หลังจากนั้นไม่นาน จวนสกุลไป๋ก็มีงานมงคล
ทว่าแววตาของผู้อาวุโสแต่ละคนกลับไร้แววชื่นมื่นมิหนำซ้ำบนใบหน้ายังไร้รอยยิ้มสุขใจอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่เสแสร้งฝืนใจแกล้งทำท่าทียินดีก็ยังไม่มี
ยิ่งได้เห็นผู้เป็นเจ้าสาวเดินเข้ามาในโถงพิธีก็แทบเมินหน้าหนี แต่ฤกษ์งามยามดีเช่นนี้จะทำเมินได้อย่างไร พวกเขาจำต้องทำตามขั้นตอนให้เสร็จสิ้นไปแต่โดยดี บุตรสาวผู้นี้ไม่สมควรอยู่สกุลไป๋อีกต่อไปแม้แต่เค่อเดียว
ท่ามกลางผู้คน สายตานั้นของผู้อาวุโสบ้านตน แม้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงแต่ไป๋เล่อชิงก็ยังรับรู้ได้
ทว่าแล้วอย่างไร? ใครอยากสนใจกัน?
ตอนนี้นางเหนื่อยแล้ว พอแล้ว
ในเมื่อไม่เคยมีใครใส่ใจ ไม่เคยเห็นค่าเลยสักครา นางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแม้แต่เค่อเดียวเช่นกัน
การแต่งงานและออกไปให้พ้นๆ คนสกุลไป๋แห่งนี้คือหนทางเดียวเท่านั้น!
ไป๋เล่อชิงเชิดหน้าเย่อหยิ่ง ท่าทีจองหองทะนงตนขณะก้าวเท้าเดินออกจากจวนไป๋อย่างแน่วแน่มั่นคง
ไม่คิดหันหลังกลับมาอีก!
เรือนสกุลอู๋
หลังเสร็จสิ้นพิธีการ กระทั่งส่งตัวเจ้าสาวมานั่งรอในห้องหออย่างสงบเสงี่ยม
เจ้าบ่าวอยู่ร่วมดื่มสุรารับคำอวยพรที่โถงหน้าเสร็จย่อมถึงเวลามงคลที่แท้จริง
เวลาล่วงเลยอย่างเชื่องช้า ในที่สุดเจ้าบ่าวก็เข้ามาตามฤกษ์งามที่กำหนดเอาไว้
ผ้าคลุมหน้าถูกเปิดออก ไป๋เล่อชิงจึงเห็นเจ้าบ่าว นางเงยหน้ามองเขาเงียบงัน มีแววขัดเขินกระดากอายอยู่ในดวงตานั้น ทว่ากลับน้อยกว่าแววสำนึกผิดอ่อนจาง นางเห็นเขาค่อยๆ หย่อนกายนั่งลงตรงขอบเตียงด้านข้างด้วยสีหน้าราบเรียบยากหยั่งถึงห้วงอารมณ์ หรือบางที เขาอาจเป็นคนที่ไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
อู๋หมิง คือนามของเขา
บุรุษร่างสูง หน้าตาคมสัน บุคลิกนิ่งขรึมเย็นชา ไม่ค่อยพูดจา หากถามว่าหล่อเหลางามสง่าหรือไม่ก็คงตอบได้ว่าใช่ เพียงแต่อาจไม่เต็มปากนัก
เนื่องจากตัวเขามีท่วงท่าทึมทื่อไปสักหน่อย ทั้งยังดูใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ทันคนและไร้เดียงสาไม่น้อย
บุรุษส่วนใหญ่ที่สตรีพึงใจล้วนต้ององอาจผึ่งผายปราดเปรียวเฉลียวฉลาดโดดเด่น
แต่อู๋หมิงผู้นี้กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะตอนที่เขาทำหน้านิ่งๆ อึมครึมเช่นนี้ ช่างดูเรียบเฉยไร้เสน่ห์เหลือเกิน
ไม่โดดเด่นดึงดูดสายตาเอาเสียเลย
กระนั้นไป๋เล่อชิงกลับมิได้รังเกียจเลยสักนิด
ดีเสียอีก จะได้ไม่มีสตรีอื่นมาแย่งชิงให้ปวดหัว
การแต่งงานที่จวนตัวกับเขา ในข้อหาไร้ยางอาย เป็นสตรียังไม่ออกเรือนกลับอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง คล้ายหนีตามกันวันนั้น ทำตัวเสื่อมเสียฉาวโฉ่จนจวนไป๋รีบแต่งให้นางออกจากบ้านวันนี้ ก็เป็นนางเองที่ลงมือกระทำอย่างสมยอม
ก่อนนี้นางมีคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ นามว่าฉางเฟิง ตั้งแต่เยาว์วัยพวกเราตกลงคบหาหมายหมั้นพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นแต่งงาน
แต่ทว่ายิ่งเติบใหญ่ ฉางเฟิงก็ยิ่งรูปงามหล่อเหลาเปี่ยมสง่าราศีเป็นที่พึงใจของอิสตรี
ในขณะที่พี่หญิงของนาง เดิมทีไม่เคยสนใจหรือมีความเสน่หาต่อฉางเฟิงกลับเข้าหาเขาอย่างจงใจ
และฉางเฟิงก็หวั่นไหว!
ท้ายที่สุดเขาก็เปลี่ยนใจจากนางอย่างสิ้นเชิง...
แน่นอนนางเสียใจ แต่สิ่งที่ช้ำใจยิ่งกว่าคือผู้อาวุโสที่บ้านสกุลไป๋ล้วนเป็นใจให้สองคนนั้นแต่งงานกัน
ช่างไร้มโนธรรม!
และสาเหตุที่ผู้อาวุโสเห็นดีเห็นงามให้เกี่ยวดองกับพี่สาวก็เพราะฉางเฟิงร่ำเรียนจนสามารถเข้าสอบเคอจวี่และได้ซิ่วไฉ ส่วนนางที่ไม่ใช่ลูกรักก็ถูกผลักไสเหมือนเคย
ในอดีตเพราะมารดาของนางมีนิสัยร้ายกาจเป็นที่เลื่องลือ แม้นางทำตัวแสนดีย่อมมีคดีติดตัวมิอาจลบล้าง และยามนี้บุตรสาวของนายหญิงรองผู้ล่วงลับเช่นนาง ไหนเลยจะสู้บุตรสาวของนายหญิงใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่
ที่สำคัญแม่เลี้ยงยังมีบุตรชายค้ำชู ไม่บอกก็รู้ว่านางที่ตัวคนเดียวไร้มารดาไม่มีพี่หรือน้องชายร่วมอุทร ต้องเจอนรกขุมไหน ไม่ว่าจะทนกัดฟันยืนหยัดอย่างไร ก็ต้องแพ้พ่ายในทุกวัน
พี่หญิงได้แต่งงานกับฉางเฟิง ส่วนนางต้องแต่งงานตามการตัดสินใจของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ
วันนั้น นางบังเอิญแอบได้ยินท่านพ่อกับแม่เลี้ยงพูดคุยกันว่าจะให้นางแต่งกับพ่อหม้ายผู้ร่ำรวย พอไปสืบถึงรู้ว่าคนผู้นั้นแก่กว่านางยี่สิบกว่าปี มีร้านค้ามากมายเป็นสินสอดสู่ขอ แต่เขามีอนุเต็มเรือน ลูกหลานครบถ้วน ในจวนที่กำแพงสูงลิบนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ ปัญหาเยอะ มีทั้งนายท่านผู้เฒ่าบ้าอำนาจ นายหญิงผู้เฒ่าที่เคร่งจารีตแต่ลำเอียงรักบุตรหลานผู้ชายเป็นที่สุด เห็นบุตรหลานผู้หญิงเป็นขยะไร้ค่า
ทั้งยังมีท่านลุง มีท่านอา รวมกันหลายคน และมีบุรุษที่แต่งสะใภ้คนแล้วคนเล่ารับอนุไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นครอบครัวถ้ำเสือรังหมาป่าเฉกจวนไป๋ทุกประการ
ซึ่งนางไม่มีทางแต่งกับคนบ้านนั้น และนั่นจึงทำให้เกิดการแต่งงานระหว่างนางกับอู๋หมิงในวันนี้
คืนนั้น ที่หออวิ๋นเซียว นางเมามายอย่างจงใจ ส่วนเขาก็เมาเหล้า ‘ชนิดพิเศษ’ ที่นางรินให้
นี่คือแผนการสิ้นคิดอย่างที่สุดในชีวิตนี้ของนาง กระนั้นก็ยังกล้าตัดสินใจทำ!
นางไร้ยางอายหรือ?
ไม่หรอก! นี่คือการเอาชีวิตรอดต่างหาก
นางทำถูกแล้ว... ต่อให้ย้อนกลับไปได้ก็ยังจะทำ! มันเป็นวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากว่าที่สามีเฒ่าบ้ากามและไม่ต้องพบเจอครอบครัวสามีที่เหมือนตระกูลไป๋ทุกอย่าง
ท่ามกลางกลิ่นอายมงคล
ไป๋เล่อชิงตกอยู่ในภวังค์ห้วงคำนึงแห่งตนนิ่งนาน จนผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องกระแอมไอเพื่อเรียกสติ
“คุณหนูไป๋ ไม่นอนหรือไร?”
น้ำเสียงราบเรียบและห้าวห้วนทำไป๋เล่อชิงสะดุ้ง นางยิ้มแห้ง “นอนสิ นอนเจ้าค่ะ”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นปลดชุดมงคลออกและถอดเครื่องหัวออกด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่ว แต่ไหนแต่ไรนางต้องอยู่แบบช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด แค่ถอดชุดจึงไม่นับว่ายากอันใด
ใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับมาที่เตียงนอน
“มาเถอะท่านพี่ ข้าปลดชุดให้”
“ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” อู๋หมิงเอ่ยเสียงเนิบเช่นเดิม ปลดอาภรณ์สีแดงลงกองบนพื้นห้องอย่างไม่ใส่ใจ
ไป๋เล่อชิงนึกขึ้นได้ “จริงด้วยท่านพี่ พวกเรายังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลกันเลย”
อู๋หมิงปรายตามองสุรากับขนมมงคลบนโต๊ะนิ่งๆ ก่อนหันกายเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ด้วยท่าทีราบเรียบเฉยเมยพลางว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เจ้าคงไม่ใส่ยาแปลกๆในเหล้าอีก ใช่หรือไม่?”
วาจาเขาทำไป๋เล่อชิงขนลุกซู่ ลำตัวชาวาบ
ใช่แล้ว คืนนั้น ที่นางมอมเหล้าเขา ล้วนยากปิดบัง
อู๋หมิงรู้ความจริงว่านางตั้งใจให้เกิดเรื่องราววสันต์ ไม่ใช่ล่วงเกินนางอย่างมิอาจหักห้ามใจเพราะความเมา เขารู้กระทั่งว่าเหตุที่ตัวเองเมามายจนควบคุมตัวเองมิได้ล้วนเป็นเพราะฤทธิ์ยามิใช่ฤทธิ์สุราเหมือนที่คนอื่นเข้าใจ
เขายอมรับผิดว่าดื่มเหล้าจนขาดสติจึงล่วงเกินนาง และขอรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่พูดถึงอาการผิดปกติจากการดื่มเหล้าสักนิด
และก็ใช่อีกเช่นกันที่นางมองเขาผิดไปอย่างมหันต์ อู๋หมิงมิได้เป็นบุรุษทึมทื่อใสซื่อเฉกรูปลักษณ์ภายนอก!
หวังว่าชีวิตหลังแต่งงานจะไม่กลายร่างเป็นชิ้นเนื้อบนเขียงให้ผู้เป็นสามีสับจนเละหรอกนะ!