เพื่อนเก่าที่เย็นชา
พ่อ : ลูกยื่นเรื่องลาออกหรือยัง
พ่อ : แล้วจะกลับบ้านวันไหน อย่าดื้อนะใบชา เดือนนี้พ่อไม่โอนค่าคอนโดให้แล้วนะ แค่ค่าที่พักเดือนหนึ่งก็เกือบสองหมื่น ตอนนี้ที่บ้านเรามีปัญหา อะไรประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัด
ฉันอ่านข้อความพวกนั้นที่พ่อส่งมากดดันเกือบทุกวัน มองกระเป๋าสามใบที่เก็บข้าวของทุกอย่างไว้ในนั้นจนครบทุกชิ้น ในห้องว่างเปล่า...ว่างเปล่าพอๆ กับความรู้สึกของฉัน
ฉันลากกระเป๋าทั้งสามใบมาไว้หน้าห้อง ทุกอย่างเลื่อนลอย อยากหายไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หากก็ยังมีบางสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้บ้างคือประตูห้องตรงข้าม เดินไปกดออด และเฝ้ารอ ถ้าหากประตูบานนี้ไม่เปิดออก หัวใจฉันคงไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งได้แล้วจริงๆ
แม้จะมีน้ำหนักแค่น้อยนิด หากมันก็ยังดีกว่าปล่อยให้หัวใจหลุดลอยไป เจ้าของห้องเปิดประตูออกมา ด้วยสภาพที่เพิ่งตื่น ผมเผ้าที่เริ่มยาวแล้วรุงรัง หากไม่ได้ทำให้เขาหล่อน้อยลงเลย...แม้สายตาที่ปกติก็เย็นชาอยู่แล้วจะเพิ่มความหงุดหงิดเข้ามาอีกก็ตาม แต่ก็ทำให้ฉันยิ้มให้เขา...ไม่มีใครที่รู้สึกอยากยิ้มให้อีกแล้ว
“ฟาร์ม ชาจะไม่อยู่แล้วนะ” ไม่รู้ว่าจะไปไหน...หรือหากไม่อยู่แล้วก็อยากบอกใครสักคนเอาไว้ คนที่ปกติมักจะมีแค่ความเฉยเมยบนใบหน้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะมองเลยหลังฉันไป
“จะย้ายห้องเหรอ” เขาน่าจะเดาจากระเป๋าที่วางอยู่หน้าห้อง
“อืม พ่อบอกไม่จ่ายค่าห้องให้แล้ว” ฉันยิ้มจางๆ แม้ในอกจะขื่นขมแค่ไหนก็ตาม
“ได้ห้องใหม่แล้วเหรอ ไปยังไง ให้ไปส่งไหม” คำถามนั้นทำให้แปลกใจนิดหน่อยที่ฟาร์มดูสนใจ จนเสนอตัวจะช่วยเหลือ แม้หากลองนึกดูจริงๆ แล้วฟาร์มก็คอยช่วยเหลือฉันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แม้เขาจะไม่ชอบพูดและทำหน้าไร้ความรู้สึกก็ตาม
แต่พอเราไม่เจอกันปีกว่า การกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมคณะมันก็ดูห่างเหิน เขาพูดน้อยเป็นทุนเดิม ฉันก็ไม่กล้าเข้าหา ด้วยความเป็นคนไม่กล้า...และด้วยความรู้สึกลึกๆ ในหัวใจ และนับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าฟาร์มห่างไกลจากฉัน...แม้ตอนที่ฟาร์มย้ายมาอยู่ห้องตรงข้าม ใกล้กันแค่นี้ แต่ระหว่างเรามันก็ยังเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นอยู่
มีช่วงสองสัปดาห์นี้ที่เราดูเหมือนจะคุยกันมากขึ้น ฟาร์มมักจะมาเคาะห้อง ซื้ออะไรมาฝาก หรือเข้ามานั่งเล่นด้วยสักพัก บางคืนก็อยู่เป็นเพื่อนจนฉันหลับ เขาคงเป็นห่วง หลังจากที่ฉันเพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปเมื่อช่วงปิดเทอม พอฉันเริ่มดีขึ้น ฟาร์มก็ไม่ได้มาทุกวันเหมือนแรกๆ ไม่ได้เจอเขาสองวันแล้ว เป็นสองวันที่จู่ๆ โลกของฉันก็พลันมืดมนลงมาได้ขนาดนี้
“ยังไม่ได้หาไว้เลยฟาร์ม”
“แล้วต้องย้ายออกวันนี้เลยเหรอ”
“อืม คืนห้องแล้วเนี่ย”
“แล้วคืนนี้จะไปอยู่ไหน ให้หาห้องช่วยไหม”
“ขอบใจนะฟาร์ม แต่เอาไว้ก่อนได้ไหม ขอขึ้นไปสูดอากาศสักหน่อย ไปลาดาวพลูโตก่อน จะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” ที่ที่ฉันมักจะเจอกับฟาร์มบ่อยที่สุดคงเป็นดาดฟ้าคอนโด...ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับดาดฟ้าที่บ้านที่สุดแล้ว
“เอากระเป๋ามาไว้ในห้องก่อนไหม” ข้อเสนอของฟาร์มทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง มันทำให้ความรู้สึกหนักๆ ข้างในหัวใจเบาโหวงได้เลยละ เพราะมัวแต่งง ฟาร์มมองฉันนิ่งๆ มองไปที่กระเป๋าสามใบที่หน้าประตู แล้วก็เดินผ่านตัวฉันไปเพื่อลากมันมาไว้หน้าห้องเขา
“เอาไปไว้ในห้องให้นะ ถ้าเธอจะออกไปตอนไหนก็แวะมาเอา หรือจะให้พาไปหาห้องก็บอก”
ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ ให้เขา จนความอบอุ่นมันวาบไปทั่วทั้งอกอย่างชัดเจน ยิ้มแทนคำขอบคุณ
“ขอบใจนะ” ฉันโค้งตัวให้เขาเล็กๆ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินไปตามทางเดิน จนไปถึงบันไดหนีไฟที่จะพาฉันไปยังดาดฟ้าคอนโด พอเปิดประตูออกไปก็ต้องชะงักกับเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา เม็ดเล็กๆ ที่พอฉันเดินฝ่าก็ทำให้เย็นชุมชื่น ไม่ถึงกับเปียกปอน
เดินไปเกาะราวระเบียงในที่สุด มองท้องฟ้าที่ไม่เคยเห็นดาวบนนั้น ทั้งแสงไฟ ทั้งฝุ่นในกรุงเทพฯ ทำให้ไม่อาจเห็นดาวบนท้องฟ้าเหมือนเชียงราย
ฉันก้มมองไปเบื้องล่างที่มีแต่ความมืดและลึก ด้วยความรู้สึกกลัวมันมากกว่าที่คิด ก่อนหน้านี้มันมีความรู้สึกที่อยากอยู่ในสภาวะทิ้งตัว...
“ว้าย” หัวใจฉันหล่นวูบเมื่อจู่ๆ ก็ถูกคว้าตัวจากด้านหลัง รีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนที่กอดฉันอยู่ในตอนนี้ชัดๆ หัวใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวก็พลันสงบลงวูบหนึ่ง ก่อนจะเต้นรัวอีกครั้งด้วยจังหวะที่ต่างกัน
ฟาร์มกอดฉัน กดศีรษะฉันแนบอก มันรู้สึกมึนงงในตอนแรกก่อนที่จะตื้นตันในอกเมื่อเหมือนจะรับรู้ถึงอ้อมกอดนี้ได้...อยากร้องไห้จัง
ฉันกอดเขาแน่น แล้วไม่รู้ว่าน้ำตามันมาจากไหนมากมายแบบที่ฝนที่เริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นไม่อาจล้างได้หมด สะอื้นจนเจ็บแน่นในอก ฉันเก็บน้ำตาข้างในนี้ไว้มากขนาดไหนกัน ทำไมพอปล่อยให้ตัวเองร้องมันถึงพังทลายได้ขนาดนี้
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ฟาร์มถึงดึงฉันกลับเข้าไปด้านใน แต่เราก็ยังยืนอยู่หลังประตูบานนั้น ยืนพิงกำแพงคนละมุมปล่อยให้ความเงียบสื่อสาร ฟาร์มจูงมือฉันเดินลงบันได...รู้สึกว่ามือเขาอุ่นมากเลย
ฟาร์มพาฉันเข้าไปในห้องเขาโดยไม่พูดอะไร หันมามองหน้าฉันชั่ววินาทีหนึ่งก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้ เข้าใจว่าเขาต้องการให้ทำอะไรจึงรับมันมา ทำตัวเบาๆ ให้เขาจูงแขนไปที่ห้องน้ำ
เปิดฝักบัวชำระร่างกายที่เปียกปอนทั้งเสื้อผ้า สายน้ำเย็นๆ ทำให้สมองโล่งขึ้นมาได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวในตอนนี้ รีบถอดเสื้อผ้าออกแล้วอาบน้ำให้เรียบร้อย พอเสร็จก็จำเป็นต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั้นออกมา
ตอนนี้ฟาร์มเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เขามองฉันแว่บหนึ่งแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อตัวเองส่งให้ ยังเป็นความรู้สึกลอยๆ เลยหยิบเสื้อยืดตัวโคร่งของเขามาสวม มันยาวเกือบจะคลุมเข่าเลยละ
ฟาร์มดึงมือฉันไปนั่งบนเตียงของเขา หยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาเช็ดผมให้ นั่งมองเขาตาปริบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาตัวเบาๆ ที่ถูกเขาจับทำนู่นทำนี่
“ฟาร์มไม่อาบน้ำเหรอ จะไม่สบายนะ” พอฉันถามสายตาคมกริบก็ฉกวูบลงมา ฟาร์มโยนผ้าขนหนูที่กำลังเช็ดผมฉันทิ้ง...แล้วก็พาฉันขึ้นไปนอนบนเตียง เพิ่งรู้ว่าเตียงเขาเล็กกว่าห้องฉัน มันน่าจะแค่สามจุดห้าฟุต ทำให้ฉันต้องนอนเกยบนตัวเขาไปครึ่งหนึ่ง ฟาร์มตัวโต แต่ดีที่ฉันตัวเล็กก็เลยนอนแบบนี้ได้โดยไม่ตกเตียง...แต่ถ้าขยับสักหน่อยก็มีความเสี่ยง
ฉันนอนหนุนไหล่เขาแบบมึนๆ เกร็งๆ เล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งเลยถึงรู้สึกอยากยิ้ม ขยับตัวเบียดเขามากขึ้น มือที่วางแหมะบนหน้าท้องเขาเลื่อนไปกอดเอว
“ตัวอุ่นจังฟาร์ม” ตัวเขาอุ่นมาก แบบที่ทำให้หัวใจฉันอุ่นด้วย
“แต่ทำไมที่ผ่านมาถึงเย็นชาจัง” ยิ่งคิดก็ยิ่งงอน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด...ไม่เจอกันแค่ปีกว่าแต่ทำตัวห่างเหิน...ห่างไกล
เหมือนฟาร์มจะก้มลงมอง ฉันก็เลยเงยหน้ามองเขา ในความนิ่งนั้นเขาดูมีแววสงสัยเล็กๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้น เอ่ยถาม
“เย็นชา ยังไง” ทำหน้าเหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าเย็นชาเป็นแบบไหนอย่างนั้นแหละ ฉันถอนหายใจ เขาจะไม่รู้ได้ยังไง ก็ตั้งใจเมินกันเอง...หรือเปล่า
“คือไม่อุ่นเหรอ” เขาถามเหมือนสงสัยจริงจัง แต่ในแว่บหนึ่งก็เห็นเหมือนมีประกายวูบไหวในดวงตาคู่นั้น...เขายิ้มหรือเปล่า ยังมองไม่ชัดเลยเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นขยับเข้ามาใกล้มาก จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และความอุ่นวาบบนริมฝีปากฉัน
ฟาร์มจูบ...แบบนี้หรือเปล่าคือความอุ่น ที่ฟาร์มต้องการปฏิเสธข้อกล่าวหา “เย็นชา” นั้น
หวนนึกถึงจูบนั้นของเรา