ตอนที่2 พี่เลี้ยง

1106 คำ
“โชคดีนะที่แผลไม่ใหญ่มาก ไม่งั้นคงต้องไปเย็บแน่” เสียงน้ำผึ้งแม่บ้านวัยยี่สิบแปดเอ่ยขึ้นระหว่างนั่งทำแผลที่หัวให้พี่เลี้ยงของเด็กชายสรัล “ษาไม่ระวังเองแหละ” ษา หรือ พรรษา หญิงสาววัยยี่สิบหกที่เข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้วแต่ยังทำให้เด็กชายสรัลยอมรับเธอไม่ได้ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้คนอื่นในบ้านตำหนิหรือโทษเธอเลยสักนิด เพราะทุกคนต่างก็เล่าให้เธอฟังแล้วว่าพี่เลี้ยงของเด็กชายสรัลต่างก็ไม่เคยมีใครอยู่เกินสองอาทิตย์เลยสักคน และพี่เลี้ยงทุกคนที่ผ่านมาต่างก็เป็นเรียนด้านเด็กหรือคนที่เรียนด้านพยาบาลมาโดยเฉพาะด้วย ส่วนเธอเหรอ เธอเรียนบริหารมาและอดีตก็เป็นพนักงานทั่วไปในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่เพราะบริษัทมีการปรับลดพนักงานและเธอก็คือคนที่ถูกเลิกจ้างจนทำให้ว่างงานมาหลายเดือน ที่ได้มาทำงานนี้ก็เพราะเพื่อนสนิทของเธอนั้นเป็นพนักงานบริษัทของเจ้านายคนปัจจุบันนี้จึงแนะนำและจัดการเรื่องใบสมัครงานให้เธอ ไม่รู้ว่าโชคเข้าข้างหรือเป็นคราวซวยของเธอกันแน่ที่พวกเขายังหาพี่เลี้ยงใหม่ไม่ได้(หรือไม่รู้ว่าไม่มีใครกล้ามาสมัครแล้ว) เพราะฉะนั้นทำให้เธอได้รับโอกาสนี้ แม้จะเป็นแค่พี่เลี้ยงชั่วคราวพร้อมเลิกจ้างทุกเมื่อหากหาพี่เลี้ยงที่คุณสมบัติตรงตามที่เขาต้องการได้ก็ตามแต่จากสภาพของเธอตอนนี้ก็ถือว่ายอมรับการเลิกจ้างอย่างไม่เสียดายเลยสักนิด “ยังไงก็ระวังตัวหน่อย อย่าชะล่าใจหรือคลาดสายตาจากคุณหนูเด็ดขาด เพราะมีพี่เลี้ยงที่หัวแตกจนถึงต้องเย็บมาแล้ว” น้าพรแม่บ้านวัยสามสิบแปดเอ่ยเตือนขึ้นอย่างที่เคยพบเห็น เพราะใครเผลอหรือไปพูดอะไรกับเด็กน้อยมากจนทำให้เขาไม่พอใจอะไรที่อยู่ในมือเด็กชายสรัลพร้อมโยนใส่ทันที “ขอบคุณจ้ะ” พรรษายิ้มรับคำเตือนของแม่บ้านอย่างรู้สึกขอบคุณ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะเจ็บตัวจนเลือดออกเพราะเด็กน้อยสรัล ต่อไปนี้เธอจะต้องดัดนิสัยเด็กน้อยให้กลับมาเป็นเด็กทั่วไปให้ได้ และที่เธอกล้าพูดแบบนี้เธอไม่ได้มีหลักการหรือเก่งกาจอะไรหรอก แต่เพราะเธอนั้นเคยเลี้ยงเด็กมาไม่น้อย เจอเด็กดื้อ เด็กมีปัญหามาเยอะ แต่สุดท้ายเด็กทุกคนก็ไม่มีความเกเรเลยสักนิด ที่บอกว่าเธอเลี้ยงเด็กมาเยอะไม่ใช่ว่าเธอเคยเป็นพี่เลี้ยงหรอกนะ แต่เพราะเธอเลี้ยงน้องในบ้านเด็กกำพร้ามาต่างหาก บ้านที่เธอเองก็ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่แบเบาะเหมือนกัน หลังจากเธอเติบโตและรับผิดชอบช่วยเหลือแบ่งเบาแม่ครูได้ เธอก็ช่วยเลี้ยงน้องๆ มาตลอด แม้จะเติบโตต้องออกมาเดินตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง แต่เธอก็กลับไปที่นั่นประจำ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเด็กคนเดียวเธอจะเอาไม่อยู่ หลังจากทำแผลเสร็จพรรษาก็ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านอีกครั้งและตรงไปยังห้องนอนของเด็กชายสรัลที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หลับไปหรือยัง แต่พอเปิดเข้าไปก็เห็นเด็กน้อยกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงดูหน้าจอที่สว่างจ้าทั้งที่ในห้องปิดไฟไปแล้ว “ถ้าพ่อมาเห็นจะถูกดุเอารู้ไหม” พรรษาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปยังเตียงของเด็กน้อยอย่างที่ทำบ่อยๆ “.....” เด็กชายสรัลมองหน้าพรรษาก่อนเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอตรงหน้าตัวเองเหมือนเดิม “รู้ไหมว่าสิ่งที่ตัวเองทำกับพี่ษามันไม่ดี” พรรษายังคงพูดออกไปอีกครั้ง แต่ก็ชินแล้วที่เด็กน้อยตรงหน้าไม่ค่อยพูดตอบ ถ้าจะพูดก็พูดห้วนๆ สั้นๆ แต่ถ้าไม่อยากพูดก็จะเงียบโดยไม่สนใจอะไรแบบนี้ พรึ่บ! “นี่!” เด็กชายสรัลขยับตัวลุกก่อนจะตะคอกใส่พรรษาอย่างไม่พอใจที่พรรษาหยิบไอแพดของเขาไปแล้วกดล็อคหน้าจอทันที “ขอโทษพี่ษาก่อน” พรรษาพูดขึ้นอย่างไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ “.....” เด็กชายสรัลจ้องมองพรรษาอย่างไม่เป็นมิตรพร้อมกับไม่พูดอะไรออกมา “ถ้าไม่ขอโทษพี่ษาจะเอาเครื่องนี้ไปเก็บไว้เอง ขอโทษเมื่อไหร่พี่ษาจะคืน” พรรษาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมเหมือนกัน “นี่มันของฉัน!” เด็กชายสรัลเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน และคำแทนตัวเองของเขาก็คือฉันแบบนี้ตลอด “จะขอโทษไหม” พรรษาไม่ได้สนใจท่าทางของเด็กน้อยเลยสักนิด เพราะมันไม่ได้ทำให้เธอกลัวเลย แต่เป็นเธอที่เปลี่ยนน้ำเสียงก่อนจะจ้องมองเด็กชายนิ่ง “.....” เด็กชายสรัลจ้องมองพรรษาอย่างดุดันเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ “ก็ได้ งั้นต่อไปก็ไม่ต้องเล่น” พรรษาพูดพร้อมกับลุกหมุนตัวเหมือนจะเดินออกจากห้องไป “ขอโทษ!” สุดท้ายเด็กชายสรัลที่ลังเลและไม่อยากพูดแต่เพื่อไอแพดของเขาที่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาหายเบื่อจากการเล่นคนเดียวเพราะงั้นเขาจึงต้องเอ่ยขอโทษออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้ “ที่พี่ษาให้ขอโทษไม่ใช่เพราะพี่ษาโกรธ แต่เพราะสิ่งที่รัลทำมันไม่ถูก” พรรษาที่ได้ยินคำขอโทษของเด็กน้อยแม้ว่ามันจะไม่ได้เพราะและไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรก่อนจะหมุนตัวกลับไปและนั่งใกล้เด็กน้อยกว่าเดิมก่อนจะพูดขึ้น “.....” เด็กชายสรัลมองหน้าพรรษาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ แต่สายตาก็อ่อนลงจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนที่ทำให้สายตาเขาอ่อนลงก็เพราะว่าพรรษาพูดว่าไม่โกรธเขา ต่างจากคนอื่นที่เอาแต่ต่อว่าเขาอย่างโมโหเวลาเขาดื้อหรือทำผิด พ่อที่พร้อมตำหนิและลงโทษ พี่เลี้ยงที่ต่อหน้าพ่อและปู่ย่าไม่พูดอะไร แต่ลับลังทุกคนต่างก็จ้องเขาเขม็งพร้อมกับขู่เขาก่อนจะลาออกไป “เรามาทำข้อตกลงกันหน่อยดีกว่า”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม