EPISODE 03

3414 คำ
EPISODE 03  แสงแดดสว่างจ้าส่องกระทบเปลือกตาจนฉันไม่สามารถฝืนหลับได้อีกต่อไป ในสมองเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าลำคอแห้งผากราวกับว่ามีฝุ่นผงติดค้างอยู่ด้านใน “หิวน้ำเหรอซารัง” นั่นเสียงใครกันนะ ทำไมถึงได้ฟังดูอบอุ่นเหมือนเสียงของ... พ่อ “ซารัง ลูกรู้สึกยังไงบ้าง ซารัง ได้ยินพ่อมั้ย ซารัง” “พ่อ” ฉันร้องเรียกหาพ่อพร้อมกับพยายามลืมตา และภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันคิดเอาไว้ “พ่อคะ” “นี่พ่อเอง” พ่อบอกอย่างใจดีพร้อมกับประคองฉันขึ้นจากที่นอน ก่อนจะหันกลับไปหยิบแก้วน้ำมาให้ ฉันดื่มน้ำจนหมดแก้วอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งแก้วเปล่าคืนพ่อ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องแล้วถึงได้มั่นใจว่าตอนนี้ฉันนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง นี่มันห้องพักของฉันเอง แต่ว่าสิ่งที่น่าสนใจกลับไม่ใช่สถานที่ หากแต่เป็นเวลาในตอนนี้ต่างหาก นาฬิกาดิจิทัลที่ฉันเหลือบไปเห็นที่หัวเตียงเมื่อครู่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ไม่ผิดแน่ๆ แสงแดดสว่างจ้าขนาดนี้มันไม่มีทางจะเป็นเที่ยงคืนไปได้หรอก “หนูหลับไปนานมากเลยนะคะ” ฉันยิ้มแหยๆ พลางขยับเข้าไปกอดเอวพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ เอาไว้แน่น พ่อยกมือขึ้นลูบหัวก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ ราวกับกำลังหนักใจกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งฉันพอจะมองออกว่าฉันคงทำให้พ่อเป็นห่วงนั่นแหละ ในสายตาของพ่อ ฉันคงเป็นเด็กอยู่เสมอ “ทำไมลูกถึงไม่รู้จักดูแลตัวเองบ้างเลยนะซารัง นี่ถ้าไม่ได้พลเมืองดีช่วยโทรแจ้งตำรวจและช่วยเหลือลูกเอาไว้ ก่อนจะติดต่อพ่อให้ไปรับลูกกลับมา ป่านนี้ลูกจะเป็นยังไง” พลเมืองดีช่วยเหลือฉันเอาไว้อย่างนั้นเหรอ “ไหนลองบอกพ่อซิว่าทำไมถึงได้ไปเป็นลมอยู่ริมถนนแบบนั้น” พ่อดันตัวฉันออกพลางซักถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “หนู...” ฉันจะตอบพ่อว่าอะไรดี จะแก้ตัวหรือพูดอะไรออกไปสักอย่างทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นได้ยังไงกัน “เฮ้อ นี่ลูกคงจะอ่านหนังสือหนักมากเลยสินะ ข้าวปลาได้กินบ้างรึเปล่า ลูกดูผอมลงไปเยอะเลยนะซารัง” ถ้าพ่อรู้ว่าพฤติกรรมของฉันห่างไกลจากที่พ่อพูดออกมาลิบลับ พ่อจะรู้สึกผิดหวังในตัวฉันมากมั้ยนะ... “หนูขอโทษที่ทำให้พ่อต้องเป็นห่วงค่ะ แต่ต่อไปนี้จะดูแลตัวเองให้มากขึ้นก็แล้วกันนะคะ” “พ่อที่ไหนเขาจะไม่เป็นห่วงลูกกันล่ะ เอาเถอะ เรื่องอ่านหนังสือก็เพลาๆ ลงบ้างนะลูก หักโหมมากไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงเรื่องยาลดความอ้วนก็ด้วย” น้ำเสียงของพ่อเข้มขึ้นนิดหน่อยเมื่อต้องการจะตำหนิ ส่วนฉันก็ได้นั่งงงเมื่อได้ยินพ่อพูดถึงเรื่องยาลดความอ้วนขึ้นมา ฉันเคยกินอะไรแบบนั้นที่ไหนกันล่ะ! ทีแรกก็กำลังจะถามพ่อให้แน่ใจ แต่พอเห็นว่าพ่อยื่นตลับยาสีขาวออกมาตรงหน้า ฉันก็ต้องรู้สึกแปลกใจกว่าเดิม เพียงแต่ต้องเก็บทุกคำถามที่เกิดขึ้นเอาไว้ในใจเพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธแล้วอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังส่วนเรื่องที่พ่อพูด ฉันคิดว่าพอจะเข้าใจว่าพ่อหมายถึงอะไร “พ่อเห็นมันอยู่ในกระเป๋าลูก ลูกรู้ใช่มั้ยว่ามันอันตราย อีกอย่างพ่อว่าลูกสาวพ่อก็ไม่เห็นจะอ้วนตรงไหนเลยนะซารัง” “แฮ่ คือว่า...” “ไม่ต้องโกหกพ่อหรอกน่า พ่อเข้าใจว่าเด็กผู้หญิงก็ต้องรักสวยรักงามเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันต้องทำให้ถูกวิธี ลูกอยากจะผอม พ่อจะแนะนำเทรนเนอร์ให้เอามั้ย ออกกำลังกายเป็นวิธีที่ทำให้ลูกผอมแถมยังมีสุขภาพที่ดีด้วยนะซารัง” ไปกันใหญ่เลยสิทีนี้ ฉันจะอธิบายยังไงดีนะ “ค่ะ หนูจะไม่กินยาขยะพวกนั้นอีก หนูสัญญา” ฉันจำใจตอบรับยาพวกนั้นเอาไว้เป็นของตัวเองเพื่อให้พ่อสบายใจ “เดี๋ยวพ่อจะให้เลขาฯ ของพ่อเขาติดต่อเทรนเนอร์ให้ลูกก็แล้วกัน ลงสักคอร์สสองคอร์สบวกกับการควบคุมอาหาร พ่อว่าลูกสาวของพ่อต้องสวยมากแน่ๆ” “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะพ่อ” “เอาน่า แค่นี้เรื่องเล็ก พ่อจะไม่ยอมลูกสาวของพ่อไปเสี่ยงชีวิตกับไอ้ยาอันตรายนั่นหรอก ทิ้งมันไปซะนะซารัง เชื่อพ่อ” พ่อยืนยันหนักแน่นพร้อมกับวางมือบนหัวของฉันเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันได้แต่ยิ้มแหย พยักหน้ารัวๆ แล้วกำตลับยาในมือแน่น ก่อนจะทำทีเป็นหย่อนมันลงไปในถังขยะเพื่อให้พ่อมั่นใจว่าฉันจะไม่กินมันอีกแน่นอน ฉันจำได้ว่าฉันคืนให้รุ่นพี่จุนแจไปแล้วนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้กลับมาอยู่ในกระเป๋าของฉันได้ล่ะ? Rrrr~ เสียงโทรศัพท์ของพ่อเปรียบเสมือนเป็นสัญญาณบอกฉันว่าวันนี้คงหมดเวลาแล้ว ซึ่งพ่อเองก็ถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยิน ก่อนจะหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าหนักใจ “ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ พ่อไปทำงานเถอะนะคะ หนูสัญญาว่าหนูจะดูแลตัวเอง ครั้งหน้าต้องไม่พลาดมื้อเย็นกับพ่อแน่นอน ฝากขอโทษแม่ด้วยนะคะ เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วหนูจะรีบกลับไปหา” ฉันอ้อนพ่อเหมือนทุกที จนบางครั้งก็แอบคิดว่าอาจเป็นเพราะฉันชอบทำแบบนี้บ่อยๆ พ่อถึงไม่เคยเห็นฉันโต ทั้งที่ความจริงฉันเรียนใกล้จะจบแล้วด้วยซ้ำ พ่อหัวเราะเบาๆ แล้วสวมกอดฉัน พร้อมกับที่ฝ่ามืออบอุ่นของพ่อลูบแผ่นหลังของฉันเพื่อปลอบประโลมก่อนจะผละตัวออกไป หลังจากที่พ่อเดินจากไปแล้ว ฉันก็ต้องรีบถอนหายใจก่อนจะพยายามตั้งสติ สิ่งแรกที่นึกได้ก็คือต้องรีบเก็บตลับยานั่นคืนมาก่อนที่ตัวเองจะลืมและอาจเผลอทิ้งมันไปจริงๆ ยังไงฉันก็ตั้งใจจะเอากลับไปคืนให้รุ่นพี่จุนแจอยู่แล้ว ฉันต้องถามเขาให้รู้เรื่องว่าตกลงแล้วยาในตลับยานี่มันคือยาอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงได้พยายามจะยัดเยียดมันให้ฉันเหลือเกิน ปั่ก! Rrrr~ ฉันเก็บตลับยานั่นขึ้นมาจากถังขยะแล้ววางไว้ที่หัวเตียงด้านข้างโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พร้อมกับที่บีโฮโทรเข้ามาพอดี “ฮัลโหล” [วันนี้ไม่มาเรียนเหรอซารัง] เขาน่าจะรอฉันอยู่แน่ๆ แต่นี่มันเที่ยงแล้วนี่นา ต่อให้รีบไปตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ทันแล้วอยู่ดี “ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง” [อ้าวเหรอ แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า เมื่อเช้ากงจูก็บ่นว่าไม่ค่อยสบาย ยัยนั่นเองก็ไม่ได้มาเรียนเหมือนกัน เหลือฉันนั่งหัวโด่อยู่คนเดียวเนี่ย] สรุปว่าเขาถามเพราะเป็นห่วงฉันหรือเพราะต้องการจะต่อว่าเรื่องที่ฉันไม่ได้ไปเรียนกันแน่นะ บ่นยัยกงจูไม่ได้ก็เลยมาลงที่ฉันรึยังไงกัน! “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ขอพักสักวันก็แล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกันก็แล้วกันนะบีโฮ” [ก็ต้องอย่างนั้นแหละ เออ จริงสิ เมื่อกี้ฉันเห็นรุ่นพี่จุนแจเขามาเดินวนเวียนแถวๆ นี้ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเขาแวะมาหาเธอรึเปล่า] รุ่นพี่จุนแจงั้นเหรอ? “แล้วทำไมเขาจะต้องแวะไปหาฉันด้วยล่ะ ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ฉันรีบอ้าง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะคอแห้งอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของรุ่นพี่จุนแจ เหมือนมีภาพบางอย่างแวบเข้าในหัว ภาพของเขากับผู้หญิงสวยๆ คนนั้นที่ซอกตึกเมื่อวาน ฉันคลับคล้ายคลับคาว่าเธอชื่อ... ยองมิน “เฮ่ย!” ฉันร้องเสียงดังพลางยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแล้วดันมีภาพเหตุการณ์บางอย่างต่อจากนั้นแวบขึ้นมาในความทรงจำ [เป็นอะไรน่ะซารัง ตกใจอะไร เรื่องรุ่นพี่จุนแจรึเปล่า เมื่อกี้ฉันเห็นเขาแวบๆ อีกแล้ว เหมือนเขาจะมองหาเธออยู่จริงๆ นะ เขาสบตาฉันด้วยล่ะ] “ถ้าเขาถามอะไรนาย อย่าบอกนะ” ฉันรีบบอกด้วยความตกใจ บางทีเขาอาจจะไปดูให้แน่ใจว่าฉันตายไปแล้วจริงๆ รึเปล่าก็ได้นี่นา บ้าจริง เมื่อกี้ฉันมัวแต่สงสัยเรื่องยาจนเกือบลืมไปว่าเมื่อวานเขาพยายามจะฆ่าฉัน! [ฮั่นแน่ แปลว่าเธอรู้ว่าเขาจะมาหาเธอจริงๆ ด้วย เดี๋ยวนี้กล้ามีความลับกับฉันงั้นเหรอ ร้ายกาจนักนะลีซารัง] “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อยบีโฮ ขอร้องล่ะ ถ้ารุ่นพี่จุนแจถามอะไร นายห้ามบอกเขาเด็ดขาดเข้าใจมั้ย” [ทำไมฉันต้องทำตามที่เธอบอกด้วยล่ะ] “เถอะน่า บอกว่าไม่ให้บอกก็คือไม่ให้บอก ห้ามพูดเด็ดขาด ถ้าเขาถามอะไรเกี่ยวกับฉันนายก็บอกไปว่าไม่รู้ไม่เห็น เข้าใจมั้ยบีโฮ” ฉันกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ปลายสายกลับเงียบไปราวกับไม่ได้ยินทั้งที่วินาทีการโทรก็ยังเดินอยู่ ซึ่งแปลว่าบีโฮยังไม่ได้วางสายนี่นา “ฮัลโหล บีโฮ นายได้ยินฉันรึเปล่า” [ชู่ รุ่นพี่จุนแจกำลังเดินมาทางนี้ ฉันว่าเขาต้องมาถามหาเธอแน่ๆ เลยซารัง ฉันตื่นเต้นจัง] แล้วหมอนี่จะตื่นเต้นแทนฉันทำไมกันล่ะ คงเพราะไม่รู้สินะว่าไอ้สิ่งที่ฉันไปเจอมามันน่าตื่นกลัวมากกว่าน่ะ [สวัสดีครับรุ่นพี่จุนแจ ตามหาใครอยู่รึเปล่าครับ พอดีผมเห็นพี่เดินวนอยู่หลายรอบแล้ว] บีโฮ!!!!! ฉันอยากฆ่าหมอนี่จริงๆ ให้ตายสิ [เพื่อนนายน่ะ ที่เจอที่ห้องพยาบาลเมื่อวาน วันนี้ยัยนั่นมาเรียนรึเปล่า] เขาถามหาฉันจริงๆ ด้วย ทำยังไงดี [เธอ...] บีโฮลากเสียงยาวราวกับกำลังครุ่นคิด ฉันนึกภาวนาอยู่ในใจ ขอให้เขาอย่าได้พูดอะไรออกไปเชียว ไม่อย่างนั้นฉันจะไปฆ่าเขาจริงๆ ด้วย [พี่มีอะไรกับซารังงั้นเหรอครับ] แล้วจู่ๆ บีโฮก็เปลี่ยนเป็นคำถาม ฉันยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าสามารถโล่งใจได้แล้วรึยัง เพราะตราบใดที่รุ่นพี่จุนแจยังคุยกับบีโฮอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าหมอนี่อาจจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปได้ทุกเมื่อ [อ้อ โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นแฟนนาย ขอโทษที่ทำให้นายไม่สบายใจก็แล้วกัน แต่ฉันไม่ได้คิดจะจีบยัยนั่นหรอก] ไม่ได้คิดจะจีบ แต่คิดจะฆ่าปิดปากใช่มั้ยล่ะ! [เอาเป็นว่าฉันไปก่อนก็แล้วกัน ดูแลแฟนนายให้ดีล่ะ / เอ่อ เดี๋ยวครับรุ่นพี่ รุ่นพี่ รุ่นพี่ บ้าฉิบ!] เสียงสบถของบีโฮบ่งบอกว่าเขาไม่อาจรั้งรุ่นพี่จุนแจได้สำเร็จ แต่ช่างเถอะน่า ตอนนี้จะเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยในชีวิตของฉันอีกแล้ว [โทษทีนะซารัง ดูเหมือนรุ่นพี่จุนแจจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันกับเธอเป็นแฟนกันน่ะ] “ดีแล้ว” [หา!] บีโฮร้องเสียงสูงจนฉันต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกให้ห่างจากหู [เธอจะบ้ารึไง เราไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อยนะยัยซารัง ฉันรู้นะว่าฉันหน้าตาดี แต่ฉันมีกงจูที่น่ารักอยู่แล้วทั้งคน เพราะงั้นเธออย่ามาหลงเสน่ห์ฉันเลยน่า ฉันไม่มีทางร่วมมือกับเธอหักหลังซารังหรอก] โอ๊ย จะอ้วก! “มันไม่ใช่แบบที่นายคิดหรอกบีโฮ แต่เอาเป็นว่าถ้าพรุ่งนี้ฉันเจอนายแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง ระหว่างนี้ถ้ารุ่นพี่จุนแจเขามาวุ่นวายอะไรอีก นายก็ช่วยไล่เขาไปไกลๆ เลย” ฉันรีบบอก [อะไรของเธอเนี่ยซารัง กินข้าวน้อยจนสมองทึบไปหมดแล้วเหรอ ใครจะไปกล้าไล่รุ่นพี่จุนแจแบบนั้นกันล่ะ] “ถ้านายไม่ช่วยฉัน ฉันจะบอกกงจูเรื่องที่นายไม่ช่วยฉันทำรายงาน” [ยัย...] “เรื่องที่นายแอบไปกินเหล้ากับซงอึน แล้วก็...” [พอ ยัยบ้าเอ๊ย ฉันไม่น่าเล่าให้เธอฟังเลย คอยดูเถอะ ถ้าเธอกล้าปากสว่างบอกเรื่องทั้งหมดให้กงจูรู้ ฉันเอาเธอตายแน่] บีโฮคาดโทษก่อนที่เขาจะเป็นคนกดวางสายไป ฉันเป่าลมออกจากปากพลางโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัว ในสมองเริ่มมีคำถามโน่นนี่นั่นวิ่งเข้ามาไม่หยุดจนฉันรู้สึกปวดหัว โอ๊ย! ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย รุ่นพี่จุนแจเขาเป็นใครกันแน่นะ แล้วเขาคนยังไง เมื่อวานฉันได้ยินเขาพูดกับเพื่อนของเขาเรื่องแวมไพร์อะไรสักอย่างที่จฉันยังไม่ปักใจเชื่อและคิดว่าตัวเองอาจกำลังเข้าใจผิด ส่วนเรื่องผู้หญิงที่ชื่อยองมินอะไรนั่นเองก็น่าคิด ภาพที่ฉันเห็นมันขัดกับความรู้สึกเหลือเกิน ฮือออ ฉันจะบ้าตาย ใครจะไปคิดว่าภายนอกรุ่นพี่จุนแจที่ดูสุภาพอ่อนโยน ออกจะเย็นชากับทุกคนบนโลกด้วยซ้ำ แต่เบื้องลึกแล้วเขากลับเป็นผู้ชายโรคจิตที่ชอบความรุนแรงงั้นเหรอ จะใช่จริงรึเปล่า ไหนจะเรื่องที่เขาตั้งใจจะฆ่าฉันอีกล่ะ มันจริงแบบที่ฉันคิดรึเปล่า เพราะถ้าหากเขาตั้งใจจะฆ่า ทำไมพ่อถึงบอกว่าฉันหมดสติอยู่ริมถนน และถ้าเป็นการพยายามฆ่าจริง ทำไมก่อนที่ฉันจะหมดสติไป ฉันถึงไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเขาพยายามจะทำร้ายฉันล่ะ อาวุธในมือก็ไม่เห็นจะมีนี่นา ฉันจำได้ว่าเขาพยายามบอกให้ฉันหลับตา ซึ่งตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะทำตามคำสั่งของเขาหรอก แต่เมื่อได้สบตากับเขา นัยน์ตาของเขากลับมีสีแดงแดงวาววับดูดุร้ายน่ากลัวจนฉันต้องรีบทำตามคำสั่ง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย ไม่ได้ลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ วินาทีที่ฉันรู้สึกว่าเขายกมือขึ้นมาปิดตาฉัน ฝ่ามือของเขาเย็นเยียบจนฉันขนลุก จากนั้นฉันก็ได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่าง เหมือนจะสั่งให้ฉันลืมเรื่องที่เห็น ก่อนจะพูดว่า...เซตซีโร่ ใช่! เขาพูดว่าเซตซีโร่ ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ โอ๊ย เรื่องยาก็ยังไม่เคลียร์ เรื่องแวมไพร์นั่นก็ฟังดูนิยายเกินกว่าจะเชื่อ ไหนจะยังรสนิยมความชอบของรุ่นพี่จุนแจอีกล่ะ ฉันไม่รู้จะโยงเรื่องทั้งหมดนั้นให้มันเข้ากันได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ เลยคือฉันต้องกำลังถูกเขาจับตามองแน่ๆ เขาคงกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องที่เห็นไปบอกคนอื่น ดีไม่ดีเขาอาจกำลังหาทางกำจัดฉันอย่างแนบเนียนอยู่ก็เป็นได้ โถว ทำไมชีวิตสาวน้อยลีซารังคนนี้ถึงได้น่าสงสารมากขนาดนี้กันนะ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าพรุ่งนี้ฉันไปเรียนแล้วเจอรุ่นพี่จุนแจ ฉันควรจะรีบหลบหน้าเขาหรือควรจะทำตัวเป็นปกติ ฉันจะกล้าสู้หน้าสบตาเขารึเปล่า หรือว่าเขาจะตามมาทำร้ายฉันมั้ย ตุ้บ! ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจปัดตลับยานั่นทิ้งลงถังขยะ จะยาอะไรก็ช่างเถอะ ฉันควรห่วงชีวิตของตัวเองก่อนจะไปวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น เพราะถ้าหากว่ามันเป็นยาสำคัญจริงๆ เขาจะเอามาให้ฉันทำไม อีกทั้งยังพยายามยัดใส่กระเป๋าฉันทั้งที่ฉันไม่รู้ตัวสองรอบแล้ว เอ๊ะ! หรือว่ามันจะเป็นยาเสพติด เป็นไปได้มั้ยนะ ท่าทางของรุ่นพี่จุนแจกับเพื่อนของเขาเองก็ดูมีลับลมคมใน บ้าบอ ฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย!!! Rrrr~ เป็นอีกครั้งที่ฉันสะดุ้งตัวโยนเพียงเพราะเสียงโทรศัพท์ นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นคนขวัญอ่อนไปโดยปริยาย “ว่าไงกงจู” ฉันกดรับพลางกรอกเสียงลงไป พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สายตายังเอาแต่จ้องมองไอ้ตลับย***าๆ นั่นราวกับถูกมันสะกดเอาไว้ ในหัวยังลังเลอยู่ว่าจะเก็บขึ้นมาหรือว่าทิ้งมันไปซะ ฉันจะไม่คิดมากแบบนี้เลยถ้ารุ่นพี่จุนแจไม่ไปตามหาฉันวันนี้ แต่นี่เพราะเขาไปตามหาฉันมันถึงได้ยิ่งดูน่าสงสัย ฉันคิดว่าเขาคงไม่สบายใจที่ฉันดันเป็นล่วงรู้ความลับด้านมืดของเขามาแน่ๆ ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดจะฆ่าฉัน แต่เขาก็ต้องหาวิธีมาข่มขู่เพราะคงกลัวว่าฉันจะปากสว่าง และนั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังกลัว [ฮัลโหล ซารัง ได้ยินฉันมั้ยยัยซารัง ฮัลโหลๆ] “ได้ยินแล้วๆ ว่าไง มีอะไรก็พูดมา แกจะเสียงดังทำไมเนี่ย” ฉันแสร้งทำเสียงหงุดหงิดใส่ยัยกงจูเพื่อกลบเกลื่อนความสับสนของตัวเอง [เมื่อกี้ฉันโทรหาบีโฮ เขาบอกว่าวันนี้แกก็ไม่ได้ไปเรียนใช่มั้ย อาการยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ] นี่ถ้าไม่ติดตรงที่ลองหยิกตัวเองดูแล้วรู้สึกเจ็บ ฉันคงคิดว่ากำลังฝันอยู่แน่ๆ เพราะปกติแล้วยัยกงจูมันไม่ถามฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้หรอก มาแปลกแฮะ พักนี้รอบกายฉันทำไมมีแต่คนเพี้ยนๆ “รวมๆ ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ฉันตื่นสายน่ะ จะรีบไปตอนนี้ก็คงไม่ทันเลยถือโอกาสขี้เกียจมันซะเลย” ฉันบอกพลางทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ [ฉันว่าแล้วเชียว คนอย่างแกกะโหลกหนาจะตาย] แบบนี้สิถึงจะเป็นยัยกงจูตัวจริง “ว่าแต่ฉัน แล้วแกอะ เมื่อกี้บีโฮโทรมาบอกฉันแล้วว่าแกก็ไม่ได้ไปเรียนเหมือนกัน บ่นเป็นคนแก่ว่าถูกทิ้งนั่งเรียนอยู่คนเดียว” [ก็แค่ตื่นมาแล้วรู้สึกขี้เกียจ] ไม่ต้องเป็นหมอดูฉันก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ คนขยันอย่างยัยกงจูเนี่ยนะจะขี้เกียจ เป็นฉันหรือบีโฮก็ว่าไปอย่าง “มีอะไรก็พูดมาเถอะยัยกงจู คิดว่าทำเป็นบอกว่าขี้เกียจแล้วฉันจะเชื่อแกรึยังไง” ฉันรีบบอกอย่างรู้ทัน และเสียงถอนหายใจของยัยกงจูก็การันตีได้ดีว่าฉันเดาถูก [มาเจอหน่อยดิ ฉันอยู่คาเฟ่แถวๆ หอพักแกนี่แหละ] แปลความหมายได้ว่ามันตั้งใจมาหาฉันตั้งแต่แรก แค่โทรมาจิกให้ฉันเป็นคนไปหามันที่ร้าน เฮ้อ “เออๆ ขออาบน้ำก่อนก็แล้วกัน” ฉันบอกอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกดวางสายไป นาทีนี้ไม่รู้แล้วว่าจะเอาสมองไปคิดเรื่องไหนก่อนเลยทีเดียว ว้อยยย สมองฉันมีแค่แปดหมื่นสี่พันเซลล์เอง จะมีเรื่องให้คิดทำไมกันนักกันหนา!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม