บทที่ 1

2499 คำ
                “มีอะไรเหรอครับ หัวหน้า?” หลังเดินตามอีกคนเข้ามาในห้องแล้วผมก็ถามขึ้นทันที ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างทำเป็นใจดีสู้เสือ เมื่อเห็นคุณนภัทรตวัดสายตาหันมามองคล้ายกับกำลังตำหนิกันในใจ                 “คุณเห็นโพสต์อิทที่ผมแปะไว้ให้หรือยัง” อีกฝ่ายถาม                 “เห็นแล้วครับ”                 “ดี งั้นวันนี้คุณทำเสร็จแล้ว ก็ช่วยเอามาให้ผมดูด้วยแล้วกัน… ทุกชิ้น”                 “ครับ? ทุกชิ้นเลยเหรอครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น ผมก็ทวนคำพูดคล้ายกับไม่เชื่อหูทันที                 “ก็ใช่สิคุณแพรว คุณงงอะไรเหรอ?” คุณนภัทรถามกลับ                 “….”                 “ผมจะได้ช่วยดูให้ไงว่ามันต้องไปแก้อะไรตรงไหนบ้าง แล้วเวลาที่เราเอางานไปนำเสนอลูกค้าก็จะได้ผ่านเลย อ้อ! แล้ววันนี้ตอนเที่ยงคุณก็ออกไปกับผมด้วยนะ เพราะเดี๋ยวเราต้องไปคุยกับลูกค้าต่อในช่วงบ่าย”                 “ได้ครับ หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จแล้วใช่ไหมครับ?” ผมถามต่อ ก่อนจะขยายความเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณนภัทรนิ่งไป “ผมหมายถึงหลังจากที่เราสองคนต่างแยกย้ายกันไปกินข้าวแล้ว และก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง….”                 “ไม่” ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค คุณนภัทรก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน แล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “เราสองคนจะออกไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปคุยกับลูกค้าต่อเลย”                 “อ๋อ อ—เอางั้นก็ได้ครับ” ในเมื่ออีกฝ่ายว่าเช่นนั้น ผมจึงทำได้แค่ขานรับเสียงอ่อน แอบรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยเพราะวันนี้ผมตั้งใจจะออกไปกินส้มตำปูปลาร้ากับพวกพี่ ๆ ในแผนก                 “เป็นอะไร? หรือว่าคุณมีปัญหาอะไรเหรอ” คุณนภัทรถามต่อเสียงซื่อ                 “เปล่าครับ ไม่มีปัญหาอะไร” ผมส่ายรีบหน้าปฏิเสธทันที                 “ดีแล้ว ที่ผมเรียกคุณมาคุยด้วยก็มีแค่เท่านี้แหละ คุณกลับไปทำงานได้แล้วไป”                 “ครับ”                 “แล้วผมก็คาดหวังนะว่าจะได้เห็นงานสักชิ้น ก่อนที่เราจะออกไปข้างนอกกัน” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าออกจากห้อง เสียงของคุณนภัทรก็ดังไล่หลังมาติด ๆ                 “ครับ เดี๋ยวผมจะเร่งมือแล้วส่งให้คุณดูนะครับ” ผมรีบรับปากคุณนภัทร แล้วขอตัวออกมาจากห้องทำงานของคุณเขาทันที                   เพราะถูกคาดหวังจากคุณนภัทรว่าจะได้เห็นงานสักชิ้นจากผมก่อนเที่ยงนี้ นั่นจึงทำให้มหกรรมปั่นงานจนไฟลุกเกิดขึ้นทันที หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณเขาแล้ว                 “ฮัลโหล… พี่เอ๋เหรอครับ พี่เอ๋รูปโปรดักส์ของลูกค้าผมยังไม่ได้เลยอะ ไม่ทราบว่าพี่ส่งมาให้ผมหรือยังครับ?”                 [….]                 “อ๋อ งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยส่งมาให้ผมในเมล์ด้วยนะครับ ด่วน ๆ เลยนะพี่ ขอบคุณมากครับ”             “ขยันจังครับ คุณแพรว” ขณะที่กำลังก้มอ่านโน้ตจากลูกค้าอย่างตั้งใจอยู่นั้น เสียงของคุณนภัทรก็ตามมาหลอกหลอนผมถึงที่โต๊ะทำงาน หลังอีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องพอดีและกำลังจะเดินไปแผนกอื่นต่อ                 “นี่เป็นปกติของผมเลยครับ หัวหน้า” พูดจบ ผมก็ฉีกยิ้มจนตาหยีกลับไปให้คุณนภัทร โดยอีกฝ่ายเองก็กระตุกยิ้มจาง ๆตอบกลับมาเช่นกัน                 “ดีมากครับ ถ้าคุณขยันแบบนี้เป็นปกติ…ก็ดีแล้ว” คุณนภัทรพูดต่อ แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินออกจากแผนกไปทันที ทิ้งให้ผมกลับมานั่งหัวฟูกับงานตรงหน้าอีกครั้ง                   โชคดีที่ในวันลาหยุด ผมได้ทำความเข้าใจและลองร่างแบบตามความต้องการของลูกค้าไปบ้างแล้วบางส่วน นั่นจึงทำให้ผมไม่ต้องมาเสียเวลานั่งคิดอะไรเพิ่มเติมอีก เหลือเพียงแค่ทำตามแบบที่ร่างไว้ในหัวก็เท่านั้น                 “แพรว ให้พี่รอไหม?” ขณะที่ผมกำลังเพ่งสายตาไปยังหน้าจอคอมจนคิ้วขมวดอยู่นั้น พี่ที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้างกันก็ถามขึ้น                 “ไม่ต้องรอครับ พี่แก้วไปกินข้าวเลยเพราะผมต้องออกไปคุยงานกับหัวหน้าต่ออะ” ผมเอ่ยอย่างแสนเสียดาย                 “อ้าว… จริงเหรอ แต่ว่าแพรวก็ออกไปคุยงานกับลูกค้าตอนบ่ายไม่ใช่หรือไง? งั้นก็ไปกินข้าวกับพวกพี่ก่อนสิ แล้วค่อยกลับมาเจอกับหัวหน้า”                 “ฮือ ผมก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ แต่ว่าคุณนภัทรบอกว่าถ้าเราแบบนั้น เราก็จะไปหาลูกค้าช้าครับ”                 “โห… งั้นก็แย่เลยดิ ถ้าอย่างนั้นร้านอาหารอีสานที่เรานัดกันไว้ก็ค่อยไปกินกันวันหลังเนอะ เดี๋ยวพี่บอกลงในแช็ตกลุ่มให้”                 “ได้ครับ กินข้าวให้อร่อยนะพี่” ผมอวยพร                 “จ้า สู้ ๆ แล้วกันนะ” ก่อนที่พี่แก้วจะเดินจากไป เธอก็ไม่ลืมที่จะตบบ่าผมไปหนึ่งทีเพื่อให้กำลังใจกัน                   11:58             ฉิบหายแล้ว!             “ไหนเมล์ของเขาวะ!” หลังเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สองนาทีเท่านั้น ก็จะเป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว นั่นจึงทำให้ผมถึงกับเกิดอาการทำตัวไม่ถูกสมองมึนตึ้บทันที เพราะเกรงว่าตัวเองจะส่งงานไปให้หัวหน้าดูไม่ทันก่อนเที่ยงนี้                 ทั้ง ๆ ที่ผมรับปากเขาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะส่งให้ดูก่อนเที่ยง เพราะงั้นผมจะมาผิดคำพูดไม่ได้!                  “โอ๊ย! รีบหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ” เมื่อหาอีเมล์ของหัวหน้าเจอและกดส่งงานไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องยกมือขึ้นภาวนาต่อ หลังเน็ตของบริษัทเกิดอาการอ๊องกะทันหัน โดยหลังจากที่หน้าจอขึ้นแสดงผลว่าอีเมล์ของผมถูกส่งไปสำเร็จแล้ว ผมก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปหาคุณนภัทรที่ห้องทำงานของเขาทันที เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ทันเห็นอีเมล์ของผม                 ซึ่งทันทีที่วิ่งไปถึงหน้าห้องทำงานของเขา ผมก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หลังเห็นคุณนภัทรกำลังยืนสวมเสื้อสูทตัวนอกเตรียมจะออกไปข้างนอกแล้ว                 “ฮ—แฮ่ก คุณ คุณนภัทรครับ! ผมส่งงานเข้าไปในเมล์คุณแล้วนะครับ!” หลังเปิดประตูพรวดเข้าไปอย่างไร้มารยาท ผมก็บอกเขาทั้งเสียงหอบพยายามอย่างยิ่งที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าผมรีบมากแค่ไหน                 “งั้นเหรอ…” คุณนภัทรพูดเสียงซื่อพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แล้วพูดต่อ “คุณส่งมาช้าเกินไป งั้นเดี๋ยวผมค่อยกลับมาดูแล้วกัน ส่วนตอนนี้เราก็ออกไปข้างนอกกันได้แล้ว เพราะต้องไปกินข้าวอีก”                 หลังจากที่คุณเขาพูดจบ คุณนภัทรก็จัดเสื้อสูทของตัวเองให้เข้าที่แล้วเดินสวนผมออกจากห้องทำงานไปทันที ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้าง หลังอุตส่าห์รีบทำงานแทบตายเพื่อที่จะได้รับคำว่างั้นเหรอจากเขานี่นะ!                   หลังจัดการความรู้สึกที่อยากกินหัวคุณนภัทรได้แล้ว ผมก็รีบหอบสัมภาระของตัวเองวิ่งตามอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถของบริษัททันที โดยการออกไปเจอกับลูกค้าครั้งนี้เราก็จะใช้เป็นรถส่วนตัวของคุณนภัทร                 “คันนี้เหรอครับ?” เมื่อเราเดินมาหยุดที่หน้ารถคันหนึ่งแล้ว ผมก็ถามขึ้นอย่างงง ๆ                 “ก็ใช่น่ะสิ คุณคิดว่ารถคันไหนเหรอ?” อีกฝ่ายถามกลับ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ                 เขาจะไม่ให้ผมถามได้ยังไงกัน ในเมื่อรถของอีกฝ่ายเป็นรถหรูสัญชาติเยอรมัน ไม่ใช่รถสัญชาติญี่ปุ่นอย่างที่ผมคุ้นเคย  ซึ่งจากการคาดเดาหลังจากที่ได้เห็นรถของคุณนภัทรแล้ว ผมก็คิดว่าทางบ้านของอีกฝ่ายน่าจะมีฐานะอยู่พอสมควร เพราะลำพังแค่เงินเดือนพนักงานต่อให้อยู่ในระดับหัวหน้าก็เถอะ คงไม่มีทางผ่อนรถราคาเป็นสิบ ๆ ล้านแบบนี้ได้                 “อย่าลืมคาดเข็มขัด” คุณนภัทรเอ่ยเตือน เมื่ออีกฝ่ายติดเครื่องยนต์แล้ว                 “อ้อ! ครับ ๆ” หลังรับปากเสร็จ ผมก็รีบหันไปดึงสายรัดนิรภัยทันที                 ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ หลังรถของคุณนภัทรเคลื่อนออกจากบริษัทแล้ว ซึ่งตลอดการเดินทางตั้งแต่ตอนออกจากบริษัทจนกระทั่งถึงโรงแรมแห่งหนึ่งย่านสาทร ระหว่างเราก็ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงวิทยุและไม่มีบทสนทนาอะไรทั้งนั้น             “มองอะไร?” เสียงคุณนภัทรดังขึ้นทันที เมื่อผมแอบมองอีกฝ่ายขณะที่กำลังขับรถอยู่ ซึ่งจากการถามของคุณนภัทรก็ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง                 ทำไมคนเราถึงสามารถดุได้ตลอดเวลาเลยนะ ผมนึกสงสัยในใจ                 “เปล่าครับ” แล้วเพราะถูกอีกฝ่ายจับได้แล้วว่ากำลังแอบมองอยู่ ผมจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหันหนีไปทางอื่นเป็นพัลวัน                 เพราะเรานัดเจอกับลูกค้าที่โรงแรม คุณนภัทรจึงตัดสินใจกินข้าวที่นั่นเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถวกไปวนมาบ่อย ๆ แต่ทว่านั่นกลับสร้างปัญหาให้กับผม                 เนื่องจากโดยปกติแล้วในช่วงพักเที่ยงผมมักจะกินอะไรง่าย ๆ อย่างเช่นก๋วยเตี๋ยว อาหารอีสาน หรือไม่ก็อาหารตามสั่ง ผมจะไม่ค่อยกินอาหารแพง ๆ เท่าไรนัก ยกเว้นแต่ตอนออกไปสังสรรค์หรือนัดกินข้าวกับเพื่อนในช่วงเย็นเท่านั้น เพราะไม่อยากเจอสภาวะเงินขาดมือในช่วงปลายเดือน                 “เป็นอะไรหรือเปล่า?” หลังกำลังเดินตามคุณนภัทรเข้าโรงแรมไปอย่างเงียบ ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าผมกำลังเดินทั้งคิ้วขมวดอยู่                 “ป—เปล่าครับ”                 “หรือว่า… คุณไม่โอเคกับอาหารโรงแรม? ถ้าอย่างนั้นเราออกไปกินข้าวแถวนี้ก็ได้นะ” คุณนภัทรเสนอ                 “ไม่เป็นไรครับ ไหน ๆ เราก็เข้ามาที่นี่แล้ว เพราะงั้นก็กินที่นี่แหละครับ” ผมตอบกลับ เพราะไม่อยากจะสร้างปัญหาให้กับอีกฝ่าย                 เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้น เราสองคนก็เข้ามานั่งที่ห้องอาหารของโรงแรมทันที แล้วเพราะตอนนี้เป็นช่วงมื้อเที่ยงทางโรงแรมจึงไม่มีนโยบายให้จองโต๊ะก่อนเข้ามา ซึ่งหลังจากที่เราได้โต๊ะกันแล้ว ผมก็เลือกสั่งอาหารในราคาที่พอรับได้ทันที                 “เดี๋ยวกลับไปถึงผมจะตรวจงานให้นะ แล้วตอนช่วงบ่ายคุณก็ไม่ต้องส่งทุกชิ้นก็ได้ เอาเท่าที่คุณไหว เพราะเราอาจถึงบริษัทช้า” ระหว่างที่กำลังนั่งรออาหารอยู่นั้น คุณนภัทรก็ชวนผมคุยไปด้วย ซึ่งก็มีแต่เรื่องงานทั้งนั้น                 “ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเดียว ไม่คิดจะชวนคุยอะไรต่อ                 “แล้วงานที่ได้รับมอบหมายไป มีปัญหาอะไรไหม?” อีกฝ่ายชวนคุยต่อ                 “ไม่ครับ”                 “อืม งั้นก็ดีแล้วล่ะ”                 ระหว่างการรออาหารเราสองคนไม่ได้คุยอะไรไปมากกว่าเรื่องงาน ซึ่งทันทีที่อาหารมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ก็ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นเลย ต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองอย่างเงียบ ๆ โดยเป็นผมที่กินเสร็จก่อน                 “เอ่อ… หัวหน้าครับ เดี๋ยวผมขอไปทำธุระส่วนตัวสักแป๊บนะครับ” เพราะคุณนภัทรยังกินข้าวไม่เสร็จและหลังจากนี้เราก็ต้องไปพบกับลูกค้าทันที นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจบอกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว แล้วรีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำทันที                 โดยเมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จและเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารแล้ว ก็ดูเหมือนคุณนภัทรจะจัดการทุกอย่างเสร็จพอดี  อีกฝ่ายก็แค่กำลังนั่งรอผมเท่านั้น                 “เสร็จแล้วเหรอ งั้นเราไปหาลูกค้ากันเถอะ” คุณนภัทรเอ่ยขึ้น หลังอีกฝ่ายเห็นผมเดินกลับมาที่โต๊ะแล้ว                 “แล้วเรื่องค่าอาหาร…”                 “ผมจ่ายให้แล้ว ถือว่าเป็นเบี้ยเลี้ยงของคุณแล้วกัน”                 “อ่า… งั้นก็ขอบคุณมากนะครับ” เพราะรู้ว่าคุณนภัทรเป็นคนจ่ายให้เอง ไม่ใช่เบี้ยเลี้ยงของบริษัทแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ผมเอ่ยขอบคุณเขาไปหนึ่งหน                   “เดี๋ยวก่อนเข้าบริษัท เราแวะร้านกาแฟก่อนแล้วกันนะ” คุณนภัทรพูดขึ้นอีกครั้ง หลังการคุยกับลูกค้าเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปหมาด ๆ แล้วในตอนนี้เราสองคนก็กำลังเดินไปที่รถ เพื่อเตรียมจะออกจากโรงแรมกลับไปยังบริษัทต่อ                 “ได้ครับ” ผมตอบกลับไป วูบหนึ่งในความคิด…อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าหากผมปฏิเสธกลับไป อีกฝ่ายจะว่ายังไงต่อ?                 ความสงสัยนั้นเกิดขึ้นแค่ในความคิดผมเท่านั้น เพราะในความจริงผมไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก                 “คุณอยากดื่มอะไรก็สั่งพนักงานสิ” เมื่อเราเดินเข้ามาในร้านกาแฟชื่อดังแห่งหนึ่งแล้ว คุณนภัทรก็สะกิดแขนบอกผมเสียงแผ่ว หลังอีกฝ่ายสั่งเครื่องดื่มของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว                 “อ่า งั้นของผมเอาเป็น…มอคค่าปั่นขนาดกลางหนึ่งแก้วครับ” แล้วเพราะอย่างนั้น ผมจึงสั่งเมนูประจำของตัวเองกับพนักงานไป แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่คุณนภัทรเลี้ยงผม                 หากตัดคำว่าหัวหน้าและเลิกนึกถึงเวลาที่เขาทวงงานออกไป ผมก็ตระหนักได้ว่าคุณนภัทรเป็นคนดีใจมากคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่ที่เราออกมาคุยงานข้างนอกกัน ผมก็ยังไม่ได้จ่ายเงินสักบาทเลย มีแต่คุณนภัทรจ่ายให้ทั้งนั้น แม้อีกฝ่ายจะบอกให้ผมคิดเสียว่ามันคือค่าเบี้ยเลี้ยงของพนักงานก็เถอะ แต่ในความจริงนั้นมันก็เป็นเงินส่วนตัวของคุณอยู่ดี                 แล้วเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่แย่อะไร ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าในเวลาส่วนตัวนั้น… คุณนภัทรเขามีเพื่อนบ้างไหม เพราะโดยปกติแล้วเวลาที่เราบังเอิญเจอกันในร้านอาหารแถวบริษัท ผมก็มักจะเห็นคุณนภัทรนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่เป็นประจำ                 ซึ่งเมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าหากคุณนภัทรลดความโหดกับผมลงสักนิด  บางที…ผมอาจจะยอมเป็นลูกเพื่อน(ลูกน้อง + เพื่อน)ให้เขาก็ได้นะ ซึ่งสถานะนี้ก็มีคุณสมบัติพิเศษมากมาย             ยกตัวอย่างเช่น ไปกินข้าวด้วยกันทุกเที่ยงอะไรแบบนั้น…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม