“งั้นวันนี้แค่นี้ก่อนก็ได้ค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวดิฉันสอนน้องให้เอง” พรรษาพูดกับครูที่ถูกจ้างให้มาสอนเด็กชายสรัลถึงบ้านขึ้นอย่างเห็นใจเมื่อเด็กชายสรัลไม่ได้สนใจการสอนของครูเลยแม้แต่น้อย
“เอางั้นเหรอคะ” ครูผู้สอนเอ่ยถามออกมาอย่างลำบากใจเพราะไม่กล้าพอจะออกจากห้องก่อนหมดเวลา แม้ว่าที่ผ่านมาจะเป็นแบบนี้ตลอดแต่ก็ไม่เคยมีพี่เลี้ยงคนไหนกล้าปล่อยให้เธอออกจากห้องก่อนแบบนี้
“ค่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง” พรรษารู้ถึงความลำบากใจของครูผู้สอนจึงบอกจะรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง
“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นครูก็เก็บของก่อนจะออกจากห้องของเด็กชายสรัลไปทำให้ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงพรรษากับเด็กชายสรัลสองคน
“พี่ษาทำผิดกฎอีกแล้ว ถ้าคุณพ่อรู้พี่ษาต้องถูกไล่ออกแน่ เพราะงั้นรัลมาช่วยพี่ษาทำแบบฝึกหัดนี้ก่อนได้ไหม” พรรษาพูดขึ้นอย่างน่าสงสารกับเด็กชายสรัลอย่างที่เคย
“ง่ายนิดเดียว” เด็กชายสรัลเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะมานั่งทำแบบฝึกหัดที่ไม่เหมาะกับเด็กวัยสี่ขวบเลยสักนิด
“พูดให้พี่ษาฟังด้วย เวลามีคนถามพี่ษาจะได้บอกคนอื่นได้ว่ารัลเก่งแค่ไหน” พรรษาพูดขึ้นอย่างหลอกล่อเด็กน้อยอย่างทุกครั้ง
“หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง หนึ่งบวกสองเท่ากับสาม หนึ่งบอกสามเท่ากับสี่...” แล้วเด็กชายสรัลก็พูดไปเขียนคำตอบในแบบฝึกหัดไปอย่างรวดเร็ว
และนี่ก็คือการเรียนของเด็กวัยสี่ขวบที่ผู้เป็นพ่อช่างใจร้ายเหลือเกิน สมัยเธอเรียนอนุบาลจำได้เลยว่าหัดคัดก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกวันละตัวจนจบแล้วก็คัดเลข กว่าจะฝึกผสมคำและบวกเลขก็ขึ้นประถมแล้ว แต่เด็กทุกวันนี้เขาเรียนไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ
“พี่ษารู้ว่ารัลเก่ง เก่งกว่าพี่ษาตอนอายุเท่ารัลอีกรู้ไหม แต่จะดีกว่านี้ไหมถ้ารัลพูดกับพี่ษาเพราะๆ หน่อย” พรรษาชมเด็กชายสรัลขึ้นอย่างไม่ได้เสแสร้งก่อนจะรีบยกคำที่เธออยากให้เด็กชายสรัลปรับเปลี่ยนการพูดของตัวเอง
“.....” เด็กชายสรัลช้อนสายตาขึ้นมามองพรรษานิ่งกับคำพูดของพรรษา
“เรียกพี่ษา แทนตัวเองว่ารัลหรือผมได้ไหม” พรรษาที่เห็นดวงตาใสซื่อก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับมือบางที่ยกขึ้นวางบนหัวเล็กอย่างอ่อนโยน
“.....” เด็กชายสรัลเม้มปากแน่นหลบสายตาพรรษาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยพร้อมหัวใจดวงน้อยที่เต้นเร็วขึ้น
และอาการแบบนี้ของเขาก็เริ่มเป็นบ่อยขึ้นตั้งแต่พรรษาเข้ามาในชีวิต ความอ่อนโยนที่เด็กน้อยไม่เคยรับจากพี่เลี้ยงคนไหน ความใกล้ชิดที่ไม่เคยมีใครให้เขาแบบนี้ ความอบอุ่นที่เขาสัมผัสได้จากรอยยิ้มและฝ่ามือของพรรษาทุกครั้งที่สัมผัสเขา
การกระทำของพรรษามันทำให้เด็กชายสรัลนึกถึงการกระทำของเพื่อนและแม่ของพวกเขาเวลามารับที่โรงเรียนตอนสมัยเรียนเนอสเซอรี่(ที่เรียนได้ไม่กี่วัน) ที่ต่างจากเขาที่เป็นแม่บ้านและคนขับรถไปรับ ดีที่สุดก็คือย่า
“ก็ได้ๆ อยากพูดตอนไหนก็ค่อยพูดแล้วกัน พี่ษารอได้” พรรษาที่เห็นเด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรเลยคิดว่าเธอไปกดดันเด็กน้อยเข้าให้จึงเลือกจะไม่ฝืนใจอะไร
เพราะสังคมไทยมีคำแทนตัวมากมาย เด็กส่วนใหญ่มักจะแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นหรือหนูและผม พอมาได้ยินเด็กแทนตัวเองกับผู้ใหญ่ว่าฉันมันเลยดูแปลกไป แต่เอาจริงๆ คำว่าฉันมันไม่ได้ไม่สุภาพเลยสักนิด เพราะงั้นก็ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน
“ผมพูดก็ได้” แต่สิ่งที่เกินคาดก็คือเด็กชายสรัลกลับยอมพูดออกมาอย่างที่พรรษาไม่ได้คิดไว้ก่อนเลย
“น่ารักจัง” เด็กน้อยวัยสี่ขวบแต่ใบหน้าเริ่มเผยความหล่อออกมาพอพูดจาน่าเอ็นดูแบบนี้พรรษาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะบีบแก้มนุ่มทั้งสองข้างเบาๆ แล้วส่ายไปมาอย่างเอ็นดู
“.....” การกระทำของพรรษาไม่ได้ทำให้เด็กน้อยปัดมือออกอย่างที่ควรเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวเขา หนำซ้ำมันยังทำให้เด็กชายสรัลหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเพราะความตื่นเต้นที่เขาไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
ด้านลูกชายที่พึ่งได้รับความตื่นเต้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้ ด้านผู้เป็นพ่อก็ได้รับความตื่นเต้นไม่ต่างกัน เพียงแต่เรื่องราวที่ทำให้ตื่นเต้นต่างกันแค่นั้น
“มิกาซื้อขนมร้านโปรดของวัชญ์มาฝาก” มิกา หรือ ธามิกา หญิงสาวร่างระหงส์ใบหน้าสวยงามพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มหวานดั่งวันวานไม่เปลี่ยน
“ยังจำได้อีกนะ” สรวัชญ์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับพูดขึ้น แต่รอยยิ้มที่บางของเขาภายในใจกลับเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่ได้ใกล้ชิดธามิกาอีกครั้ง
ใช่ ธามิกาก็คือเพื่อนสนิทสมัยมหา’ลัยของสรวัชญ์นั่นเอง และก็เป็นเพื่อนสนิทที่เขาแอบรักมาตลอด เพียงแต่ไม่เคยกล้าสารภาพความรู้สึกออกไปเพราะกลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป สุดท้ายความกลัวของเขาก็ทำให้เขาเสียธามิกาไปเมื่อเธอบอกว่ามีแฟนตอนขึ้นปีสาม และที่เลวร้ายกว่านั้นคือทั้งสองคบหากันมานานจนกระทั่งได้แต่งงานกัน
แน่นอนว่าการรับรู้ถึงการมีแฟนในครั้งแรกมันทำให้สรวัชญ์รับไม่ได้ไม่น้อย แต่ก็มีความหวังว่าสักวันก็คงเลิกกัน เพียงแต่สุดท้ายนอกจากทั้งสองไม่ได้เลิกกันแล้วยังได้แต่งงานกันอีก เพราะแบบนั้นความหวังของสรวัชญ์จึงพังทลายลงพร้อมกับเมามายและพลาดพลั้งทำผู้หญิงท้องแบบนี้นั่นเอง
แต่แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับธามิกาจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไม่รู้ทำไมใจของเขากลับไม่สามารถลืมเธอได้เลย ยิ่งต้องมาเห็นเธอบ่อยๆ ที่บริษัทเดียวกันแบบนี้เพราะสามีของเธอก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของที่นี่ ได้รับรอยยิ้มและความสนิทสนมของเธอเหมือนวันวานไม่เปลี่ยน มันยิ่งทำให้เขาไม่สามารถลบความรู้สึกของตัวเองออกไปจากใจได้เลย
“มิกาไม่เคยลืมอะไรที่เกี่ยวกับวัชญ์เลย” คำพูดที่เหมือนจะเรียบง่ายแต่กลับลึกซึ้งเข้าไปในหัวใจมันยิ่งทำให้ใจของสรวัชญ์ยากจะคลายความรักที่มีต่อธามิกาออกไปได้
“ขอบคุณนะ” สรวัชญ์เอ่ยขึ้นทั้งดีใจและเศร้าใจไปพร้อมๆ กัน
ดีใจที่เธอยังจดจำเขาได้ทุกอย่างไม่เปลี่ยน แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้ที่สถานะของเขาในใจเธอเป็นได้แค่เพื่อน ไม่ใช่คนรักอย่างที่เขาหวัง
“งั้นเดี๋ยวมิกาพาน้องเอมไปหาพี่รัสก่อนนะ” เพราะการมาครั้งนี้ลูกของเธออยากมาหาผู้เป็นพ่อนั่นเลยทำให้เธอได้มาบริษัทและแวะมาหาสรวัชญ์แบบนี้นั่นเอง
“อืม” สรวัชญ์ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะมองธามิกาจูงมือลูกวัยสามขวบออกจากห้องทำงานของเขาไป
ใช่ ขนาดเธอมีลูกแล้วเขายังไม่สามารถเลิกรักเธอได้ จิตใจด้านมืดของเขายังหวังให้เธอเลิกกับสามีของเธออยู่ทุกครั้งที่เจอหน้าเธอ แต่ไม่ว่าจะรอมานานแค่ไหนจนถึงตอนนี้ทั้งสองก็ยังไม่เลิกรากันเลยสักนิด
จะบอกว่าเขาโง่อย่างนั้นเหรอที่รออะไรอย่างไร้จุดหมายและไร้ความหวัง เขายอมรับว่าเขาโง่ที่ไม่เคยตัดใจจากเธอเลยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่เขากล้ารอมาถึงตอนนี้ก็เพราะเขามีหวังยังไงล่ะ
แล้วหวังอะไรเหรอ ก็หวังที่...