10
ท่อนฟืนถูกโยนเข้ากองไฟหลายท่อนจนได้ยินเสียงปริแตกของฟืนท่อนเก่าสีแดงเพลิงเพิ่มความร้อนแรงจนเนื้อหมูป่าชิ้นหนาเสียบไม้วางเหนือกองไฟ กรอบกำลังดี ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูกมือไม้ลนลานของผืนดินและเหนือมานมองมาเป็นระยะ
แต่แล้วจำต้องหลุบสายตาเบนมองไปทางอื่นหนีราชสีห์หวงอาณาเขต ริมฝีปากอ้าหุบอยากจะถามไถ่เรื่องราวความเป็นมาของหญิงสาว ที่ตอนนี้ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น เอาแต่นั่งชันเข่ามองเนื้อหมูย่างตาละห้อยลอบกลืนน้ำลายลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า
กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นอบอวลชวนน้ำลายสอ เปลวเพลิงสว่างวาบ ขับไล่ยุงและแมลงที่คอยวนเวียนสร้างความน่ารำคาญใจรอบกองไฟได้เป็นอย่างดี ดวงตาใสกระจ่างสีรัตติกาลยามทอดมองเปลวเพลิงสว่างไสวขับให้ดวงหน้างามหยาดเยิ้มร้อนแรงแผดเผาดวงใจของชายหนุ่มจนคันยุบยิบ
“สุกหรือยังเจ้าคะ ข้าเริ่มหิวแล้ว” พลับพลึงเร่งเร้า พลางกระตุกแขนกำยำข้างกายเป็นระยะ ทว่าเขาผู้ทำหน้าที่ย่างเนื้อให้สมดั่งใจพลับพลึงกลับใจเย็น
เขารู้ว่านางค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินและสถานที่อยู่อาศัย เพียงแต่ด้วยสถานการณ์จำเป็นบีบบังคับจึงแสร้งเป็นคนกินอยู่ง่าย
“ชิ้นนี้ได้แล้ว กินก่อนเลยแต่เป่าก่อนนะมันร้อน” ใต้หล้ายิ้มอ่อน ยื่นหมูย่างเกรียมหนาใหญ่ให้นางหนึ่งชิ้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” พลับพลึงรับไว้พร้อมยิ้มจนตาหยีดุจดวงจันทราครึ่งเสี้ยว
เผยลักยิ้มแก้มบุ๋มข้างแก้มอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จนเขาอดใจไม่ไหวยื่นฝ่ามือหยาบกร้านบีบแก้มนุ่มนิ่มผ่องใสฝาดเรื่อแผ่วเบา
“อืม น้องข้าก็มีลักยิ้ม” พลับพลึงพยักหน้า นางเป่าลมหายใจอุ่นไล่ไปตามชิ้นเนื้อหวังคลายความร้อนโดยเร็ว เพราะตอนนี้นางหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว
“เอ็งมีน้องสาว?” ใต้หล้าเลิกคิ้วเอ่ยถาม ในขณะที่เอ่ยถามสหายทั้งสองแสร้งตีหน้าเคร่งขรึม ทว่าเงี่ยใบหูเอียงเอนมาทางด้านนี้หวังล้วงข้อมูล และทันทีที่ใต้หล้าเข้าประเด็นทั้งสองก็พร้อมใจกันขยับกายเข้ามาใกล้เพื่อฟังบทสนทนาอย่างใกล้ชิดแบบไม่สนใจสายตาพิฆาตของสหาย
“ชื่อพลับพลาย อ่อนกว่าข้าหนึ่งปีนิสัยเปลี่ยนไปตามวัน บางวันก็เย็นชา บางวันก็ดุร้าย บางวันก็ขี้อ้อน บางวันอยากจะอ่อนแอก็อ่อนแอ ส่วนบางวันบทจะบู๊ก็เกรี้ยวกราดไม่เกรงใจใคร นิสัยค่อนข้างแปลกประหลาดแต่เราสองคนรักกันมาก” น้ำเสียงเจื้อยเเจ้วยามเอื้อนเอ่ยถึงน้องสาวในอุทรเสียงอ่อนโยนกึ่งหนึ่ง เดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก
“แล้วยามนี้น้องสาวเอ็งอยู่ที่ใด” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผ่านมาหลายวันเขาไม่เคยถามถึงความเป็นมาของนางมาก่อน หากไม่มัวลุ่มหลงจนน่ามืดตามัวก็เอาแต่หยอกล้อนางแต่ก็ใช่ว่าเขาไม่คิดจะถามนางเพียงแต่ไม่มีความกล้ามากพอ
กลัวว่าพอได้ยินความเป็นมาของนางเขาอาจจะไม่ดีพอคู่ควรหรือไม่ก็กลัวว่านางจะหนีหายหากถึงวันเวลานั้น...
“อืม ข้าหวังว่าตอนนี้นางจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย” ดวงตาใสกระจ่างอับแสงหม่นหมองเหม่อลอย ความคิดถึงคะนึงหาในแววตาของนางบีบรัดหัวใจของเขาจนปวดหนึบอึดอัด
“บ้านเอ็งอยู่ที่ไหนแถวนี้หรือไม่ ทำไมถึงหวังให้นางปลอดภัย เกิดเหตุกระไรระหว่างทาง” เอาล่ะหลอกถามบ้านช่องไว้ก่อน เกิดนางคิดหนีเขาจะได้ไปตามหาเมียถูกที่ถูกทาง
“ข้าเกิดและเติบโตในเกาะพานเร้น เป็นเกาะคล้ายเมืองลับแลบนโลกมนุษย์ แต่มีละอองกลิ่นอายบริสุทธิ์ของแดนสวรรค์ไหลเวียนทั่วเกาะทำให้พวกเราดูดซับอายบริสุทธิ์ใช้มนตราตามความสามารถได้ เกาะพานเร้นไกลพอสมควรคนนอกเข้าไปไม่ได้นอกจากจะเป็นคนในเผ่านกยูงของข้าแต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี ถูกเจ้าพนาสูรรุกรานดักซุ่มจนคนในเผ่าต้องเก็บตัวอยู่ในเกาะ”
“วันนั้นข้าเบื่อคิดว่าดูลาดราวดีแล้วก็เลยชวนน้องสาวออกมาเล่นน้ำในป่าโมกนอกอาณาเขต ใครจะรู้ว่าเจ้าพวกบัดซบพวกนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใดมันแอบซุ่มก่อนจะใช้วิธีหมาหมู่เข้ามาจับพวกข้า ข้าผลักพลับพลายให้ไปอีกทางส่วนตัวเองก็ล่อพวกมันมาอีกทาง ถ้าข้าไม่ถูกท่านยิงก็คงหาทางกลับบ้านได้ไปนานแล้ว” พลับพลึงบอกเล่าเรื่องราวเสียงเจื้อยแจ้ว จนกระทั่งเนื้อหมูย่างเกรียมหายร้อนจึงใช้ฟันหน้ากัดเป็นชิ้นเล็กเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกระต่ายขนสีขาวหิมะกำลังฉีกทึ่งกินอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“ข้ายังไม่ลืมเรื่องที่ท่านยิงข้า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชี” หญิงสาวหันขวับมองค้อนใต้หล้าที่กำลังทำหน้าหนาลืมเลือนความผิดของตน
“โชคดีที่สมองของแม่นางไม่กระทบกระเทือน ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องทุ่มสุดความสามารถรักษาแม่นางให้หายเป็นแน่ ว่าแต่ในเกาะพานเร้นมีแม่นางสาวสวยวัยขบเผาะบ้างไหมจ๊ะ แนะนำให้ข้าทีสิ” ผืนดินสอดปากเข้ามาพูดกับพลับพลึงพลางเบียดเหนือมานมาทางด้านหน้า สายตากะลิ่มกะเหลี่ยแฝงความวิงวอน
แต่กลับถูกเหนือมานกระชากคอกลับไปนั่งที่เดิม ฝ่ามือหยาบตามมาปิดอุดปากของผืนดินแน่นจนไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมานอกจากเสียงขลุกขลักในลำคอ
“!!?!!”
“หุบปากข้ากำลังตั้งใจฟัง คุยกันต่อได้เลย” เหนือมานผ่ายมือให้ทั้งสองพูดคุยกันต่อ เรื่องราวของพลับพลึงช่างยากจะจินตนาการหากไม่พบเห็นกับตาจะมีใครกล้าเชื่อว่านกยูงจะจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ได้
แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะศึกษาเล่าเรียนฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัดจนเจ้าหลวงตายอมสอนมนตราอาคมเอาไว้ช่วยเหลือตนเองในภายภาคหน้าแต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาในยุคสมัยที่มีมนตราอาคมดาษดื่น เรื่องราวเหนือธรรมชาติตรงหน้าต่างหากที่พิศวงชวนหลงใหล
เขาก็อยากมีเมียเผ่านกยูงเหมือนกัน!
“ผู้ใดคือพนาสูร” ใต้หล้าหนังตากระตุก เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับชื่อนี้อย่างแรงตามสัญชาตญาณพรานป่าที่แยกแยะมิตรและศัตรูได้ภายในอึดใจเดียว
“ผู้นำเผ่าอีกาฆาต มันอยากจะจับข้าไปเป็นนางบำเรอด้วยหัวสูงไม่เบา ข้าออกจะงามสง่าผ่าเผยไม่มีวันลดตัวไปเป็นนางบำเรอให้พวกขนสีสกปรกพวกนั้นหรอก ข้าคือทายาทของอดีตประมุขเผ่านงยูงผู้สืบทอดเกาะพานเร้นเชียวนะ ร่างกายข้าออกจะสูงส่งความเย่อหยิ่งไหลวนเวียนในสายเลือดตั้งแต่เกิด” ดวงหน้างามหยาดเยิ้มแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างเปิดเผยยามเอื้อนเอ่ยถึงนามที่สร้างวีรกรรมมากมายในเกาะพานเร้น
ในวาจาคล้ายคำฟ้องแต่ก็คล้ายออดอ้อนอยากให้เขาเอาใจอยู่ในที เสมือนว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นอย่างมากที่มีคนใจมืดบอดหวังให้นางไปปรนบัติบำเรอ
“อ๋อ” ใต้หล้าขานรับ ทว่าฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดกดข่มโทสะไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า หากนางเพลี่ยงพล้ำถูกจับได้ขึ้นมาไม่ใช่ว่านางคงจะถูกเจ้ากักขฬะผู้นั้นย่ำยีความบริสุทธิ์หรอกหรือ
ในขณะที่เขากำลังลอบด่าชายผู้นั้นอยู่ภายในใจจนไม่ทันมองสายตาสับสนงุนงงของพลับพลึงที่ทอดมองมาทางเขาราวกับว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปทำไม การกระทำของเขาไม่ต่างอะไรจากเจ้าพนาสูรเลยสักนิดกว่าจะรู้สึกตัวเขาก็สบสายตาต่อว่าต่อขานของนางอย่างจัง
“อะไร ข้าไม่เหมือนมันสักหน่อย ข้าไม่ได้จับเอ็งมากักขังเป็นนางบำเรอ ข้าจับเอ็งมาทำเมีย” ใต้หล้าร้อนตัวลุกลี้ลุกลน แสร้งกระแอมไอเบนหน้าหนีไปทางอื่น
“ในสายตาข้ามันก็คล้ายอยู่หรอกแค่สถานะต่างกัน” พลับพลึงขมุบขมิบปากพึมพำ
“เอ็งใช้วิธีไหนให้ได้แม่นางมาเป็นเมีย” เหนือมานที่นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาตั้งแต่ทีแรกโพล่งปากถาม
พลับพลึงเหลือบมองชายหนุ่มที่แสดงอาการผิดปกติเหมือนคนมีชนักความผิดติดหลังก็ยิ้มเย็นยะเยือก รอยยิ้มหวานเหมือนน้ำตาลก้อนเคลือบยาพิษที่เพียงสูดดมก็สิ้นใจตายคาอ้อมอกสาวงาม น้ำเสียงเยาะหยันเอ่ยตอบเหนือมานไร้สิ้นความเก้อเขิน
“หุบปากไป!” ใต้หล้าหน้าม้าน หันมาดุสหาย
“ก็ไปแอบดูข้าอาบน้ำแล้วก็รวบหัวรวบหางคาบ่อน้ำพุร้อนน่ะสิ คนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนถ้าไม่ติดว่าช่วงล่างดีหน่อยข้าคงสะบัดหน้าหนีกลับบ้านนานแล้ว” น้ำเสียงหวานใสปานระฆังแก้วตอบ ไม่มีสะดุดติดขัดเหมือนสาวน้อยแรกแย้มพึ่งสูญเสียความบริสุทธิ์หมาดๆ แม้แต่น้อย
“พรวดดด!” ผืนดินยกกระบอกไม้ไผ่ดื่มน้ำถึงกับเป่าพรวดน้ำในปากออกมาจนหมด
“ก็ไม่ถือว่าไร้น้ำยาเสียทีเดียว ยังพอใช้ช่วงล่างเหนี่ยวรั้งสตรีได้อยู่” เหนือมานยิ้มกรุ่มกริ่ม
อาการตกตะลึงในรูปโฉมงามหยาดเยิ้มของหญิงสาวในคราแรก บรรเทาเบาบางลงไปบ้างจึงไม่ตื่นเต้นหวือหวากับนางเท่าแรกพบ อีกทั้งนางยังเป็นผู้หญิงของสหายรัก นี่ถือเป็นกฎสิ่งต้องห้ามที่พวกเขาไม่คิดจะแตะต้องของสหาย ใครให้มันโชคดีได้เจอนางก่อนเล่า
คิดแล้วมันน่าหงุดหงิดที่ต้องนอนหนาวคนเดียว
“พูดอะไรออกมา” เสียงเข้มหันมาดุหญิงสาวแบบไม่จริงจัง ใบหน้าคมคร้ามออกสีริ้วแดงเรื่อบ่งบอกว่าเขากำลังเขินอายอย่างหาได้ยาก
ตอนทำไม่เห็นจะไตร่ตรองคำพูดคิดอาย!
“พูดความจริงออกมา” พลับพลึงหันมองชายหนุ่มดวงตาใสซื่อไร้กลอุบาย คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้นมัวแต่อ้อมค้อมเมื่อไหร่จะเข้าใจตรงกันเล่า
ชายหนุ่มกระถดร่างเข้ามาใกล้หญิงสาวจนนางสัมผัสได้ถึงสายตาลึกล้ำยากคาดเดาแต่กลับมีประกายทอแสงพาดผ่านดูแล้วไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ ทำให้นางพยายามจะเบือนสายตาหนีแต่กลับถูกฝ่ามือหนายึดรั้งกอบกุมปลายคางเรียวเล็กไว้มั่น
จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนกระชั้นชิด ใบหน้าหล่อเหลาคมคายยื่นศรีษระเข้ามาใกล้แสดงท่าทางแนบชิดสนิทสนมอย่างโจ่งแจ้ง พาลให้พลับพลึงตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
“พวกข้านั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้อยู่นะโว๊ย!” ผืนดินส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“ถือซะว่าพวกข้าเป็นตอไม้ก็แล้วกัน อยากจะทำท่าไหนก็ทำข้าอยากจะเห็นช่วงล่างของเอ็งว่าใช้วิธีไหนเหนี่ยวรั้งนางไว้” เหนือมานพูดพร้อมยักไหล่แสดงท่าทีไม่ยี่หระออกมา
“งั้นข้าไปเอาสุราหมักมาดื่มนั่งดูไปด้วยน่าจะสุนทรีย์ไม่น้อย” ผืนดินคิดว่าคำพูดของเหนือมานน่าสนใจไม่น้อย จึงรีบรุดพรวดไปคว้าไหสุราบ่มเองมาเทกระฉอกใส่ปาก
“อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าคนอื่น” หญิงสาวถลึงตาใส่
“งั้นลับหลังก็ทำได้งั้นสิ” เขากระซิบเสียงแหบพร่า แววตาอัดอั้นเต็มไปด้วยไฟปรารถนาร้อนแรง เดาได้ไม่ยากหากตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่เขาคงจะจับนางแล้วกลืนกินลงท้องตั้งแต่ตอนนี้เสียเลย
“อยากหน้าหนาก็หน้าหนาไปคนเดียว อย่ามาลากข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ข้าจะกินแล้วไม่อยากพูด” มือนุ่มนิ่มดันใบหน้าแพรวพราวให้ออกห่าง
“เรื่องแบบนี้มันต้องทำกันสองคน ข้าทำคนเดียวจะไปสนุกอะไรว่าไหมเมียรัก” ใต้หล้ากระตุกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจแต่ชวนให้ใครบางคนใจกระตุกสุดหักห้ามใจ
“......” พลับพลึงทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าก้มตาละเลียดกินหมูป่าย่างตรงหน้าลงท้อง รักษาสีหน้าเรียบนิ่งไม่ให้หวั่นไหวไปกับคำพูดยั่วยุของชายหนุ่มด้านข้าง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเงียบงันก็พลอยให้เขากระวนกระวายใจคิดว่าทำให้นางโกรธเคืองเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร ข้าคิดทบบัญชีไว้สะสางคืนนี้เรียบร้อยแล้ว”
“......”
ครั้นเห็นว่านางไม่ยอมพูดโต้ตอบเขาก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องชวนคุยแล้วยื่นหมูป่าย่างเพิ่มให้นางอีกไม้เป็นการเอาใจ หากทำให้นางโกรธ เขายอมให้นางกระเง้ากระงอดออดอ้อนใส่มากกว่าแบบนั้นถึงจะทำให้เขาวางใจ
เมื่อเห็นสีหน้านางดีขึ้นจึงทำทีเลียบเคียงเอ่ยถามบางสิ่งบางอย่าง แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ทำให้เขากังวลใจจนร้อนลนแทบนั่งไม่ติด
“แล้วเอ็งจำเป็นต้องกลับไปที่นั่นอยู่หรือไม่” เขาถามเหมือนคนโง่งม เขาไร้ถิ่นที่อยู่อาศัยจนตรงระหกระเหินเดินบุกป่าฝ่าดงตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรจึงไม่ค่อยสันทัดเรื่องสายใยในครอบครัว
ข้างกายเขามีเพียงสหายรักสองคนเป็นเด็กกำพร้าเหมือนเขา ดังนั้นเพราะความจำเป็นและเจ็บปวดบางอย่างทำให้พวกเขาต้องมาอาศัยอยู่กันตามลำพังปลีกวิเวกจากโลกภายนอก ดื่มกินอยู่ไปวันๆ ไร้ซึ่งผู้คนผูกพันแต่นางไม่ใช่แบบนั้น
“แน่นอน” พลับพลึงตอบแบบไม่ต้องคิด
“ข้ากลับไปแน่นอน”
“ไม่กลับไม่ได้หรือจะทิ้งข้าได้ลงคอเชียวหรือ” เสียงอ้อนวอนของชายหนุ่มดังขึ้น ใบหน้าคมคร้ามที่เคยเรียบนิ่งบัดนี้ฉายแววร้าวรานเหมือนสุนัขตัวน้อยร้องหงิงๆ ยามห่างไกลจากเจ้าของ
“จำเป็น ครอบครัวข้าอยู่ที่นั่น ภัยรุกรานยังไม่ถูกกำจัด ข้าไม่มีหน้าทิ้งภาระหน้าที่แล้วมาเสพสุขอยู่คนเดียวหรอก หายดีแล้วคงต้องไป” หญิงสาวพูดถึงเหตุและผล
เผ่าพันธุ์ของนางไม่ได้แข็งแกร่งเฉกเช่นวันวาน หากนางยังคิดหนีเอาตัวรอดทิ้งผู้คนในเผ่าให้ตกระกำลำบากโดดเดี่ยวเดียวดาย บิดามารดาที่มองลงมาจากสรวจสวรรค์คงจะตำหนิจนนางไม่กล้าสู้หน้า ที่นั่นยังมีผู้เป็นลุงรอคอยให้นางกลับไปดูแล ไหนจะน้องสาวนิสัยแปลกประหลาดผู้นั้นอีก
นางอยากจะกลับไปดูให้เห็นกับตาว่าพลับพลายกลับถึงบ้านและรอดปลอดภัย
นางทิ้งพวกเขาไม่ได้และไม่มีทางทำอย่างนั้น
แม้เขาผู้นี้จะทำให้ดวงใจเฉยชาสั่นไหวบางครั้งบางคราวแต่ภาระหน้าที่จำต้องมาก่อน...
อีกทั้งนางก็แตกต่างจากเขา นางไม่ใช่มนุษย์แม้จะมีเรือนร่างเป็นมนุษย์แต่นางก็เป็นคนของพงศ์เผ่านกยูงอยู่ดี
“ดูท่าช่วงล่างเอ็งจะยึดเหนี่ยวนางไว้ไม่อยู่แล้วไอ้ใต้หล้า” เหนือมานส่งเสียงฮึในลำคอ
แต่เขาหาได้สนใจคำหยอกเย้าของสหายไม่ ตอนนี้ในสมองของเขามึนงงรู้สึกชาวาบเหมือนอัสนีฟาดผ่าลงมากลางศรีษระอย่างจังเต็มแรง เพียงแค่นางพูดว่าต้องไปเขาก็แทบจะพูดอะไรไม่ออก คิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไรนางถึงจะยอมอยู่เคียงข้าง
“งั้นพาข้าไปด้วยได้ไหม ข้าไม่อยากห่างจากเอ็ง” ใต้หล้ากุมมือเล็กทั้งสองข้างแน่นราวกับว่านางกำลังจะหนีหายตายจากเขาไปตอนนี้ เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำทว่าตอนนี้เขาหวาดกลัวจริงๆ
“เกรงว่าก่อนเข้าเกาะพานเร้น ท่านคงได้ทิ้งชีวิตอยู่นอกเกาะก่อนกระมัง” พลับพลึงส่ายศรีษระ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เกาะพานเร้นตั้งอยู่ซุกซ่อนในหมอกลาลัย หมอกเหล่านั้นล้วนเป็นหมอกพิษแม้มันจะไม่กล้ำกรายคนในเผ่า แต่มันกลับเป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยของเกาะพานเร้นทำให้คนนอกที่คิดรุกรานนอนดิ้นรนทุรนทุรายขาดใจตายมานักต่อนักแล้ว
“แค่เอ็งรับปาก ข้าจะหาวิธีเอง”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้สักหน่อย ตอนนี้ร่างกายข้ายังอ่อนแออยู่กับท่านได้อีกเดือนสองเดือน ข้าไปแล้วย่อมต้องกลับมาหาท่านแน่นอน ข้ายังต้องใช้ช่วงล่างของท่านยื้อชีวิตอยู่นะ” พลับพลึงไม่รับปากเพียงเบี่ยงประเด็นไม่ให้เขาคิดมาก
“......” ใต้หล้าเงียบ แต่ในหัวสมองเริ่มคิดแผนการบางอย่าง เขาไม่มีทางยอมให้นางจากไปเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเพียงแต่เขาไม่ไว้วางใจ
ไหนจะเรื่องที่มีบุรุษหมายปองเมียรักอีก
ไม่มีทางที่นางจะสลัดเขาทิ้งไว้ให้คอยเฝ้าเตียงนอนเย็นเยียบ ไม่มีทาง!