โรงพยาบาล
ร่างบางเดินออกจากห้องตรวจ สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาแฝงความเย็นชา ใบหน้าสวยภายใต้หน้ากากอนามัยสีดำเบือนมองป้ายหน้าประตูเล็กน้อย
‘แผนกโรคระบบทางเดินหายใจ’
Rrr…
“อืม ตรวจเสร็จแล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉยตอบรับปลายสาย ร่างบางเดินล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ชออกมาตรงลานจอดรถของโรงพยาบาล เสียงรองเท้าส้นสูงดังก้องทั่วบริเวณกลบบรรยากาศเงียบสงัด เพราะชั้นนี้เป็นโซนจอดรถวีไอพีจึงไม่มีรถพลุกพล่าน
[หมอว่าไงบ้าง?] เฮียนับกาลเป็นคนจู้จี้ให้เธอมาตรวจสุขภาพ แถมยังโทรเช็คแทบจะทุกสิบนาทีราวกับกลัวว่าเธอจะเบี้ยวนัดงั้นแหละ
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร เฮียอ่ะห่วงไม่เข้าเรื่อง”
[อย่าชะล่าใจไปนะฝัน แกไม่แสดงอาการก็ใช่ว่าจะหายขาดสักหน่อย แล้วนี่ได้ยามาด้วยไหม?]
“อือ ได้มาแล้ว ที่มีอยู่ใกล้หมดพอดี” เธอตอบรับเสียงเนือย ๆ พลางหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋า ขณะก้าวเท้าข้ามฝั่งมาที่รถกลับต้องชะงักเท้าด้วยความตกใจเพราะเสียงบีบแตรดังขึ้นกะทันหัน
ปรี้นนนน!!
เฮือก!
เคร้ง!
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกปล่อยกุญแจตกพื้นพลางยกมือขึ้นปิดหู เสียงบีบแตรและเสียงเบรกดังก้องไปทั่วลานจอดรถ คนขับรถเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาเปิดประตูลงจากรถได้ก็โวยวายใส่เธอทันที
“เดินยังไงของคุณ อยากโดนรถชนตายเหรอ!”
[เกิดอะไรขึ้นฝัน?! ฮัลโหล? ฝัน?] เสียงร้อนรนตะโกนถามจากปลายสาย นับฝันลืมตาขึ้นช้า ๆ หัวใจเต้นระรัว เนื้อตัวสั่นเทาน้อย ๆ เหงื่อซึมฝ่ามือทั้งสองข้าง เธอหอบหายใจเบา ๆ พยายามตั้งสติ
“บ้าเอ๊ย คนยิ่งรีบ ๆ อยู่ เสียเวลาจริง ๆ วุ้ย!” ชายคนขับรถบ่นอย่างหัวเสียหมุนตัวไปเปิดประตู ทว่ากลับถูกมือหนาดันประตูปิดดังปังพร้อมกับร่างสูงของผู้ชายอีกคนยืนขวางทางอยู่ “ทะ ทำบ้าอะไร?!”
“ขอโทษเธอซะ” เสียงทุ้มต่ำเหยียบเย็นดังลอดออกมาจากริมฝีปากภายใต้ผ้าปิดปากสีดำ ชายคนขับรถอ้าปากจะเถียงแต่พอสบกับดวงตาคมกริบแสนเย็นชา เสียงที่ควรมีกลับขาดหายไป มือหนาของชายหนุ่มละจากประตูรถชี้ปลายนิ้วไปทางป้ายลูกศรด้านหลัง และยังมีกล้องวงจรปิดอยู่ด้านข้างกันด้วย พอคนขับรถเห็นดังนั้นก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก เหงื่อไคลตกทันที “จะไม่ทำ?”
“ทะ ทำครับ ๆ” ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางหัวเสียเมื่อครู่หันกลับมาหานับฝัน ก้มหัวขอโทษขอโพยเธอยกใหญ่ “ขอโทษนะครับ ผมขอโทษ ผมผิดเอง”
นับฝันที่เพิ่งตั้งสติได้เหลือบตามองป้ายจึงเห็นว่ารถคันนี้ขับย้อนศรมา เพราะแบบนี้เธอถึงไม่ทันมองรถตอนข้ามฝั่งเมื่อครู่
หลังจากขอโทษเสร็จ ชายคนนั้นรีบเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่รอให้ใครพูดอะไร นับฝันมองตามหลังรถด้วยสายตาเย็นชา มือที่ยังถือโทรศัพท์กำแน่น
[ฮัลโหลยัยฝัน? เฮ้ย! เกิดไรขึ้นวะเนี่ย!]
“อืม ไม่มีไรเฮีย แค่นี้ก่อนนะ ฝันขับรถก่อน” เธอกดตัดสาย ก้มหยิบกุญแจรถ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าผู้ชายที่เข้ามาช่วยเมื่อครู่หมุนตัวเดินไปแล้ว นับฝันมองแผ่นหลังกว้างอย่างลังเล ก่อนก้าวเท้าเดินตาม “เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ร่างสูงชะงักเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมา เขาสวมเสื้อยืดสีดำและสวมหมวกแก๊ปกับผ้าปิดปาก ทั้งตัวเขาเป็นสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ยกเว้นเส้นผมยาวประบ่าที่เป็นสีเทาควันบุหรี่ เธอจ้องมองรูปลักษณ์ของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
กลิ่นอายบางอย่างจากตัวเขาทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยจนละสายตาไม่ได้…
“ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะ” นับฝันสลัดความรู้สึกแปลก ๆ ทิ้งและเอ่ยคำขอบคุณ ทว่าพอเงยหน้ามองเขาอีกครั้งกลับต้องชะงักงัน เพราะคนที่เอาแต่ยืนหันหลังเมื่อครู่กลับหันหน้ามาจ้องตากับเธอแล้ว
ดวงตาทั้งสองสบประสานกันนิ่งงัน แววตาคมแฝงแววตกตะลึงจาง ๆ ก่อนมันจะหายไปเหลือไว้เพียงความเย็นชา ขณะแววตาหวานกลับทอประกายสั่นไหวนิ่งค้างไปแล้ว
ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน เวลาทุกวินาทีหยุดเดิน แม้ทั้งคู่จะสวมผ้าปิดปาก แต่เพียงแค่สบตากัน ต่างก็จำกันได้ในทันที
…….
ในที่สุด… ก็หนีโชคชะตาไม่พ้นจริง ๆ สินะ
ปรี้น!
เสียงบีบแตรสั้น ๆ ดังจากด้านหลังนับฝัน ราวกับความเคลื่อนไหวรอบตัวกลับมาเป็นปกติ เธอดึงสายตากลับและหมุนตัวเดินหนีออกมาจากตรงนั้นทันที ลืมไปหมดแล้วว่ารถตนเองจอดอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ในหัวคิดเพียงแค่ว่าอยากจะหนีออกมาให้ไกล ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังตามหลังมาไม่ห่าง นับฝันสูดลมหายใจเข้าลึก รีบสาวเท้าเดินเร็วกว่าเดิม กระทั่งเลี้ยวเข้ามุมเสา ร่างเล็กชะงักกึกเพราะถูกร่างสูงดักหน้าเอาไว้ เธอเงยหน้ามอง สองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ พอเห็นว่าเขาคือใครก็หมุนตัวจะเดินหนีอีกทางแต่ถูกคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
“ปล่อยนะ!” นับฝันสะบัดแขนราวกับสัมผัสกรุ่นร้อนจากฝ่ามือหนาเป็นเปลวไฟร้อนลวกก็ไม่ปาน ทว่ายิ่งเธอสะบัดหนีเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกบีบแขนแน่นกว่าเดิม “จะทำอะไร! นี่มันคุกคามกันอยู่นะ!”
“…คุกคามมันใช้กับคนไม่รู้จัก” ยิ่งได้ยินน้ำเสียงเขา ก็ยิ่งตอกย้ำตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน
เสียงนี้… แววตานี้… เธอไม่มีวันลืม…
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว เธอยกมืออีกข้างแกะมือหนาออก แต่มันไร้ผลเพราะเขาจับแน่นเกินไป แน่นราวกับว่าชาตินี้จะไม่มีวันปล่อยมือเธออีก
“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ ! ฉันไม่รู้จักคุณ! ปล่อยนะ!” นับฝันปฏิเสธเสียงดัง ก่อนจะรู้สึกโลกหมุนกะทันหัน รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังบางแนบชิดกับเสาแล้ว ร่างกายส่วนหน้าของเธอถูกประชิดโดยร่างสูง ใบหน้าสวยเงยขึ้น แววตาหวานหวาดหวั่นจ้องมองคนตรงหน้า
ปลายนิ้วแกร่งเกี่ยวผ้าปิดปากของตนลงมาคาดใต้คางเผยใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชา ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาในดวงตาคู่สวย ริมฝีปากหนาบิดยิ้มจาง ๆ มุมปาก ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
“ที่หนี… ก็เพราะจำฉันได้ไม่ใช่หรือไง…”
“…”
“…นับฝัน”