เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็พบกับตัวอักษรมากมายและเสียงสุดแสนจะน่ารำคาญดังอยู่ในหัว
[ระบบปฏิบัติการกำลังทำการติดตั้งข้อมูลกรุณารอสักครู่]
[การติดตั้งจะทำการสำเร็จใน 5 4 3 2…]
ติ๊ง!! ติ๊ง!! ติ๊ง!! ติ๊ง!! ติ๊ง!!
[ติดตั้งระบบ •สำเร็จ √]
[ติดตั้งฟังก์ชันป้องกันความปลอดภัย •สำเร็จ √]
[ติดตั้งฟังก์ชันป้องกันการแทรกซึม •สำเร็จ √]
[ติดตั้งฟังก์ชันการเปิดระบบคาร์แรคเตอร์ตัวละครโดยอัตโนมัติ •สำเร็จ √]
[ติดตั้งข้อมูลและความสัมพันธ์ของตัวละคร •สำเร็จ √]
[ติดตั้งฟังก์ชันอื่นๆ •สำเร็จ✓]
[ระบบทำการเชื่อมประสานกับตัวละครสำเร็จ พร้อมใช้งานโดยอัตโนมัติ]
•
•
ติ๊ง!!
[คุณคือใคร...ทำการวิเคราะห์ตัวละคร]
ติ๊ง!!
[code name เจ้ายอดเขาเย้ยเมฆา อวีเฟิง อาวุธ กระบี่เกร็ดเหมันต์ น้ำหนัก55ก.ก ส่วนสูง 165ซ.ม ความสามารถพิเศษ เชี่ยวชาญการใช้อาวุธต่างๆ และการต่อสู้ระยะประชิด ระดับพลังปราณ ปรมาจารย์เซียนสี่วิถี หนึ่งในตัวละครเรื่อง บุปผางามในม่านหมอก….]
[ค่าสถานะเริ่มต้น +100แต้ม]
•
•
สรุปง่ายๆ ก็คงเป็น 'นิยายเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมเขียน'เนี่ยแหละครับ
นิยายเรื่อง'บุปผางามในม่านหมอก'เป็นนิยายเทพเซียนฮาเร็ม ที่คล้ายคลึงกับเรื่องอื่นๆ ที่มีอยู่เกลื่อนเว็บนั่นแหละ
ว่าด้วยเรื่องสาวสวยพระเอกเทพ พ่วงสกิลโหดขั้นแม็กซ์จนพวกตัวร้าย+ตัวประกอบตายอย่างอเนกอนาถ และมีเซอร์วิสให้เก็บเกี่ยวความฟินอยู่เรื่อยๆ อาจเพราะมัวแต่ใส่ใจเรื่องแฟนเซอร์วิส จนลืมการดำเนินเรื่องให้มันสมเหตุสมผล
จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาจนถึงตอนจบ แม้แต่หลุมสักหลุมก็ไม่เคยได้กลบ แล้วจบไปทั้งๆ อย่างนั้น และมีนักอ่านที่แสนจะน้อยนิดเข้ามาคอมเม้นถึงความห่วย หรือไม่ก็เข้ามารออ่านแฟนฟิคที่คุณกล้วยหอมเขียนขึ้นใต้คอมเม้น
เนื้อหาคร่าวๆ ก็ประมาณว่า หลางผิงเย่ทารกน้อยผู้ไร้ที่มาที่ไป ถูกคนผู้หนึ่งนำไปฝากไว้ให้หญิงชราช่วยดูแล เมื่อเด็กน้อยเริ่มจำความได้ หญิงชราก็เริ่มสอนเรื่องราวที่เด็กน้อยควรรู้ จนเมื่อเวลาผ่านไป14ปี หลางผิงเย่ กลายเป็นเด็กหนุ่มมากความสามารถ แม้ฐานะทางบ้านจะยากลำบาก แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ จนในที่สุดหญิงชราก็จากไปด้ายโรคร้าย
เมื่อหลางผิงเย่ไม่เหลือสิ่งใดให้อาวรณ์ จึงเดินทางไปสมัครสอบเป็นเซียนสำนักใหญ่ตามคำสั่งเสียของหญิงชราและได้ผ่านการทดสอบเข้าสำนักจันทราพิสุทธิ์ สังกัดยอดเขาเย้ยเมฆาโดยมีอวีเฟิง เป็นเจ้ายอดเขาที่มีนิสัยทะเยอทะยาน และโหดเหี้ยม
เนื่องจากอวีเฟิงจงเกลียดจงชังหลางผิงเย่ จึงกลั่นแกล้งสารพัดเพื่อไล่หลางผิงเย่ออกจากสำนักแต่ไม่เคยสำเร็จ จนหลางผิงเย่ที่โดนกลั่นแกล้งหลายครั้งหลายหนเจ็บแค้นใจ จึงเริ่มฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่งจนได้สกิวเทพๆ กับrare itemกลับมาแก้แค้นตัวร้ายให้ได้รับความทุกข์ทรมานก่อนตายอย่างสาสม โดยมีสาวๆ ในฮาเร็มครอเครียอยู่ข้างๆ
'นายเป็นตัวอะไรกันเนี่ยทำไมถึงพูดอยู่ในหัวของฉันได้'
[สวัสดี ผมคือระบบปฏิบัติการกลบหลุม เพื่อให้พระเอกเฉิดฉาย ตัวร้ายตายอย่างภาคภูมิ ยินดีให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง]
'เอาจริงๆ นะผมถามหน่อยเถอะ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้'
[เพราะนิยายเรื่องบุปผางามในม่านหมอกเป็นผลงานของคุณ และเนื้อหาโดยรวมนั้นได้สร้างความไม่ประทับใจ ให้แก่นักอ่านอันทรงเกียรติเป็นอย่างมาก ระบบจึงได้นำดวงวิญญาณของคุณมา เพื่อแก้ไขให้นิยายเรื่องนี้กลายเป็นวรรณกรรมชั้นสูงอันทรงคุณค่า]
'แล้วเอาอะไรมาชี้วัดความสำเร็จในการรีไรท์นิยายเรื่องนี้ล่ะ'
[ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว อยู่ที่วิจารณญาณของนักอ่านอันทรงเกียรติ]
'งั้นก็ช่างเรื่องนั้นเถอะ ถึงจะรีไรท์ไปก็คงไม่ค่อยจะมีใครอ่านอยู่ดีนั่นแหละ'
[อย่าพึ่งเศร้าไป เพื่อให้ภารกิจประสบผลสำเร็จ ระบบพร้อมให้บริการด้วยใจ ระบบอยู่ข้างคุณ…]
'เอาเถอะจะพยายามเชื่อแล้วกันนะ
ว่าแต่ระบบผมทำดีกับพระเอกได้ใช่ไหม'
[ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคุณยังไม่สามารถปลดล็อกฟังก์ชัน oocได้]
'แล้วต้องทำยังไงผมถึงจะปลดล็อกได้ล่ะ'
[สะสมแต้มเพื่อปลดล็อกฟังก์ชัน และสวัสดิการอื่นๆ]
'เฮ้อ! ก็มีต้องทำให้เต็มที่ล่ะนะ ถ้าไม่อย่างนั้นมีหวังได้ตายอย่างทุกข์ทรมานอย่างที่สุดแน่'
ในขณะที่อวีเฟิงกำลังทบทวนเนื้อเรื่องในหัว ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น
"ท่านอาจารย์ตื่นแล้วหรือขอรับ ศิษย์กำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดี"ฝูหมิง ศิษย์เอกที่อวีเฟิงเอ็นดูที่สุดพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีนอบน้อม
ในนิยายที่ผมเขียน ฝูหมิงเป็นคนที่ฉลาดมีไหวพริบดีและรอบคอบ นิสัยใจคอถือว่าไม่ใช่คนที่เลวร้ายแต่เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ เขาถือว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่มีหน้าที่สอนศิษย์น้องคนอื่นๆ และดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ในยอดเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เรียกได้ว่ายอดเขาเย้ยเมฆาขาดอวีเฟิงได้ แต่ขาดฝูหมิงไม่ได้เป็นอันขาด..
ในตอนท้ายเรื่อง ฝูหมิงพยายามที่จะช่วยอวีเฟิงออกมาจากคุกใต้ดินเมื่อเขาได้รับรู้ว่าอวีเฟิงถูกพระเอกทรมาน จนสุดท้ายเขาก็ตายด้วยน้ำมือของพระเอก
"อืม"
"ท่านอาจารย์ขอรับ เจ้าสำนักซางเย่มารอพบอยู่ที่ห้องรับรองขอรับ"
"เข้าใจแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะรีบไป"แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของซางเย่ เขายิ้มละมุนพร้อมเดินเข้ามาในห้องก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง
"ไม่ต้องรีบก็ได้เฟิงเออร์..มาเถอะศิษย์พี่จะหวีผมให้กับเจ้า"
สตั้นสิครับรออะไรล่ะ นี่อย่าบอกนะว่ามาหาแต่เช้าแบบนี้เพราะอยากจะมาหวีผมให้น่ะ บ้าไปแล้ว!
"ที่ท่านมาหาข้าแต่เช้าเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ…"
"ย่อมใช่ ที่ข้ามาเพราะอยากหวีผมให้กับเจ้า"
"เฮ้อ! อยากทำอะไรก็ทำ"ผมนั่งนิ่งให้ซางเย่หวีผมให้อยู่แบบนั้น ส่วนฝูหมิงก็โค้งตัวลาก่อนเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
..ซางเย่เป็นตัวละครที่ผมรักมากพอๆ กับพระเอกเลยล่ะครับ ในนิยายเขาเป็นศิษย์พี่เจ้าสำนักที่แสนดี เขามีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ความสามารถ หรือชาติตระกูล ซางเย่ให้ความสำคัญต่ออวี่เฟิงอย่างไร้เหตุผลไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่อวีเฟิงต้องมาก่อนเสมอ และสุดท้ายเขาก็ตายเพราะปกป้องอวีเฟิง
นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ขาดเหตุและผลเป็นอย่างมาก เพราะไม่ได้เขียนเจาะลึกรายละเอียดอะไรมากมายนักเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล แค่ไม่ได้เขียนบรรยายถึงรายละเอียดลงไปก็เท่านั้นเอง
"...ท่านว่างถึงเพียงนี้เชียวหรือ"
"สำหรับเจ้า ศิษย์พี่มีเวลาว่างเสมอ..อีกไม่นานจะมีประชุมใหญ่ประจำเดือนของสำนัก เฟิงเออร์จะเข้าร่วมประชุมครั้งนี้หรือไม่"
[แจ้งเตือนภารกิจที่กำลังจะมาถึง:เข้าร่วมประชุมประจำเดือนของสำนักจันทราพิสุทธิ์ +200แต้ม]
[ตกลง/ยอมรับ]
"มันก็อีกตั้งหลายวันไม่ใช่หรือ"
"ย่อมใช่ แต่ศิษย์พี่อยากบอกเจ้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ "
"เข้าใจแล้ว..แค่ไปก็พอสินะ"
"ดียิ่ง ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่จะแจ้งเรื่องนี้ให้แก่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ทราบ"
"เรื่องเพียงเท่านี้ไม่จำเป็นต้องทำให้วุ่นวายนักหรอก"
"ได้อย่างไร เรื่องใดที่เกี่ยวกับเจ้าย่อมสำคัญที่สุดอยู่แล้ว"
"ตามใจท่านเถิด แต่นี่ก็สายมากแล้วท่านรีบกลับไปทำหน้าที่ของท่านเถิด อย่าให้ใครครหาเอาได้ว่าท่านไม่ใส่ใจการงานเพียงเพราะมัวแต่สนใจเรื่องของข้า"
"เข้าใจแล้ว เดี๋ยวศิษย์พี่จะมาหาเจ้าใหม่ในภายหลัง"
"อืม"
หลังจากที่ซางเย่กลับไปแล้ว ผมก็นั่งทบทวนเนื้อหาในนิยายต่อ
ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงตอนแรกๆ ของนิยาย ถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้หลางผิงเย่สถานะพระเอกของเรื่อง คงกำลังถูกข่มเหงรังแก หรือถูกศิษย์พี่คนอื่นๆ ใช้งานเยี่ยงทาสอยู่ละมั้ง
ในนิยายไม่ว่าพระเอกจะถูกข่มเหงรังแกยังไงก็จะก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี แต่ภายในใจกลับจดบัญชีแค้นเอาไว้อย่างครบถ้วนเพื่อรอเวลาเอาคืนอย่างสาสม จิตใจของพระเอกเริ่มเข้าสู่ด้านมืดทีละเล็กทีละน้อย จนสุดท้ายพระเอกก็กลายเป็นจอมมารผู้เลือดเย็นและสุดแสนจะร้ายกาจ
ก็นะ..นิยายพอร์ตตลาดก็มักจะมีเค้าโครงเรื่องประมาณนี้แหละ งั้น ผมขอไปดูหน้าพระเอกสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
อืม รูปร่างหน้าตาของพระเอกจัดว่าอยู่เหนือกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้พอสมควร ถึงแม้ตอนนี้พระเอกจะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ใบหน้าเปื้อนฝุ่นและมีรอยฟกช้ำอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่อาจกลบรัศมีของพระเอกได้เลยสักนิด
ถึงแม้ตอนนี้พระเอกจะมีอายุแค่สิบสี่ปีแต่ใบหน้าคมคายก็ฉายแววหล่อเหลาออกมาไม่น้อย ใบหน้าเรียบนิ่งแววตาเย็นชาปากนิดจมูกหน่อย ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูดี อืม มีรัศมีสมกับเป็นพระเอกจริงๆ นั่นแหละ
..งั้นตอนนี้ผมขอทดสอบความสามารถพระเอกในตอนนี้สักหน่อยแล้วกัน
ผมใช้วิชาบุปผาล่องนภา ส่งพลังปราณเข้าไปในกลีบดอกไม้ และใบไม้จากนั้นบังคับให้มันลอยหมุนวนอยู่รอบตัวพระเอก มาลองดูกันหน่อยซิว่าตอนนี้พระเอกจะมีความสามารถพอที่จะออกจากกรงขังนี้ได้หรือไม่
..แต่ดูเหมือนจะผิดคาด พระเอกไม่ได้พยายามที่จะออกจากกรงบุปผา กลับเลือกที่จะนั่งลงแล้วมองกลีบดอกไม้ที่บินวนรอบตัวอยู่นิ่งๆ
ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ นี่มันอะไรกัน อันที่จริงตอนนี้พระเอกมันต้องหาทางออกจากกรงบุปผานี้ให้ได้สิ ไม่ใช่มานั่งมองหน้าตาเฉยแบบนี้ พระเอกนายมัน ooc ชัดๆ
_
ข้านั่งมองกลีบดอกไม้และใบไม้ที่บินวนรอบตัวอยู่นิ่งๆ เพราะตอนนี้ข้าไม่สามารถทำอะไรได้ พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดนี่คือวิชาบุปผาล่องนภา และผู้ที่ใช้วิชานี้ได้บนยอดเขาเย้ยเมฆามีเพียงท่านอาจารย์ผู้เดียว เปล่าประโยชน์ที่จะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากกรงขังนี้ หากท่านอาจารย์ไม่สลายวิชานี้เองย่อมไม่มีใครสามารถฝ่าออกไปได้
แต่ช่างน่าแปลกนักที่กรงบุปผานี้ทำเพียงกักขังข้า มิได้โจมตีหรือสร้างบาดแผลให้ข้าแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่หากจะทำก็ทำได้โดยง่าย
'แปลก'
ตัวข้าไม่ได้โง่งมจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แม้ใจข้าจะเคารพท่านอาจารย์มากสักเพียงใด แต่อาจารย์มองข้าเช่นไร ปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ใจข้าย่อมรู้ดีที่สุด
ข้านั่งรออยู่ไม่นานนักท่านอาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นตามคาด ข้าลุกขึ้นยืนโค้งตัวทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ
"กรงบุปผาระดับต่ำเพียงเท่านี้เจ้ากลับไม่มีความกระตือรือร้นที่จะออกมาช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก"
เมื่อท่านอาจารย์โบกมือครั้งหนึ่งกรงบุปผาที่ลอยบินวนอยู่รอบตัวข้าก็หายไปราวกับไม่เคยมี กรงบุปผาระดับต่ำของท่านแม้แต่ผู้ฝึกตนที่บำเพ็ญเพียรมาหลายสิบปีก็ยังมิอาจฝ่าออกมา ได้นับประสาอะไรกับข้าที่เข้าสำนักเซียนยังไม่ทันครบปีด้วยซ้ำ
"ศิษย์ไร้ความสามารถขอท่านอาจารย์โปรดสั่งสอน"
"ตอนนี้พลังปราณของเจ้าอยู่ในระดับใด"
"ศิษย์โง่เขลายังไม่อาจเข้าถึงปราณสมาธิได้ขอรับ"
"เช่นนั้นเจ้าจงฝึกตามตำราเล่มนี้ อีกสามวันอาจารย์จะทดสอบเจ้า"
"..ขอรับ"ข้ารับตำราที่ท่านอาจารย์ให้มาอย่างลังเล นี่มันตำราฝึกปราณขั้นพื้นฐาน ที่ท่านอาจารย์เป็นผู้เขียนเอง และแน่นอนว่ามันต้องเป็นวิธีที่แตกต่างจากตำราฝึกปราณทั่วไปอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นตำราฝึกปราณทั่วไป ผู้ฝึกจะนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบจับกระแสปราณจากภายนอก ทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง
แต่ตำราฝึกปราณของท่านอาจารย์ย่อมมิใช่เช่นนั้น มันไม่จำเป็นต้องดูดซับเพื่อแปรเปลี่ยน แต่เป็นการควบคุมพลังฟ้าดินให้กลายเป็นพลังของตนเองเลยต่างหาก
ช่างเป็นตัวตนที่สูงส่งและถือดี การกระทำเย้ยฟ้าท้าสวรรค์เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าทำนอกจากท่านอาจารย์เพียงผู้เดียว...เอ่อ ตอนนี้กำลังจะมีข้าด้วยอีกคน
•
•
[แจ้งเตือน:คุณได้รับ +20 แต้มจากสถานะความลึกลับด้านจิตใจ รวม+120 แต้ม ขอให้คุณพยายามรนหาที่ตายต่อไป]
ก็...คงเป็นเรื่องที่ดีละมั้ง? สรุปที่ทำไปเมื่อครู่ไม่ ooc งั้นสินะ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ…
ขอบคุณสำหรับการติดตามผลงานของนามิ
รักreaderทุกคนค่ะ
จากใจ
นามิแค่อยากอ่านนิยาย
จุ๊บๆ