Chapter 1 โรงเตี๊ยมหวิวไหว

1255 คำ
Chapter 1 โรงเตี๊ยมหวิวไหว เหมยฮวาดอกสุดท้ายปลิดปลิวจากกิ่งก้าน ล่องลอยพัดพลิ้วไปกับสายลมหนาวที่ค่อยๆ จางหายแทนที่ด้วยสายลมอบอุ่นแห่งกาลใบไม้ผลิที่กำลังมาเยือน เหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่ออกจากการจำศีล ต้นไม้ที่เหลือเพียงกิ่งก้านราวกับยืนต้นตายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการผลิใบอ่อนกระจิริดน่าชม ในดินแดนแถบนี้ประกอบไปด้วยห้าดินแดนมนุษย์ ประกอบไปด้วย แคว้นหาน แคว้นหู่เฉียง แคว้นไห่เหอ แคว้นฮุ่ยผิง แคว้นเซี่ยโจว และอีกหนึ่งดินแดนปีศาจซึ่งตั้งอยู่ที่เทือกเขาฉิงลี่ หากจะกล่าวถึงเทือกเขาคุนเหม่ยนั้น มีเรื่องเล่าขานมากมาย บ้างก็ว่าเป็นเทือกเขาลี้ลับมีสัตว์กึ่งเทพอาศัยอยู่ บ้างก็ว่าเต็มไปด้วยเหล่าภูตผีปีศาจดุร้าย ใครบังอาจย่างกรายเข้าไปอย่าหวังว่าจะมีลมหายใจกลับออกมา ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง นอกจากผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ‘จำไว้นะเซียงเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าห้ามออกจากเทือกเขาคุนเหม่ยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นภัยจะมาถึงตัวเจ้า’ ‘ทำไมล่ะเจ้าคะท่านยาย ความฝันของข้าคือการได้ออกไปท่องเที่ยวในดินแดนมนุษย์ เล่าลือกันว่ามนุษย์มีการประดิษฐ์คิดค้น ข้าวของเครื่องใช้ อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมต่างๆ น่าสนใจยิ่งนัก’ ‘เด็กโง่ มนุษย์มีจิตใจหยาบช้า เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตน เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่เพื่อความสุขสบายของตนเอง ยิ่งมนุษย์ผู้ชายเจ้ายิ่งต้องอยู่ให้ไกลห่าง อย่าได้ข้องแวะหรือสนทนาด้วยแม้แต่จิบชาเดียว’ ถ้อยคำสอนสั่งยังดังก้องอยู่ในห้วงความคิด ทว่าเฟยเซียงไม่อาจทำตามคำสั่งสอนของผู้เป็นยาย เพราะเวลานี้นางได้ขัดคำสั่งท่านเสียแล้ว! กระเรียนสาวหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเทือกเขาคุนเหม่ย สถานที่ที่นางถือกำเนิดและเติบใหญ่ กว่าร้อยปีนางถือศีลกินเจ เร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา ส่งผลให้จาก ‘นกกระเรียนฟ้า’ สัตว์กึ่งเทพสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์เดชเล็กๆ น้อยๆ พอเอาตัวรอดจากยุทธภพอันกว้างใหญ่ “ท่านยาย ข้าขอโทษที่บังอาจขัดคำสั่งท่าน แต่ข้าติดหนี้ชีวิตคุณชายผู้หนึ่งไว้ ตั้งใจเป็นแม่นมั่นว่าจะเดินทางไปตอบแทนบุญคุณให้จงได้” บุญคุณเพียงหยดน้ำ พึงตอบแทนเท่าน้ำพุ หนี้บุญคุณที่ชายผู้นั้นเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้จากกรงเล็บหมาป่าดุร้าย นับจากวันนั้นจึงถือว่าชายผู้นั้นเป็นเจ้าชีวิตของนางโดยแท้ ต่อให้นางต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อตอบแทนพระคุณ นางก็ยินดีที่จะทำ ‘ลาก่อนท่านยาย ลาก่อนพี่น้องชาวกระเรียนฟ้าทุกท่าน’ นางก้มลงคำนับจนหน้าผากจดพื้น ทอดมองขุนเขาเขียวขจีอุดมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่บ้างมีอายุยืนยาวนับพันนับหมื่นปีด้วยความอาลัย ก่อนจะคืนร่างเป็นนกกระเรียนฟ้า สยายปีกสองข้างจนเกิดแรงสะบัดใบไม้ไหวเอนลู่ลม แล้วจึงทะยานขึ้นไปบนท้องนภา มุ่งหน้าสู่แคว้นไห่เหอ ทุกสิ่งล้วนแปลกตา ดินแดนของเหล่ามนุษย์มีอะไรแปลกใหม่อีกมากมายให้กระเรียนสาวแสนซนได้เรียนรู้ ดวงตาเรียวยาวทอดมองไปยังพื้นเบื้องล่างขณะที่ปีกกว้างสะบัดโบยบินอย่างอิสระ นางพิศมองอาคารบ้านเรือนรูปทรงหลากหลาย บ้างใหญ่โตอย่างที่เรียกกันว่า ‘พระราชวัง’ กอปรด้วยอาณาเขตทอดยาวสุดสายตา บ้างเล็กจ้อยมุงด้วยหญ้าเรียกว่า ‘กระท่อม’ สุดแล้วแต่ฐานะของผู้อยู่อาศัย ผู้คนขวักไขว่มากมาย ต่างดำเนินชีวิตดิ้นรนหากินแทบไม่หยุดพัก ม้า ลา กลายเป็นสัตว์พาหนะของมนุษย์ ใช้ขี่สัญจร และบรรทุกสินค้า ‘ข้าชักหลงรักดินแดนของมนุษย์แล้วสิ’ นกกระเรียนฟ้าโบยบินมาเกาะกิ่งก้านต้นอู่ถง[1]ในยามโฉ่ว[2]ซึ่งเป็นเวลาดึกสงัด นางเหนื่อยอ่อนจากการบินระยะทางไกล หยุดพักมาเป็นระยะจนในที่สุด นางก็มาถึงที่หมาย ‘แคว้นไห่เหอ’ ‘ฮ่องเต้ต้าเฉียง’ ปกครองแคว้นไห่เหออย่างทรงธรรม ท่านยายเคยเล่าว่าฮ่องเต้ต้าเฉียงคือพระโอรสของเง็กเซียนฮ่องเต้ ทรงโปรดประทานลงมาให้ปกครองมนุษย์ นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้พสกนิกรทั่วหล้า การเป็นฮ่องเต้ไม่ง่าย นอกจากปกครองดูแลบ้านเมืองแล้ว ยังต้องใช้คนให้เป็น หากมีข้าราชบริพารตงฉินบ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่หากข้าราชบริพารเป็นพวกกังฉินคดโกง นอกจากบ้านเมืองจะวิบัติฉิบหายแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่อาจรักษาบัลลังก์เอาไว้ได้ ท่านยายเล่าว่าบางคราถึงกับโดนฆ่าล้มล้างราชวงศ์เลยทีเดียว ‘นี่อย่างไรเล่าเซียงเอ๋อร์ ความน่ากลัวของมนุษย์’ ความคิดมากมายที่วิ่งแล่นอยู่ในหัวค่อยๆ จางหาย แทนที่ด้วยเปลือกตายาวรีหรี่ลงต่ำก่อนที่เฟยเซียงจะหลับใหลไปในที่สุด “อ๊ะ...อ๊ะ...อาห์ เสียวจังเลยค่ะใต้เท้า” “โอ้ว...แม่นางคนสวย เจ้าช่างคับแน่นดีเหลือเกิน” “ซี๊ดใต้เท้าขา ใต้เท้า...อาห์” เสียงครวญครางในความมืดทำให้กระเรียนสาวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อหันไปตามเสียงจึงพบว่าต้นอู่ถงที่นางอาศัยหลับนอนยืนต้นอยู่ข้างโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไม่ไกลกันนั้นมีห้องพักชั้นสองยังคงจุดตะเกียงสลัว หน้าต่างบานหนึ่งเปิดแง้มเอาไว้ ไวกว่าความคิดเฟยเซียงค่อยๆ ขยับกายไปยังกิ่งก้านของต้นอู่ถงที่ใกล้บานหน้าต่างมากที่สุด ก่อนจะสอดส่ายสายตามองเข้าไปภายใน “นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดมนุษย์ชายหญิงถึงขึ้นขี่กันเองเช่นนั้น” เฟยเซียงตกใจจนเผลอกระพือปีก เอนเอียงร่างไปมาจนเกือบพลัดตกจากกิ่งอู่ถง หัวใจเจ้ากรรมเต้นระรัวแทบจับจังหวะไม่ได้ ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง กำลังควบขี่กันราวกับขี่ม้าพยศ ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้มเรือนร่าง เหงื่อไคลเกาะพราว ผมเพ้ารุงรังไม่เป็นทรง ตับ! ตับ! ตับ! เสียงควบขี่กระแทกกระทั้นดังกึกก้องไปในความมืด เฟยเซียงเผลอใช้กรงเล็บจิกลงบนกิ่งก้านอู่ถงแน่น ดวงตายังคงจับจ้องมองเข้าไปในห้องอย่างไม่วางตา หญิงนางนั้นคลานเข่าสี่ขาไม่ต่างจากสุนัข ยกก้นแอ่นกระดกให้ชายสูงวัยขึ้นคร่อมขี่ทับ “อาห์...ซี๊ด” นางผู้ถูกขี่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก บิดเบี้ยวใบหน้าเหยเก ทว่าริมฝีปากกลับห่อเข้าหากันแล้วส่งเสียงครวญครางฟังไม่เป็นภาษา ขณะที่ชายสูงวัยมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากอายุ แต่กลับกัดฟันฮึดเด้งกระเด้าเอวสอบควบขี่หญิงสาวผู้นั้นอย่างแรงจนร่างของนางสั่นคลอนคล้ายจะล้มลงแทบทุกชั่วขณะ “อาห์ใต้เท้า แรงอีกเจ้าค่ะ แรงอีก ได้โปรด...” หญิงสาวแอ่นสะโพกร่อนไปมา ขณะที่ชายสูงวัยใช้อวัยวะยาวใหญ่เสียบแทงเข้าไปดัง สวบ! [1] ต้นอู่ถง (chinese parasol tree) เป็นไม้ยืนต้นเนื้อเหนียว ลักษณะใบรูปฝ่ามือ ดอกมีช่อสีเหลือง ตามตำนานจีนเชื่อว่าพญาหงส์จะเกาะที่ต้นอู่ถงเท่านั้น จึงถือว่าต้นอู่ถงเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ [2] ยาม ทิ่ว/โฉ่ว เท่ากับ เวลา 01.00 นาฬิกา จนถึง 02.59 นาฬิกา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม