรารู้ตัวและตื่นมาซักถามตอนดึก แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อไฟในห้องรับแขกสว่างโร่ขึ้นมา
“แม่ไปไหนมาคะทำไมกลับมาดึกขนาดนี้” กานต์ธีราถามขึ้น เธอลงมานอนรอแม่ข้างล่างเพราะมีเรื่องจะคุยหลายอย่าง
“ไปหาเพื่อนมา แล้วทำไมเรายังไม่นอนอีกพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานหรือไง” ญาณีตอบแล้วแกล้งเดินเลี่ยงไปในครัวเพื่อไปเอาน้ำมาดื่มแก้กระหาย
“หนูโทรไปหาแม่ตั้งหลายสายทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ รู้ไหมว่าหนูเป็นห่วงแค่ไหน” กานต์ธีราเดินตามแม่เข้ามาในครัว
“โทรศัพท์ไม่ได้เปิดเสียง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะ เมื่อเย็นมีคนมาหาแม่ที่บ้าน” เธอตัดสินใจพูดออกมาเลยเพราะรู้ว่าแม่กำลังหาทางชิงหนี
ญาณีชะงักไปนิดเมื่อได้ยินที่ลูกสาวพูด เพราะรู้ว่าวันนี้จะมีคนมาหาเธอเลยหนีออกไปอยู่บ้านเพื่อนมา
“แม่จะไม่ถามหนูเหรอว่าเขาชื่ออะไร หรือว่าแม่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้เขาจะมาแม่เลยหนี” กานต์ธีราไล่ถามจี้เรื่อย ๆ
“รู้ มีอะไรอีกไหมง่วงนอนอยากนอนแล้ว” ญาณีพูดและเดินเลี่ยงออกจากครัวไปแต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อของลูกสาวที่ดังมา
“คนนั้นเป็นเจ้าหนี้อีกคนของแม่ใช่ไหม แม่เป็นหนี้เขาอีกเท่าไร แล้วแม่ก็ทิ้งให้หนูรับหน้าเขาคนเดียวถ้าเกิดพวกเขาทำอะไรหนูขึ้นมาแม่จะทำยังไง” กานต์ธีราถามด้วยเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่อยู่กันตามลำพังเธอต้องตามใช้หนี้ที่แม่ก่อไว้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ทุกครั้งมันก็หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าแม่เป็นหนี้ผู้ชายที่ชื่ออัคนีเท่าไร
“แล้วเราเป็นอะไรไหมล่ะ อย่ามาถามเซ้าซี้ได้ไหม ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเขาเองว่าฉันเป็นหนี้เท่าไร” พูดจบญาณีก็เดินหนีขึ้นห้องไปทันที
กานต์ธีราส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจและปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม่ไม่เคยเป็นห่วงเลยว่าเธอจะอยู่ยังไง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม่ที่แสนดีคนเดิมหายไปไหน ไม่คิดเลยว่าผีพนันจะน่ากลัวขนาดนี้ และไม่รู้วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะรับมือกับเรื่องพวกนั้นได้ไหม แต่ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงก็ไม่เคยคิดจะทิ้งให้ท่านเจอเรื่องร้าย ๆ คนเดียว
++++++