“แล้วคุณน้าจะทนให้เขาทำร้ายอยู่อย่างนี้เหรอคะ เขาเกือบจะทำร้ายน้องนะ คุณน้าไม่สงสารน้องเหรอคะ…” ฉันพูดไม่ทันจบก็ถูกมือหนาคว้าท่อนแขนเอาไว้ ดวงตาคมเข้มภายใต้แมสปิดปากสบตากับฉันครู่หนึ่งเป็นเชิงห้ามปราม
ฉันรู้ว่าฉันพูดมากเกินไป ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของคุณน้า แต่มันอดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ ถ้าต้องปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่กับผู้ชายน่ากลัวคนนั้น
หากทว่า…
“เสือกดีนักใช่ไหม มึงตาย!” จู่ ๆ เสียงคำรามจากด้านหลังดังขึ้น ฉันหันมองชายร่างใหญ่ที่ผุดลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยความตกใจ ในมือเขาถือมีดพกปลายแหลมก่อนจะพุ่งเข้ามาหาพวกเราด้วยความรวดเร็ว
จังหวะนั้นในหัวฉันคิดอะไรไม่ออกนอกจากผลักคุณน้าและลูกให้หลบไปอีกทาง ขณะตัวเองยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างทำอะไรไม่ถูก ฉันหลับตาลงในวินาทีที่มีดปลายแหลมนั่นพุ่งเข้ามา
พรึ่บ!
ฉึก!
ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นโอบรอบตัวแนบแน่น ร่างของฉันถูกโอบกอดก่อนจะตามมาด้วยเสียงลมหายใจกระชั้นชิดของใครบางคนข้างหู พอลืมตาขึ้นมองจึงพบว่าตัวเองซบอยู่ในอ้อมกอดของชายสวมฮู้ดคนนั้นแล้ว ฉันรีบหันมองไปทางชายร่างใหญ่ที่จะเข้ามาทำร้ายกันเมื่อครู่ ปลายมีดของเขามีของเหลวสีแดงสดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
แกร็ง!
มีดพกเล่มนั้นตกลงพื้นก่อนชายผู้นั้นจะวิ่งหนีออกไป ฉันผละออกจากอ้อมกอดของร่างสูงพลางจับเนื้อจับตัวเพื่อหาร่องรอยบาดแผลบนร่างกายตัวเองทันที ก่อนจะพบว่าตัวเองไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนจึงหันมองผู้ชายข้างกายแทนและพบว่าตรงช่วงเอวของเขามีรอยเลือดซึมออกมา
“คุณ… เลือดคุณ” ฉันเอื้อมมือจะแตะชายเสื้อเขา แต่คนตัวสูงถอยหลังหนีเล็กน้อย จึงชะงักมือค้างไว้แค่นั้น
“ไม่เป็นไร แค่เฉียด ๆ” เขาตอบโดยไม่คิดจะใส่ใจบาดแผลตัวเองเลยสักนิด ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ สิ่งที่คิดมันก็ยิ่งชัดเจนในความรู้สึกของฉัน
“ฮืออ… ทำไมเฮียทำอย่างนี้ แล้วฉันกับลูกจะทำยังไง ฮืออ ลูกแม่” คุณน้าทิ้งตัวนั่งลงกอดลูกน้อยบนพื้นอย่างสิ้นหวัง ฉันมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมไม่แจ้งตำรวจหรอก” ชายสวมฮู้ดคนนั้นหันไปบอกคุณน้า เขาล้วงกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดแล้วหยิบธนบัตรจำนวนปึกหนึ่งส่งให้คุณน้า “รับเงินนี่แล้วไปจากที่นี่เถอะครับ กลับเมืองไทยแล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกนะ ไม่มีที่ไหนอยู่แล้วสบายใจไปกว่าแผ่นดินเกิดของเราหรอกนะ”
คุณน้าทำท่าลังเลใจอย่างเห็นได้ชัด ฉันจึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ ทั้งสามคนเพื่อช่วยพูดอีกแรง
“รับไปเถอะค่ะคุณน้า อย่าอยู่ที่นี่ต่อไปเลยนะคะ มันอันตรายทั้งกับคุณน้าและก็ตัวน้องนะ กลับบ้านเราเถอะค่ะ อย่างน้อย ๆ คุณน้ากับลูกก็ไม่ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใครอีก ไม่ต้องเสี่ยงโดนจับ น้องจะได้เรียนหนังสือด้วยนะคะ”
คุณน้าสบตากับฉันด้วยดวงตาฉ่ำน้ำตาก่อนจะมองลูกสาวสุดรักแล้วสะอื้นไห้ออกมา “ฮึก… ขอบคุณ… ขอบคุณมากนะคะ ฉันกับลูกขอบคุณคุณสองคนมากจริง ๆ ฉันจะจดจำบุญคุณของพวกคุณไปตลอดชีวิต”
ฉันรีบพนมมือรับไหว้คุณน้าที่พนมมือไหว้ฉันสลับกับเขาคนนั้น คุณน้ารับเงินแล้วค่อยประคองลูกสาวตัวน้อยลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าตึกเก่า ๆ ด้านหลังไป ฉันยืนมองสักพักก็หันกลับมาสนใจผู้ชายร่างสูงตรงหน้าต่อ เขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันอีก ไม่ได้มองหน้าฉันเลยด้วย
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
“ไม่ต้อง”
ฉันชะงักเท้าเล็กน้อยแล้วหันมองเขา “ทำไมคะ คุณเลือดออกขนาดนี้ ไปทำแผลเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันพาไป”
“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก” เขาตอบก่อนจะเดินหนีฉันไปอีกทาง ฉันยืนเม้มปากแน่นอย่างคิดหนัก ฉันจำน้ำเสียงนี้ได้ดี แต่แค่ยังไม่มั่นใจและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเขาคนนั้นจริง ๆ ฉันควรจะปล่อยเขาจากไปหรือถามเขาไปเลยตรง ๆ ดีนะ
หมับ!
ร่างกายมันไวกว่าสมองเสมอ ฉันเดินตามเพื่อรั้งแขนแกร่งเอาไว้ ร่างสูงหยุดเดินชั่วขณะแต่ไม่ได้หันกลับมา ฉันกัดปากตัวเองแรง ๆ อย่างสับสนที่สุด
“เป็นเฮียใช่ไหม…”
“…”
“…เฮียไมล์”
ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว ๆ จากฉันและเขา บรรยากาศโดยรอบยามนี้เริ่มดึกลงเรื่อย ๆ แสงไฟจากข้างทางส่องมาริบหรี่ ในตรอกนี้จึงค่อนข้างมืดพอสมควร
“ดึกแล้ว กลับบ้านไปเถอะ” เขาไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ แต่ทำเพียงปลดมือฉันออกแล้วเบือนหน้าหนี แค่นี้ฉันก็มั่นใจแล้วว่าเขาคือคนคนนั้นจริง ๆ
“เฮียมาทำ… อะไรที่นี่” ฉันถามเสียงแผ่ว ยังไม่ยอมขยับไปไหนเหมือนกัน ไม่รู้สิ… ทำไมอยู่ ๆ ร่างกายถึงไม่สัมพันธ์กับสมองก็ไม่รู้
“…” ร่างสูงไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่เงียบ… เงียบเหมือนที่ผ่านมา ฉันเงยหน้ามองใบหน้าครึ่งเสี้ยวภายใต้แมสสีดำสนิท ก่อนจะทำเรื่องที่ตัวเองก็ไม่คาดคิด
พรึ่บ…
แมสปิดปากสีดำถูกดึงออกพร้อมกับฮู้ดด้วยฝีมือของฉัน เรือนผมสีเฮเซลนัทส่องสว่างท่ามกลางความมืด ใบหน้าหล่อแสนหวานปรากฏชัดสู่สายตาของฉัน
เป็นเขาจริง ๆ ด้วยสินะ…
…พันไมล์