บทที่ 04 ตกลงจูบหนึ่ง [2]

1952 คำ
บทที่ 04 ตกลงจูบหนึ่ง [2]  โรงพยาบาล แม้เพียงคุณจะพยายามทำเวลาแล้ว แต่ก็ยังใช้เวลาในการเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะพาพิมพ์พัชรมาถึงโรงพยาบาล ลงจากรถได้เธอก็รีบวิ่งไปที่ลิฟต์ กดลิฟต์ด้วยความร้อนใจ “ทางนี้พิมพ์” ก้าวออกจากลิฟต์ก็รีบมองหาจิรภักดิ์ ได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกพอดีจึงรีบวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิตโดยมีเพียงคุณเดินตามมาด้านหลังเงียบๆ “สวัสดีค่ะพี่ภักดิ์ คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ” “ปลอดภัยแล้ว เพิ่งมาจากห้องเอกซเรย์เมื่อครู่น่ะ มาเถอะ” จิรภักดิ์บอกยิ้มๆ ตั้งใจจะจูงมือเธอเดินตรงไปที่ห้องพัก แต่เธอทำทีเป็นยกมือขึ้นมาจับกระเป๋าเอาไว้เสียก่อน สบตากันเธอก็รีบส่งยิ้มให้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินนำเธอออกไป เพียงคุณแสร้งทำเป็นไม่เห็น ยินดีเดินตามเธอมาเรื่อยๆ ยิ้มให้จิรภักดิ์ตามมารยาทเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าที่เปิดประตูห้องต้อนรับ “สวัสดีค่ะพ่อ แม่เป็นยังไงบ้างคะ” “ยัยพิมพ์ มาได้ยังไงลูก” “พี่ภักดิ์โทรบอกค่ะ นี่ถ้าพี่ภักดิ์ไม่บอก แม่จะไม่บอกพิมพ์เลยเหรอคะ” พิมพ์พัชรเดินตรงไปกอดแม่ของเธอที่นอนพักอยู่บนเตียงคนไข้ในทันที “แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” ‘ศศิวิไล’ยิ้มอย่างเอ็นดูลูกสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเธอ ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปที่เพียงคุณที่ยืนอยู่ปลายเตียง คนถูกมองรีบยกมือไหว้ หลังจากที่เมื่อครู่ไหว้ ‘ประภพ’ พ่อของพิมพ์พัชรไปแล้วคนหนึ่ง “เฮียเพียงคุณค่ะ พี่ชายยัยนริน” พิมพ์พัชรรีบแนะนำ “อ้อ แล้วนี่รบกวนเขาแต่เช้าเลยหรือไง” คนเป็นแม่แสร้งถาม เหลือบมองจิรภักดิ์แวบหนึ่งแล้วได้แต่ถอนใจ ใช่ว่าเธอไม่รู้เสียเมื่อไรว่าพิมพ์พัชรรู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่เพราะความเป็นผู้ใหญ่ ที่เห็นอีกฝ่ายรักและทุ่มเททำเพื่อลูกสาวทุกอย่างก็น้ำท่วมปาก “น้องพิมพ์บอกผมแล้วครับว่ารถน้องพิมพ์เสีย” จิรภักดิ์ออกตัวแทน พิมพ์พัชรเลยไม่รู้ต้องพูดต่ออย่างไร “ขอโทษคุณป้าด้วยนะครับที่ผมใจร้อนไปหน่อย รีบโทรบอกน้องพิมพ์ ก็เลยทำให้น้องพิมพ์พลอยตกใจไปด้วยอีกคน” “ไม่เป็นไรน่าตาภักดิ์ ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ลุงอาจไม่เห็นหน้าลูกสาวแล้วก็ได้” พิมพ์พัชรทำหน้างอก่อนจะรีบเดินไปกอดเอวพ่อของเธออย่างออดอ้อนทันที “นี่พ่อยังไม่หายงอนพิมพ์อีกเหรอคะ” “เหอะ!” “น่า พิมพ์ตั้งใจเอาไว้แล้วนะคะว่าวันเสาร์นี้จะกลับไปกินข้าวที่บ้าน จริงสิคะ แล้วนี่แม่ต้องนอนโรงพยาบาลกี่วันคะ คุณหมอว่ายังไงบ้าง” นึกได้พิมพ์พัชรจึงรีบถามเสียเลย สถานการณ์วันเสาร์เป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ให้ได้เสียก่อน “คุณหมอกระดูกให้คุณป้านอนพักดูอาการที่โรงพยาบาลวันสองวันน่ะ บาดแผลภายนอกไม่มีอะไรน่าห่วง ผลเอกซเรย์ก็ปกติดี แต่เพราะคุณป้าอายุเยอะแล้ว กลัวว่าจะปวดหรือว่ารู้สึกระบบกล้ามเนื้อทีหลัง” จิรภักดิ์อธิบายเสียละเอียดยิบ “พี่เขาเป็นคนพาแม่มาโรงพยาบาลน่ะ ส่วนพ่อเราถึงก่อนหน้าเราไม่นานนี่เอง” กลายเป็นยิ่งทำให้พิมพ์พัชรรู้สึกกดดันขึ้นไปอีก “ผมยินดีครับคุณป้า” จิรภักดิ์ยิ้มกว้างแล้วมองมาที่พิมพ์พัชรอีกครั้ง “คุณลุงออกไปทำงานพอดีน่ะ พี่แวะเอาผลไม้จากนิวซีแลนด์ไปฝากคุณป้าพอดีก็เลยอยู่ในเหตุการณ์ ไม่ต้องคิดมากหรอก” อธิบายให้เธอฟังเพิ่มเติมพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ ทันที แม้พิมพ์พัชรจะอยากปัดมือของเขาออก แต่บรรยากาศรอบกายก็ทำให้เธอได้แต่ยืนนิ่ง “แม่ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เราน่ะ รีบไปทำงานเถอะ” คนเป็นแม่เห็นลูกสาวยืนทำหน้าตากล้ำกลืนรีบบอก พร้อมกับตบฝ่ามือลงบนหลังมือเล็กที่ยังจับเอาไว้ “น้องพิมพ์ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลทางนี้เอง ช่วงเย็นค่อยแวะมาก็แล้วกัน” “พิมพ์...” “ไปเถอะลูก ให้เฮียเขารอนานๆ เขาจะพลอยเสียงานเสียการไปด้วยอีกคน” พิมพ์พัชรหันไปมองเพียงคุณแล้วก็ได้แต่รู้สึกเกรงใจ “งั้นพิมพ์ไปทำงานก่อนนะคะ ตอนเย็นจะรีบมาค่ะ” ยกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเดินตามเพียงคุณออกมาเงียบๆ โดยมีจิรภักดิ์เดินตามออกมาส่ง ในใจของเธอรู้สึกอึดอัดแต่ไม่รู้ต้องระบายออกอย่างไร “ขับรถดีๆ ครับคุณเพียงคุณ” “ครับ” “เฮียรอพิมพ์แป๊บหนึ่งได้ไหมคะ พิมพ์ขอคุยกับพี่ภักดิ์ก่อน” พิมพ์พัชรตัดสินใจที่จะลองคุยกับจิรภักดิ์อีกครั้งเพราะเธอรู้สึกทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “เอาไว้เราค่อยคุยกันเย็นนี้ก็ได้ครับพิมพ์ เกรงใจคุณเพียงคุณเขานะ” “ตามสบาย เฮียรอหน้าลิฟต์แล้วกัน” เพียงคุณพูดแทรกยิ้มๆ แล้วเดินนำออกไปก่อน ขนาดเขาที่เป็นคนนอกยังรู้สึกได้ถึงความกดดัน จึงไม่ได้แปลกใจที่เธอจะอึดอัดจนทนไม่ไหว “น้องพิมพ์ยังโกรธพี่เรื่องคืนนั้นไม่หายเหรอ” “เรื่องนั้นพิมพ์ลืมไปแล้วค่ะ” “ถ้าอย่างนั้น...” “พิมพ์อยากขอบคุณพี่ภักดิ์ที่ช่วยพาคุณแม่ส่งโรงพยาบาลน่ะค่ะ” พิมพ์พัชรยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าไม่ยิ้มแย้ม แต่พยายามฝืน “หลังจากนี้พิมพ์จะดูแลคุณพ่อกับคุณให้มากขึ้น คงไม่รบกวนพี่ภักดิ์บ่อยๆ แล้วค่ะ” “พิมพ์” “พิมพ์ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ เกรงใจเฮียคุณเขา” ตัดบทสั้นๆ ก่อนจะเดินออกมาทันที เพราะเจตนาของเธอก็เพียงแค่ต้องการให้จิรภักดิ์เลิกวุ่นวายกับพ่อแม่ของเธอสักทีเท่านั้น ทั้งหมดที่เขากำลังทำ มันควรเป็นหน้าที่เธอ และที่ผ่านมาเธอก็พยายามทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้มาตลอด เพิ่งจะมามีช่วงหลังที่งานของเธอยุ่ง แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เธอก็ยังโทรกลับไปถามไถ่เสมอ ไม่คิดว่าเขาจะพยายามใช้เรื่องนี้มากดดันเธอ ทำให้ทั้งเธอและพ่อแม่ของเธอลำบากใจ “โอเคไหม” เพียงคุณรีบถามเมื่อเธอเดินมาถึงเขาที่ยืนรออยู่ เธอเบะปากแล้วส่ายหัวไปมา ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ เขาเหลือบมองกลับไปที่ด้านหลัง เห็นจิรภักดิ์ยังคงมองมาจึงได้แค่ส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ รอจนเขากับเธอเดินเข้าไปพร้อมกัน ประตูลิฟต์ปิดลงเธอถึงได้ถอนหายใจจนไหล่ห่อ “พิมพ์รู้สึกแย่จังเลยค่ะ” “ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ควบคุมไม่ได้ แม่เราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เย็นนี้เลิกงานแล้วเราแวะซื้อของบำรุงมาให้ท่านทานเยอะๆ ก็แล้วกัน” เพียงคุณให้กำลังใจ เห็นเธอยิ้มเล็กน้อยแต่สายตายังดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เดินเงียบมาตลอดทางกระทั่งถึงรถ ตื๊ด~ “สวัสดีค่ะพี่เอก” [วันนี้ลาเหรอน้องพิมพ์] “กำลังไปค่ะ ตื่นสายไปหน่อย มีประชุมเหรอคะ” [เปล่าๆ พี่แค่เดินผ่านแล้วยังไม่เห็นน้องพิมพ์มาน่ะ ป้ามะยมเหล่แล้ว รีบมานะ แกถามหาเอกสารอะไรก็ไม่รู้แต่เช้า พี่กลัวว่าหวยจะออกที่เรา] “ซวยแล้ว” [เราจริงเหรอ] “จริงๆ ก็ไม่ใช่งานพิมพ์สักหน่อย ของพี่ชมพู่ต่างหาก แต่สักพักพิมพ์จะถึงแล้วค่ะ พี่เอกพาป้าแกสวดมนตร์ให้ใจเย็นๆ ทีนะคะ เดี๋ยวเที่ยงพิมพ์พาไปเลี้ยงหนมจีน” [คุ้มไหมนั่น โอเคๆ เดี๋ยวเจอกันน้องพิมพ์] เอกทัศน์วางสายไปทั้งเสียงหัวเราะ ส่วนพิมพ์พัชรได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “มีอะไรหรือเปล่า” “พี่ที่ทำงานที่นั่งใกล้ๆ กันแค่โทรมาถามเพราะคิดว่าพิมพ์ลาน่ะค่ะ” พิมพ์พัชรอธิบายยิ้มๆ ทว่าเสียงถอนหายใจของเธอก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่วางใจนัก “ถ้าแม่พิมพ์ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แสดงว่าเสาร์นี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อนใช่ไหม” “ค่ะ พิมพ์คงต้องโทรบอกคุณเปรมดิ์เขาอีกที” “เราจะบอกเขาว่าอะไร” พิมพ์พัชรหันไปมองนิดหน่อยเพราะรู้สึกได้ว่าเสียงของเพียงคุณเปลี่ยนระดับ พอเขามองกลับมาเธอก็ได้แต่ยิ้มเพราะถึงบริษัทพอดี “ขอคิดก่อนแล้วกันค่ะ ตอนนี้สายแล้ว พิมพ์ไปก่อนดีกว่า” “เดี๋ยว” ข้อมือของเธอถูกรั้งเอาไว้เบาๆ พอเธอหันกลับมอง เขาก็ยิ้มให้เธอแปลกๆ “อะไรคะ” “บอกเขาไปว่าเรามีแฟนแล้ว” “มะ มีแฟน?” พิมพ์พัชเบิกตาโพลง มือไม้เหมือนจะอ่อนแรงลงในฉับพลัน “เป็นแฟนเฮียนะ” ทั้งน้ำเสียง สายตา ไหนจะยังรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากของเขาในเวลานี้ ยิ่งจ้องเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปใกล้ “ตกลงจูบหนึ่ง ไม่ตกลง...จูบจนกว่าจะตกลง” อยากจะเก๊กอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนริมฝีปากจะยิ้มไปแล้ว “ยังไงดีนะเรา” ใบหน้าหล่อตี๋ที่มองกี่ทีก็มีแต่จะยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างเคลื่อนเข้ามาใกล้ เธอหวั่นใจเหลือเกิน ไม่เคยถูกเขารุกใส่อย่างนี้มาก่อน “ตะ ตกลง...อื้อออ” สองมือที่ยกขึ้นผลักอกของเขาออกไปโดยอัตโนมัติถูกเขาจับรวบเอาไว้ทันที ริมฝีปากที่ทาบลงมาแนบสนิทกับริมปากของเธออ่อนนุ่มจนใจสั่นไหว บดเคล้าอย่างเนิบช้า ทว่ากลับสูบเอาเรี่ยวแรงของเธอให้หายไปจนหมด เพียงคุณถอนริมปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ยิ้มกริ่มเมื่อสีหน้าของพิมพ์พัชรแดงซ่านด้วยความเขินอาย เขายกมือขึ้นวางบนหัวเธอ ทำทีเป็นลูบหัวจัดทรงผมให้เธอนิดหน่อยเพราะรู้ว่าเธอประหม่าอยู่มาก “อย่าลืมโทรบอกเขาด้วยล่ะว่าเรามีเจ้าของแล้ว” ย้ำด้วยเสียงกระซิบก่อนจะหยิกแก้มเธอทิ้งท้ายอีกที “เจ้าของขี้หวงมากเสียด้วย” “ค่ะ” พิมพ์พัชรรับปากทั้งที่ยังงงๆ เม้มริมฝีปากอยู่อย่างนั้นกระทั่งเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ “ขับรถดีๆ นะคะ” “ครับ เย็นนี้แวะมารับ” หัวใจพองโตจนคับอก ต้องรีบก้าวลงจากรถด้วยความอัดอั้นเพราะอยากกรี๊ด “พิมพ์” “คะเฮีย” กำลังจะรีบวิ่งเข้าบริษัทแต่เขาลดกระจกลงแล้วตะโกนเรียกไว้ “เที่ยงนี้เฮียโทรหานะ” “อ้อ ค่ะ” เธอยังคงรับปากงงๆ อีกตามเคย รอจนเห็นเขาโบกมือไล่ให้รีบไปทำงานจึงได้สติ กลับหลังหันแล้วพาตัวเองไปกรี๊ดในห้องน้ำบริษัท “เป็นแฟนเฮียนะ” “ตกลงจูบหนึ่ง ไม่ตกลง...จูบจนกว่าจะตกลง” “อย่างลืมโทรบอกเขาด้วยล่ะว่าเรามีเจ้าของแล้ว” “เจ้าของขี้หวงมากเสียด้วย” “ฮือ ไอ้เฮียบ้า เขินโว้ยยย!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม