"งานใหญ่เลยนะเนี่ย" สื่อมวลชนที่ถูกเชิญมาร่วมงานในคืนนี้รับรู้แค่ว่าเป็นการร่วมหุ้นของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่แค่นี้พวกนักข่าวก็ตื่นเต้นกันมากแล้ว เพราะส่วนมากถ้าอนันต์ไพศาลจัดงานนักข่าวสื่อมวลชนทั้งหลายจะเข้ามาร่วมงานแบบนี้ไม่ได้นอกจากรออยู่นอกงาน แต่ในครั้งนี้ถูกเชิญเข้ามาในงานและมีที่นั่งให้พร้อมสรรพ
"สวัสดีครับ" ไม่นานเจ้าของงานก็ได้กล่าวทักทายแขกที่มาร่วมงานเลี้ยง "ผมต้องขอบคุณแขกทุกท่านรวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยอมสละเวลามาร่วมงานการร่วมหุ้นของสองบริษัทเรา"
"กระผมนายณภัทร อนันต์ไพศาล มีเรื่องจะแจ้งอยู่ด้วยกันสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือการร่วมหุ้นอย่างที่ทุกคนรับรู้มาก่อนหน้าแล้ว และอีกเรื่อง...." อีกเรื่องณภัทรแค่เกริ่นทิ้งท้ายไว้แต่ก็ยังไม่แจ้ง และมันก็ทำให้คนที่มาร่วมงานอยากรู้มากว่าอีกเรื่องคืออะไร มันต้องเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้เรื่องร่วมหุ้นแน่
แต่ในเมื่อเจ้าของงานยังไม่เอ่ยทุกคนเลยต้องรอฟังตอนที่เจ้าของงานพร้อม
"ขอเชิญคุณนิรากร เทวทิพย์ ขึ้นมากล่าวอะไรหน่อยครับ" นิรากร เทวทิพย์ ก็คือผู้ที่จะมาร่วมหุ้นด้วย
นิรากรก้าวขึ้นบนเวทีก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้น
"สวัสดีแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนทุกท่าน" และนิรากรก็กล่าวอะไรอีกเล็กน้อยเพราะผู้ร่วมหุ้นได้กล่าวไปเยอะแล้ว จนมาถึงช่วงที่นิรากรเชิญบุคคลอีกท่านหนึ่งขึ้นมา
".........." เธอไม่คิดว่าพ่อจะเรียกขึ้นเวทีด้วย เพราะวันนี้ท่านบอกว่าแค่มาร่วมงาน คำพูดก็ไม่ได้เตรียมมาด้วยพ่อนะพ่อ
"นิวเยียร์ลูกสาวคนสวยของผมเองครับ" จบคำพูดทุกคนก็ปรบมือเพื่อเชิญให้เธอขึ้นเวที ไม่ค่อยมีใครเห็นหน้าบุตรสาวของนิรากรหรอกเพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ วันนี้ถ้าไม่ใช่งานใหญ่ของพ่อ เธอก็คงไม่บินกลับมาร่วมงานด้วย
สาวสวยร่างระหงที่อยู่ในชุดราตรีสั้น เครื่องประดับราคาแพงบนเรือนร่างของเธอรวมแล้วหลายล้านได้ส่องประกายแวววับไม่ต่างจากเรือนร่างที่สวยงามของเธอเลย
"ลูกสาวของผมใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็นออกงานกับพ่อ"
เสียงชื่นชมในความสวยงามก็มีดังขึ้นมาบนเวทีบ้างไม่ขาดสาย
"สวัสดีค่ะ" นิวเยียร์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อให้ขึ้นมาทำไม เธอเลยกล่าวแค่คำว่าสวัสดีตามมารยาทไทยๆ
"เริ่มกันเลยไหม" ณภัทรหันไปปรึกษาผู้ร่วมหุ้นอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ จังหวะเดียวกันนั้นพนักงานที่รอสแตนด์บายอยู่ก็นำเอกสารมาวางลงบนโต๊ะ
"ไปเซ็นสิลูก"
"?" นิวเยียร์ยืนงงทำไมพ่อถึงให้เธอเป็นคนเซ็นร่วมหุ้นเอง
นิรากรมองหน้าลูกสาวแล้วก็พยักหน้า เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ลูกทำตามที่พ่อพูด
"ทำไมพ่อไม่เซ็นเองล่ะคะ" นิวเยียร์กระซิบถามพ่อ
"เราเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ ทุกอย่างที่พ่อสร้างขึ้นมามันก็ต้องตกไปอยู่กับลูกอยู่แล้ว"
"แต่พ่อคะ" พ่อยังแข็งแรงทำไมต้องรีบมอบหุ้นมาให้เธอด้วย ..ตอนที่กำลังจะพูดเรื่องนี้สายตาเธอก็ได้มองลงไปดูผู้คนที่กำลังมองให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่
"ไปเซ็นสิลูก เสียเวลาคนอื่นเขา"
นิวเยียร์เลี่ยงไม่ได้เลยเดินไปนั่งลงเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้แล้ว พร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมาลงนาม
หลังจากที่เธอเซ็นลงไปแล้วบริษัทผู้ร่วมหุ้นถึงเซ็นตาม เพราะถ้าเธอไม่เซ็นถือว่างานนี้เป็นโมฆะ พอเห็นว่าเธอเซ็นณภัทรก็รีบเซ็นชื่อตัวเองตามลงไปในเอกสารอีกฉบับหนึ่ง หลังจากที่บริษัทผู้ร่วมหุ้นทั้งสองเซ็นลงไปแล้วก็มีเจ้าหน้าที่สลับเอกสารเพื่อให้อีกฝ่ายได้เซ็นร่วมกันทั้งสองฝ่าย
นิวเยียร์หันไปมองหน้าพ่อ และท่านก็พยักหน้าอีกรอบให้เธอเซ็นลงไป
หลังจากการเซ็นร่วมหุ้นจบลงเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกรอบ และทุกคนก็กล่าวแสดงความยินดีกับทั้งสองบริษัท
"เชิญคุณนาคราชขึ้นมา" ณภัทรหันไปบอกผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่นานคนที่ท่านบอกให้เชิญก็ขึ้นมาบนเวที
"สวัสดีครับพ่อ" เขาคือบุตรชายคนโตของณภัทรชื่อนาคราช
นิวเยียร์ที่คิดว่าตัวเองจบงานแล้วกำลังจะลงจากเวที แต่เธอก็ถูกผู้เป็นพ่อรั้งไว้ก่อน
"มาตรงนี้สิลูก" นิรากรจูงมือลูกสาวให้เดินเข้ามาใกล้ลูกชายของหุ้นส่วนที่เพิ่งขึ้นมาบนเวที
"พ่อคะ?" เธอเริ่มใจไม่ดีแล้วแต่จะทำอะไรตอนนี้ก็ไม่ได้
"ทุกคนคงอยากรู้แล้วว่าอีกเรื่องที่คุณณภัทรพูดไว้ก่อนหน้าคือเรื่องอะไร" พูดออกมาแค่นี้ไม่ต้องบอกก็คงพอจะเดาได้ไม่ยากเพราะเห็นเห็นกันอยู่
"พ่อ!" ดวงตางามส่องประกายตำหนิผู้เป็นพ่อ แต่พ่อกลับไม่มองมาดูใบหน้าของลูกสาวเลย
"นิวเยียร์คือลูกสาวคนเดียวของผม ผมอยากจะฝากลูกสาวอันเป็นที่รักให้กับคนที่ผมไว้วางใจว่าจะดูแลลูกสาวของผมได้"
นิวเยียร์หันขวับมองไปดูผู้ชายคนที่ตั้งแต่ขึ้นบนเวทีมายังไม่มองหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย ..นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
"เราสองตระกูลนอกจากจะเป็นผู้ร่วมหุ้นกันแล้วเราก็กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกันครับ กระผมขอใช้ฤกษ์ดีในวันนี้หมั้นหมายให้กับเด็กทั้งสอง" จบคำพูดของณภัทรคนที่ร่วมงานอยู่ต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดี เสียงนี้ดังกว่าตอนที่ทั้งสองบริษัทเซ็นร่วมหุ้นกันเสียอีก..
"หมายความว่ายังไงคะพ่อ" ดูเธอจะตกใจแค่คนเดียว แต่ฝ่ายชายยังคงนิ่งมากเหมือนเขาจะรู้แล้ว
"เราก็อายุอานามเหมาะที่จะมีครอบครัวแล้ว"
"พ่อจะคลุมถุงชนหนูเหรอคะ"
"นิวเยียร์ฟังพ่อสักครั้งได้ไหม"
"พ่อไม่เคยทำแบบนี้กับหนู"
"พ่อก็แก่มากแล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้"
"พรุ่งนี้หนูจะบินกลับ"
"แอะๆ" ตอนที่ได้ยินลูกบอกจะบินกลับคนเป็นพ่อก็แน่นหน้าอกขึ้นมาหายใจหอบ
"พ่อคะ" หญิงสาวรีบเข้าไปประคองพ่อไว้ สายตาเธอมองไปดูผู้คนที่ร่วมงาน ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับบนเวทีนี้มาก แต่เธอคงไม่ให้สายตาใครมาตัดสินชีวิตของเธอหรอก ผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ยังไม่รู้ อยู่ดีๆ จะมาหมั้นหมายให้กับเธอ
"สิ่งที่พ่อสร้างมาพ่อกลัวว่ามันจะสูญเปล่า นาคราชสามารถช่วยหนูดูแลทุกอย่างได้" ท่านหมายถึงบริษัทที่ก่อตั้งมาด้วยน้ำพักน้ำแรง พ่อรู้จักลูกสาวเป็นอย่างดีถ้าไม่มีท่านแล้วลูกก็คงจะไม่มาดูดำดูดีบริษัท
"พ่อพูดเหมือนว่าตัวเองจะตายวันนี้พรุ่งนี้อย่างนั้นแหละ" เธอโมโหถึงพูดออกไปแบบไม่คิดไตร่ตรองก่อน แต่คำตอบที่ได้จากแววตาของพ่อทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย "พ่อเล่นละครหรือเปล่า" ทีแรกก็คิดว่าพ่อเล่นละครนั่นแหละ แต่พอมองแววตาแล้วเหมือนท่านเหนื่อยมาก
แม่ของเธอเสียมาหลายปีแล้ว พ่อก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอด ตั้งแต่แม่เสียเธอก็ทำใจไม่ได้จะว่าเธอเป็นหนักกว่าพ่อเลยก็ได้ จนไม่อยากกลับมาประเทศไทยอีก แต่ถ้าเหตุการณ์แบบเดิมมันเกิดซ้ำ ถ้าพ่อจากไปอีกคนล่ะเธอยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นผู้เป็นคนต่อได้ไหม
"สวัสดีค่ะแขกทุกท่าน" หลังจากที่สังเกตดูสีหน้าของพ่อแล้วนิวเยียร์ก็หยิบไมโครโฟนมาพูดกับแขกที่มาร่วมงาน "เรื่องร่วมลงทุนของทั้งสองบริษัทก็ได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่สองเราขอจัดการกันในครอบครัวนะคะ"
จากที่ไม่ได้มองหน้านาคราชได้ยินคำที่เธอกล่าวกับคนที่ให้ความสนใจเขาถึงได้หันมามอง ผู้หญิงคนนี้ถือว่าฉลาดเอาการไม่ปฏิเสธในทีเดียวแต่ขอจัดการในครอบครัวเอง แถมก่อนจะวางไมค์เธอยังบอกไปอีกว่าถ้ามีข่าวดีจะประกาศให้สื่อมวลชนได้ทราบอีกที
ก่อนจะคืนไมค์ให้กับพิธีกรนิวเยียร์ก็ได้บอกให้แขกร่วมรับประทานอาหารและสนุกกันต่อ เธอต้องหาความจริงให้ได้ว่าพ่อแค่เล่นละครหรือเป็นเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงเธออาจจะยอมรับการตัดสินใจของพ่อ ท่านคงดูผู้ชายคนนี้ดีแล้ว
ลงจากเวทีนิวเยียร์ก็ขอตัวกลับเธอมาร่วมงานด้วยก็ดีเท่าไรแล้ว นิวเยียร์ไม่ใช่สาวสังคมเธอชอบชีวิตเรียบง่าย อยู่ต่างประเทศเธอก็ไม่ได้ทำตัวหรูหรา แต่เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวในคืนนี้พ่อเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด
"แล้วหนูจะกลับยังไงล่ะลูก"
"แถวนี้เรียกรถง่ายค่ะ"
"พ่อเป็นห่วงถ้างั้นให้พี่เขาไปส่งนะ"
นิวเยียร์ชะงักไปเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
"นาคราชไปส่งน้อง" ณภัทรสั่งลูกชายและเขาก็ทำตามจนเธอสงสัย ว่าเขาครบ 32 หรือเปล่า ทำไมให้คนอื่นบงการชีวิตตัวเองได้ แต่ถ้าไม่ครบพ่อก็คงไม่ให้เธอแต่งงานด้วยหรอก แล้วเราจะมาคิดให้ปวดหัวทำไมถึงยังไงเราก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว
ทั้งสองเดินออกมาจากงานก็มีรถจอดรออยู่แล้ว
พอมาถึงรถนคราชก็ทำหน้าที่ขับรถ ส่วนคนที่เอารถมาจอดให้ก็ถอยออกมาเหมือนรู้งาน
"ไปส่งฉันสถานบันเทิงแถวนี้"
ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่หันขวับมามอง แต่มันก็ไม่แปลกหรอกเพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแถมไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล
"จะให้ไปส่งที่ไหนล่ะ" เขาไม่ค่อยเที่ยวคลับเที่ยวบาร์เลยไม่รู้ว่าเธอชอบสไตล์ไหน
"คุณเป็นคนในพื้นที่ไม่รู้เลยหรือว่าจะไปส่งฉันที่ไหน"
"ฉันไม่ชอบเที่ยว"
"จริงดิ่?" ดูเธอจะไม่เชื่อแต่อีกฝ่ายก็นิ่งมาก "ฉันอยากไปเที่ยว Sky Club"
ได้ยินเธอพูดนาคราชก็ขับรถพุ่งตรงไปสถานที่ที่เธอบอก แต่มาถึงคลับแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อไปแล้ว
"นเรศวรคลับ?" นิวเยียร์แปลกใจทำไมชื่อคลับนี้ถึงเปลี่ยนไป เลยหันไปมองดูคนที่ทำหน้าที่ขับรถ แต่ไหนเขาบอกว่าไม่ค่อยชอบออกมาเที่ยวไงทำไมถึงรู้จักที่แห่งนี้
"เจ้าของคนเดิมเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน"
"คะ? พี่สกายเสียแล้วเหรอ??" ทำไมเธอไม่รู้เรื่องนี้เลย
"มีคนมาซื้อกิจการเลยเปลี่ยนชื่อตามเจ้าของใหม่"
"คนที่มาซื้อชื่อนเรศวรเหรอ?"
"แต่เห็นว่าน้องสาวของสกายก็ยังคงถือหุ้นอยู่ที่นี่ และแต่งงานกับผู้ถือหุ้นคนใหม่" (เรื่องราวของนเรศวรอยู่ในเรื่อง นเรศวร [มาเฟียร้ายรัก] นะคะ)
"คะ?" ดูเขาจะรู้เรื่องเป็นอย่างดีเลยนะ ไม่เคยมาเที่ยวจริงไหมเนี่ย
"จะลงไหม"
"?" นิวเยียร์ถึงกับหน้าชาเหมือนถูกไล่ลงจากรถเลย "อย่าบอกนะว่าคุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันเพิ่งกลับมาและยังไม่รู้อะไรอีกมาก ถ้าฉันเป็นอะไรไปคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือคุณ"
เขามีท่าทีไม่สบอารมณ์ ว่าแล้วลูกคุณหนูแบบนี้ต้องเอาแต่ใจมากแน่ นาคราชเลยต้องจอดรถไว้แล้วก็ลงมา
"สวัสดีครับมากี่ท่านครับ"
"สอง"
"เชิญด้านในเลยนะครับ" พนักงานของทางคลับเป็นคนนำทางเดินเข้าไปโต๊ะที่เหมาะสมสำหรับชายหญิงสองคน
"?" นิวเยียร์ขยับเข้าไปนั่งโซฟาตัวยาวที่อยู่ด้านใน คิดว่าเขาคงจะนั่งตรงหน้าเพราะมาด้วยกันสองคนแต่เขากลับมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเธอ